สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 9 ข้อห้าม
หลี่ว์ไห่เมาอาละวาด หลังจากนั้นไม่ทันไรก็ล้มลงกับพื้น คล้ายกับหลับไปแล้ว
เริ่นจื่อหลิงจึงลองยื่นมือไปแตะบนหน้าผากของเขาดู แต่กลับต้องขมวดคิ้วพูดว่า “ไข้ขึ้นสูงเลย คงตากฝนมาทั้งคืนสินะ…สาวน้อย โรงพยาบาลในหมู่บ้านพวกเธออยู่ที่ไหน?”
หลี่ว์อีอวิ๋นรีบตอบทันที “ไม่มีโรงพยาบาลค่ะ แต่มีคลินิกเล็กๆ ที่นึงค่ะ!”
“อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
เริ่นจื่อหลิงจัดการอย่างร้อนรนพลางพูดว่า “ลูกชาย ตอนนี้เธอกับโยวเย่รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันพาคนไปส่งคลินิกแล้วจะกลับมารับพวกเธอนะ!”
ลั่วชิวกลับบอกว่า “ไม่ต้องหรอกครับ พวกเราเดินกลับแล้วกัน ทางก็ไม่ได้ไกลมาก”
เริ่นจื่อหลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงพยักหน้าตอบว่า “งั้นก็ได้ อีกเดี๋ยวโทรฯ หานะ”
ลั่วชิวมองส่งรถที่ขับจากไป
ตอนนี้บนผาฟังเสียงคลื่นไม่เหลือใครแล้ว ตอนนี้เป็นเช้าสดใส หากไม่มีเรื่องเมื่อครู่แล้ว น่าจะช่วยให้จิตใจเบิกบานได้บ้าง ลั่วชิวขยับนิ้วมือเล็กน้อย แล้วกระป๋องเบียร์ที่ตกกระจายอยู่บนพื้นก็รวมเป็นกอง แล้วลอยลงไปในถังขยะใกล้ๆ ที่อยู่ข้างศาลาพักผ่อนของนักท่องเที่ยว
ลั่วชิวเดินมาตรงหน้าป้ายหินที่เขียนประวัติความเป็นมาของผาฟังเสียงคลื่นไว้ อ่านบันทึกบนนั้นอย่างละเอียด ก่อนพูดขึ้นว่า “ฟ้าผ่าจริงๆ ด้วยนะ?”
โยวเย่มองดูสภาพแวดล้อมบนยอดหน้าผา จับผมของตัวเองที่พลิ้วตามแรงลม พูดเสียงเรียบเฉยว่า “เกรงว่าที่นี่จะอยู่ตรงตำแหน่งช่องลมพอดี กระแสลมริมทะเลตรงนี้ถึงแรงมาก หินผาบนยอดหน้าผานี้โดนลมโดนฝนมานานหลายปีจนสึกกร่อนไปนานแล้วค่ะ”
คุณสาวใช้ชี้ไปที่หน้าผาพลางพูดขึ้น “ปกติฟ้าผ่ามาพร้อมกับลมพายุฝนกระหน่ำ คิดดูแล้วก่อนหน้านี้หินก้อนนั้นคงเจอฟ้าผ่าจนถล่มลงมาเองค่ะ”
ลั่วชิวพยักหน้า เขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ตอนนี้เขาเดินไปที่ริมรั้วราวกั้น ยื่นหัวไปมองข้างล่าง ด้านล่างหน้าผาที่ทอดตัวลงไปก็คือคลื่นทะเลซัดกระหน่ำรุนแรง ยังมีกองหินโสโครกระเกะระกะ ถ้าคนตกลงไปจากตรงนี้คงไม่รอดแน่นอน
มิน่าล่ะ หลี่ว์อีอวิ๋นถึงดูตกใจกลัวแบบนั้น
“เมื่อกี้เขาบอกว่าแม่ของเขาถูกโยนลงจากตรงนี้เหรอ?” ลั่วชิวขมวดคิ้ว
โยวเย่พยักหน้าตอบ “ค่ะ เขาพูดแบบนั้นจริงๆค่ะ…ดูแล้วคงไม่ใช่คำพูดเหลวไหลจากฤทธิ์เหล้าด้วย ความโกรธแค้นแบบนั้นคงพบเจอมากับตัวมั้งคะ”
แล้วลั่วชิวก็พูดขึ้นว่า “ฉันอยากไปดูหมู่บ้านทางนั้นสักหน่อย”
…
…
คลินิกเล็กๆ ในหมู่บ้านเปิดกิจการเมื่อยี่สิบปีก่อน เป็นของวัยรุ่นที่กลับมาเปิดหลังจากจบแพทย์ในเมือง
อุปกรณ์การรักษาย่อมเก่าแก่ตามไปด้วย ถึงขนาดมีบางอย่างเป็นชุดที่ตกรุ่นไปบ้างแล้ว แต่เห็นชัดว่ารักษาสภาพไว้ได้ดี ดูออกว่าหมอคนนี้รักและทะนุถนอมสิ่งของพวกนี้อย่างมาก
หมอมีอายุแบบนี้ถึงทำให้รู้สึกสบายใจได้
เขามองหลี่ว์อีอวิ๋นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ให้น้ำเกลือแล้วกินยารอไข้ลดสักหน่อย สองสามวันก็หายแล้ว พ่อของเธอร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่นานอาการก็จะดีขึ้น แต่ยังไงก็ดื่มเหล้าให้น้อยลงนะ พวกเธอดูแลเขาอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันขอออกไปตรวจคนอื่นก่อน”
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอ” หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างซาบซึ้งใจ
พอเห็นหลี่ว์ไห่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อก็สบายใจ สาวน้อยเองก็มีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว
ต่อมอยากรู้เรื่องชาวบ้านของรองบรรณาธิการเริ่นร้องเรียกอีกแล้ว
เธอมองดูสาวน้อย หรี่ตาพลางถาม “จริงสิ เมื่อกี้พ่อเธอบอกว่าโยนคนลงไป เรื่องอะไรกันเหรอ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นนิ่งอึ้ง ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันว่าพ่อเมาจนพูดเหลวไหลมากกว่าค่ะ”
แววตาของเริ่นจื่อหลิงเปลี่ยนไป ถามขึ้นอีกว่า “เมื่อกี้ที่พ่อเธอตะโกนว่าแม่….งั้นก็เป็นย่าของเธอสินะ? จริงสิ ฉันยังไม่เห็นย่าของเธอเลย?”
หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “ฉันก็ไม่เคยเห็นค่ะ ได้ยินคุณพ่อบอกว่าย่าเสียไปตั้งแต่พ่อยังเด็กๆ แล้ว ฉันก็เคยถามตั้งหลายครั้ง แต่พ่อไม่ค่อยพูดถึงเท่าไร ปู่ก็เหมือนกัน…แต่แม่ฉันเคยพูดถึงนะคะ”
เธอแอบมองด้านนอกประตูห้องผู้ป่วย ราวกับกลัวคนแอบฟัง
ก่อนพูดอย่างระมัดระวังว่า “บอกว่า…บอกว่าถูกคนในหมู่บ้านทำร้ายจนตายค่ะ”
สาวน้อยรวบรวมความกล้าได้ กัดฟันพูดว่า “พี่เริ่น ที่จริงฉันก็อยากรู้มาตลอด ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณย่า แต่ฉันก็สืบถามไม่ได้เลย ฉันเคยถามพวกเพื่อนนักศึกษาบางคน พวกเขากลับบ้านไปก็เคยถามเหมือนกัน แต่คนในครอบครัวไม่ยอมบอก…ฉัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงถาม “เธอขอให้ฉันช่วยเธอสืบเหรอ?”
สาวน้อยพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง “ใช่ค่ะ!
พวกพี่เริ่นเป็นนักข่าว จะต้องมีวิธีมากกว่าฉันแน่…ฉัน ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ประมาณหนึ่งพันกว่า…”
“ไม่ได้” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าปฏิเสธ
สาวน้อยพูดอย่างผิดหวัง “น้อยเกินไปจริงๆ สินะคะ…”
เริ่นจื่อหลิงหัวเราะทันที ก่อนยื่นมือออกไปลูบหัวสาวน้อยแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะสืบอะไรได้ ขนาดเธอสืบข่าวมาหลายปียังไม่เจออะไรเลย แต่ถ้าฉันสืบได้ เธอต้องเลี้ยงอาหารทะเลมื้อใหญ่ให้ฉันตอนขากลับด้วย!”
“หา! จริงๆ เหรอคะ!” สาวน้อยร้องดีใจ
เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าพลางพูด “ฉันไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย อีกสักพักจะกลับมาดูว่าพ่อเธอตื่นหรือยัง ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันขับรถไปส่งพวกเธอกลับเอง”
“ได้ค่ะ!”
…
แทนที่จะบอกว่าเป็นหมู่บ้าน ไม่สู้บอกว่ามีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นตำบลดีกว่า
ที่นี่พอเห็นตึกเล็กๆ ที่สร้างเองสองชั้นสามชั้นประปราย จากหมู่บ้านชาวประมงในสมัยก่อนได้เปลี่ยนแปลงจนเห็นร้านอาหารทะเลเล็กๆ ให้กินเต็มท้องถนนแล้ว โรงแรมเล็กๆ ก็มีเยอะด้วยเช่นกัน
เมื่อกี้นี้ลั่วชิวยังได้เห็นสถานที่เหมือนบาร์แห่งหนึ่งด้วย เพียงแต่ยังไม่เปิดร้าน
ฝั่งนี้ไม่เงียบเหงาเหมือนบ้านพักตากอากาศของหลี่ว์ไห่เลย บนถนนยังพอพบเจอกับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นประปราย น่าจะเพิ่งมาพักร้อน คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งเริ่มวางแผนออกจากที่นี่ไปดื่มด่ำกับหน้าร้อนกันแล้ว
เจ้าของร้านลั่วเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ที่แผงลอยริมถนน
“พ่อหนุ่มคนนี้ ต้องการพักค้างแรมไหม? โรงแรมของเราปลอดภัยมากเลยนะ บริการเรื่องเดียว! อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ!”
เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนฟันเหลืองเต็มปากยิ้มแฉ่งพลางร้องเรียก
ลั่วชิวมองพิจารณาสถานที่ด้านหลังของเขาแวบหนึ่ง…ที่นี่เป็นโรงแรมปรับปรุงใหม่ขนาดกลาง
“ผมบอกคุณเลยนะ บริการของพวกเราอย่างเด็ด! หนุ่มน้อยที่มาเมื่อกี้ยังยิ้มปริ่มเลย!”
ลั่วชิวยิ้มถาม “งั้นเหรอครับ? ทำไมล่ะครับ?”
เถ้าแก่เดินเข้ามาหาเงียบๆ หัวเราะคิกคักพลางพูดกระซิบเสียงเบาข้างหูลั่วชิว “พ่อหนุ่ม ผมจะบอกให้ฟังนะ คุณอย่าบอกว่าผมพูดให้คุณฟังนะ ฮิๆ หนุ่มน้อยคนเมื่อกี้นี้ถามหาป้าแก่ๆ ฟันร่วงหมดปาก! คึกคักมีความสุขเชียวล่ะ!”
เจ้าของสมาคมที่เจอคนมามากก็คิดไตร่ตรอง ก่อนนิ่งอึ้งไป ลอบคิดว่าความปรารถนาของมนุษย์….ต่างคนก็ต่างกัน
เขาส่ายหัว แล้วหมดความสนใจไป
“ขอโทษนะครับ ผมแค่มาเดินเล่นเฉยๆ” ลั่วชิวตอบ
พอเห็นเขาจะเดินไปแล้ว เถ้าแก่ก็ร้อนใจทันที รีบดึงมือเอาไว้พลางพูดขึ้น “เดี๋ยว พ่อหนุ่ม! อย่าเข้าใจผิดนะ โรงแรมของพวกเราไม่ใช่แบบนั้น! แต่เป็นคำขอพิเศษของลูกค้าคนนั้น ผมแค่อยากบอกคุณว่า ผมหาให้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าคุณต้องการแบบไหนก็ตาม!”
“มีเรื่องอะไรหรือคะ?”
พอเห็นเจ้านายของตนเองถูกคนทางนี้ดึงรั้งตัวไว้
คุณสาวใช้ที่กำลังดูเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยของท้องถิ่นอยู่บนแผงลอยเล็กๆ ก็เดินเข้ามาหา
พอเถ้าแก่เห็นปุ๊บก็ไม่อาจละสายตาไปได้…ในใจคิดว่านี่เป็นผู้หญิงจากไหน แบบนี้ไม่มีทางหาได้ที่หมู่บ้านหลี่ว์แน่นอน!
“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ” ลั่วชิวส่ายหน้า
โยวเย่พยักหน้า แล้วเดินมาข้างๆ ลั่วชิว
เถ้าแก่โรงแรมก็ไม่ได้โกรธอะไรเลย ก็จริงนี่ ถ้าข้างกายเขามีผู้หญิงแบบนี้สักคน คงไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนแล้วจริงๆ
เขายอมแพ้แล้ว!
และในตอนนั้นเอง โรงแรมนี้ก็มีป้าคนหนึ่งแต่งตัวงดงามไม่เข้ากับอายุออกมา มือข้างหนึ่งดึงหูเถ้าแก่คนนี้ไว้ พูดตวาด “เจ้าตัวแสบนี่ แกคิดจะให้ฉันเสียเวลามาใช่ไหม? ลูกค้าอะไรของแก! เป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋น ทำฉันตกใจหมด!! คนหนีไปแล้ว!”
“อะไรนะ? ป้า? คนหนีไปแล้ว?” เถ้าแก่นิ่งอึ้ง
ป้าออกแรงดึงหูของเถ้าแก่คนนี้พลางพูดขึ้นว่า “ก็ใช่น่ะสิ ฉันหลับปุ๋ยเลย! ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นทำอะไรฉันบ้าง! เอาแต่ยิงคำถามใส่ ฉันก็เบลอๆ ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง! ไม่ใช่ว่าแกเจอพวกต้มตุ๋นหรอกเหรอ!”
เถ้าแก่บอก “ไม่หรอกมั้ง! เขาจ่ายเงินแล้วเห็นๆ นะ!”
พูดไปพูดมา เถ้าแก่คนนี้ก็เปิดกระเป๋าคาดเอวของตนเอง ก่อนควานล้วงไปพลางพูดว่า “คนนั้นมันตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่เลยนะ…บ้าเอ๊ย อะไรวะเนี่ย! ตอนนั้นก็เห็นชัดๆ ว่า…”
ธนบัตรสีแดงๆ หายไปแล้ว เหลือแค่ใบไม้ปึกหนึ่งเท่านั้น
แล้วป้านั่นก็ทำเสียงแหลมพร้อมพูดว่า “ฉันว่าแล้ว หมอนั่นเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน! ไม่รู้ว่าใช้ยาอะไรป้ายให้มึนงงหรือเปล่า! ตอนนี้ฉันยังมึนไม่หายเลย! แกถูกหลอกแล้วล่ะ!”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง?” ทางเถ้าแก่รีบถามต่อ “ป้า เขาทำอะไรป้าหรือเปล่า? ถามอะไรบ้างล่ะ?”
“ลืมแล้ว เหมือนเล่าเรื่องของหวงเหล่าเซียนกูไปละมั้ง” ป้ากุมขมับพลางพูดขึ้น
“อะไรนะ? พูดเรื่องนั้นไปแล้ว”
เถ้าแก่วัยกลางคนชะงักทันที
เขามองเห็นพ่อหนุ่มที่รั้งไว้เมื่อกี้กับหญิงสาวที่ยังยืนนิ่งๆ และกำลังมองดูพวกตนสองคนคุยกันมาโดยตลอด จึงรีบก้มหน้าลง ก่อนผลักป้าเข้าไปในโรงแรมแล้วปิดประตูทันที
…
ลั่วชิวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลังจากมองโรงแรมแห่งนี้อีกแวบหนึ่ง ถึงได้หันไปมองพวกร้านหาบเร่ที่ตะโกนเรียกลูกค้าบนทางยาวสายนี้ แล้วก็เหมือนคิดอะไรออก
เขาเดินไปข้างหน้าตรงแผงลอยเล็กๆ ที่หนึ่งทันที แล้วพิจารณาอย่างแปลกใจ
“พ่อหนุ่ม อยากซื้อบอลไหมพรมไหม? ซื้อบอลไหมพรมให้หญิงที่ชอบสักลูก พวกเธอก็จะมีบุพเพสันนิวาสต่อกัน!”
ที่นั่งอยู่ตรงแผงลอยคือยายแก่คนหนึ่ง ตอนนี้ยังถักบอลไหมพรมลูกใหม่
ลั่วชิวนั่งยองๆ ลง หยิบขึ้นมาดูลูกหนึ่งอย่างสนใจ พร้อมกับถามว่า “คุณยายครับ บอลไหมพรมขายยังไงครับ?”
“ลูกเล็กห้าหยวน ลูกใหญ่ยี่สิบหยวน ถูกมากเลยนะ!”
“ผมเอาลูกเล็กลูกหนึ่งครับ” ลั่วชิวพูดยิ้มๆ
“จริงสิครับ ผมขอถามคุณป้าสักเรื่อง”
“อ่ะ…อ๋อ ได้สิ ถามมาเลย” พอเห็นว่าขายได้แล้ว คุณยายก็ยิ้มแป้นรับปาก
ลั่วชิวถาม “คุณป้ารู้จักหวงเหล่าเซียนกูไหมครับ?”
นึกไม่ถึงว่าพอคุณยายได้ยินชื่อนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอไม่พูดอะไรสักคำ กลับคว้าบอลไหมพรมในมือลั่วชิวกลับมาทันที “ฉันไม่ขายให้เธอแล้ว เธอไปซะ เธอไปซะ!”
“ผู้อาวุโส?”
แต่คุณยายคนนี้กลับเก็บแผงลอยขายของอย่างคล่องแคล่ว ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ทันที
ก่อนไปก็หันกลับมามองอย่างตึงเครียดแวบหนึ่ง
“นายท่าน?”
ลั่วชิวพูดพึมพำ “เธอไปสืบดูให้หน่อยสิ หวงเหล่าเซียนกูนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่”
“ทราบแล้วค่ะ”