สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 13 พวกเราต่างอ่อนแอเหมือนกัน
นิคิตะรู้จักอันทอนก็เมื่อไม่กี่วันนี้เอง แต่อาจด้วยผ่านอันตรายมาด้วยกัน และยิ่งตอนนี้มาลงเรือลำเดียวกันแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างว่า อันทอนทำให้เขารู้สึกว่าระบายความในใจบางอย่างออกมาได้
ใครจะรู้ล่ะ?
บางทีเขาก็แค่มีเรื่องในใจอยากพูดออกมาเท่านั้น ตอนนี้ก็คล้ายๆ กับเมื่อสิบสองปีก่อน
“โอเล็กเป็นคนแข็งแกร่งมาตั้งนานแล้ว ต้องบอกว่าเขาเป็นลูกรักของพระเจ้าเลยละ เขาฉลาด เขาแข็งแกร่ง และเขาได้รับความรักจากคามาลาผู้งดงามที่สุด… หึๆ” พอนิคิตะพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ความจริงแล้วผมก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่อิจฉาโอเล็ก แต่สิ่งที่ผมไม่เหมือนกับคนอื่นก็คือผมอวยพรพวกเขาทั้งสองจากใจจริง”
อย่างน้อยอันทอน…อันโตนิโอที่อยู่อีกด้านของประตูซึ่งเคยฟังเรื่องคามาลาแม่ของเขาจากปากของโอเล็กมาบ้าง ก็รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
สงบเหมือนช่วงก่อนนอน ท่าทางเหมือนกำลังฟังเรื่องราวของญาติพี่น้องอยู่บนเตียงแล้วค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
“ทำไมแม่…คุณคามาลาถึงได้ชอบคุณโอเล็กล่ะครับ?” อันทอนถามเบาๆ
นิคิตะคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นคุณธรรมของเขาที่มีมาตั้งแต่เกิด เชื่อผมเถอะ ความจริงแล้วสมัยนั้นโอเล็กเป็นคนที่ทำให้ทุกคนรู้สึกละอายใจได้ มีครั้งหนึ่งนี่แหละมั้ง? เพื่อนบ้านของเราถูกอันธพาลสามสี่คนก่อกวน ตอนที่เรากำลังปรึกษากันว่าควรจะเลี่ยงความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นอย่างไรกันดี โอเล็กกลับชกอันธพาลสามสี่คนนี้จนเละ… ตอนนี้ลองนึกดูแล้ว โอเล็กดูแลคนในหมู่บ้านจำนวนนับไม่ถ้วนเลยจริงๆ …เพียงแต่ จำนวนที่ไม่อาจประมาณได้นี้แหละกลับเป็นเรื่องน่าตลกขบขัน”
“เพราะอะไรล่ะครับ?”
“ท้ายที่สุดแล้ว พอคนพวกนั้นที่คุณเคยช่วยเหลือแว้งมากัดคุณ คุณจะยังรู้สึกภูมิใจที่เคยช่วยพวกนั้นอีกไหม?” นิคิตะพูดเสียงเย็นชาปนเคียดแค้นว่า “ทั้งที่คนพวกนั้นเคยพูดขอบคุณต่อหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับมาบอกขอโทษคุณ แล้วก็ทำร้ายคุณโดยไม่ลังเล…โอ้ อันทอนที่รัก เชื่อผมเถอะ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดและน่ารังเกียจที่สุดมากว่าที่คุณจะจิตนาการได้เลย แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้เหมือนกัน”
อันโตนิโอขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่นิคิตะพูดเลยจริงๆ เขาได้แต่ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”
นิคิตะถอนหายใจแล้วบอกว่า “หมู่บ้านของเรา ส่วนใหญ่แล้วทำเหมืองแร่เลี้ยงชีพ…รู้หรือเปล่า ในบริเวณเขตเหมืองแร่นั่น คุณไม่มีทางจินตนาการความอยุติธรรมและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นได้เลย การขูดรีดจากเบื้องบน ยังมีการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนงานในเหมืองอีก หลายปีมานี้ เรื่องพวกนี้กลายเป็นเหตุการณ์ปกติธรรมดา ส่วนโลกภายนอกจะเป็นยังไง สำหรับพวกเราที่เติบโตอยู่ที่นั่นตั้งแต่เด็กๆ ไม่อาจรู้ได้เลย สิ่งเดียวที่พวกเรารู้ก็มีแค่หมู่บ้านในเหมืองแห่งนี้ หมัดของใครใหญ่สุด คนนั้นก็เป็นผู้กุมชะตา เป็นผู้ปกครอง”
นิคิตะส่ายหน้า ถอนหายใจพลางพูดว่า “แต่โอเล็กเป็นคนมีคุณธรรมมาตั้งแต่เกิด เขาต่อต้านการใช้ชีวิตที่เสื่อมโทรมไปถึงจิตวิญญาณแบบนี้ เขารังเกียจการขูดรีดในเหมืองเข้ากระดูกดำ เขาคิดจะปกป้องผู้คน กระทั่งคิดว่าขอเพียงทุกคนสามัคคีกัน ก็จะไม่มีใครรังแกพวกเราได้อีก เขาก็เลยเริ่มลงมือ”
“ตอนแรก เพราะความช่วยเหลือที่มีมาตลอดของโอเล็ก รวมทั้งชื่อเสียงและความนิยมของเขาที่อยู่ในใจของผู้คน ก็ปลุกระดมผู้คนที่ยินดีจะต่อต้านได้ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเราต่อต้านการทำงานนอกเวลาโดยไร้เหตุผล พวกเราเรียกร้องวันหยุดพักผ่อนที่มากขึ้น พวกเราเรียกร้องอาหารที่ดีขึ้นกว่าเดิม พวกเราถึงกับเริ่มหยุดงานประท้วง ตอนสุดท้าย โอเล็กก็ซัดพวกหัวโจกน่วมไปหลายคน”
นิคิตะพูดนึกย้อนอดีตว่า “นึกแล้วหลายสิบปีมานี้ ตอนนั้นหมู่บ้านอยู่ในช่วงมีความหวังมากที่สุด และพวกเราก็มองโอเล็กเป็นฮีโร่ แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลิงได้ใจเลย แต่กลับรักษาความหวังที่ได้มายากนี้สุดความสามารถ เพียงแต่…”
เสียงของนิคิตะพลันเศร้ารันทด “โอเล็กลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแข็งแกร่งและกล้าหาญ รวมทั้งคุณธรรมที่สำคัญยิ่งเหมือนอย่างเขาได้น่ะรู้ไหม? แต่ไหนแต่ไรความมืดมิดในเหมืองไม่เคยถูกกำจัดให้จางหายไปเลย มันแค่ซ่อนตัวอยู่เท่านั้น ใช่แล้ว ก็เหมือนงูพิษนั่นแหละ นอนจำศีลอย่างระมัดระวังในความมืดที่แสงสว่างส่องไม่ถึง รอคอยจังหวะและโอกาสลงมืออยู่เงียบๆ”
“ทีแรกเป็นใครกันแน่ ผมก็ลืมไปแล้ว ผมจำได้แค่ว่าตอนฟ้าสางวันนั้น ขณะที่พวกเราเตรียมตัวไปทำงานตามปกติ มีคนพบคนงานเหมืองคนหนึ่งล้มอยู่บนพื้นในบ้านตนเอง มือซ้ายของเขาถูกตัดขาดอย่างโหดร้าย ตอนที่พวกเราเจอตัวเขา มือซ้ายของเขาก็ไม่มีเลือดออกแล้ว…เพราะว่ามือซ้ายของเขาถูกความร้อนจี้ปิดแผลบริเวณที่เลือดไหลไว้แล้ว และมือที่เขาถูกตัดกลับถูกโยนทิ้งไว้ริมกำแพง ส่วนบนกำแพงนั้นกลับใช้เลือดจากมือนั่นเขียนบางอย่าง ‘ห้ามต่อต้าน’ ”
นิคิตะฝืนยิ้มพลางพูดว่า “การตอบโต้ของคนพวกนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้พวกเราตอบโต้อะไรไม่ได้เลย รู้อะไรไหม พวกเรากับพวกเขามีสิ่งที่ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นอันธพาล เป็นเหมือนปีศาจร้ายอย่างแท้จริง อันธพาลที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น! ทุกๆ วันพวกเราจะได้ยินว่าบ้านในหมู่บ้านถูกก่อกวนตอนกลางคืน และยังมีบ้านของครอบครัวไหนถูกลอบวางเพลิงอีก หรือบางทีใครถูกทำร้ายบนถนนจนเนื้อตัวมีบาดแผลเต็มไปหมด”
นิคิตะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่ว่าโอเล็กจะพูดเกลี้ยกล่อมทุกคนยังไงก็ไม่อาจหยุดความหวาดกลัวที่ลุกลามนี้ได้ แต่พวกเรายังมีคนจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนอยู่ตลอด แต่จนกระทั่งถึงวันนั้น…”
“คนพวกนั้นบอกว่า ขอเพียงส่งตัวโอเล็กมา ขอเพียงทุกคนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ก็จะไม่มีการทำร้ายอีก พวกเขาถึงขนาดให้คำมั่นว่า ขอเพียงนำตัวก่อเรื่องอย่างโอเล็กออกมาก็จะเปลี่ยนการทำงานให้ดีขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม”
“หา!” อันทอนเผลอร้องตกใจเบาๆ เขาพลันรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ “แล้ว แล้วหลังจากนั้น…”
“ขอโทษนะ พวกเราก็ไม่อยากทำ แต่ในบ้านของผมยังมีคนแก่และเด็กที่ต้องดูแล”
“ขอโทษนะ…พวกเขาบอกว่า ขอแค่ ขอแค่คุณยอมจำนนก็จะปล่อยพวกเราไปน่ะ”
“ขอโทษนะ…โอเล็ก ขอร้องคุณล่ะ ตลอดเวลามานี้ คุณช่วยพวกเรามาตลอด ครั้งนี้ ครั้งนี้ก็ขอให้คุณช่วยพวกเราด้วยเถอะ พวกเขาบอกว่าจะยกเลิกหนี้พนันให้ผม ไม่อย่างนั้น…ผมคงได้แต่ตายสถานเดียว”
“ขอโทษนะ โอเล็ก ขอโทษจริงๆ… แต่ว่า แต่ว่าพวกเราไม่มีทางเลือก”
“พวกเรา…พวกเราไม่เคยขอร้องให้คุณทำเรื่องพวกนี้ หรือทำมากมายขนาดนี้ นี่…นี่ก็เพื่อความพอใจของตัวคุณเองเท่านั้น!”
นิคิตะยิ้มเย้ยหยันพลางพูดว่า “นั่นเป็นคำขอโทษที่เยอะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาชั่วชีวิตเลย ผมรู้ว่าพวกเขาเองก็เข้าใจดีว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไรกันแน่! ถ้าโอเล็กเป็นเหมือนธงแห่งความหวัง ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็กำลังทำลายมันด้วยน้ำมือตนเอง! หลังจากนั้นก็แสดงว่าพวกเขายินดีถูกรังแกต่อไป แต่พวกเขากลับจำต้องทำแบบนี้ ใครไม่เห็นแก่ตัวบ้างล่ะ? ใครไม่อยากปกป้องครอบครัวตตัวเองบ้างล่ะ? ที่จริงคนพวกนั้นรู้จักจุดอ่อนของพวกเราเป็นอย่างดีเลยล่ะ!”
“พวกเขา…ทำเกินไปแล้วนะ!” อันทอนกัดฟันกรอด
นิคิตะไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ต่อ แต่กลับพูดอย่างรวดเร็วว่า “โอเล็กถูกยั่วโมโหถึงขีดสุด เขาพุ่งออกมาจากวงล้อมของพวกชาวบ้าน แล้วออกจากหมู่บ้านมา ตอนที่เขาออกมา สิ่งที่พวกเรามองเห็นก็แค่ร่างกายที่อาบด้วยเลือดทั้งตัว…หลังจากเขาเห็นชาวบ้านยืนขวางเขาพร้อมอาวุธในมือ หัวใจของเขาคงตายด้านไปแล้ว”
นิคิตะเปิดประตูแล้ว กำลังดึงกางเกงเดินออกมา “หลังจากวันนั้น โอเล็กก็พาคามาลาหนีไป ผมคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนุก ก็เลยออกมาพร้อมกับโอเล็ก ไปใช้ชีวิตที่อื่น พวกเราใช้ชีวิตสงบสุขมาหลายปีเลยล่ะมั้ง? โอเล็กกับคามาลาก็มีลูกด้วยกัน”
“แต่คามาลายังมาตายไปอีก” นิคิตะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดว่า “ดูเหมือนจะตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ แต่ความเป็นจริงแล้วเธอตายเพราะมีคนตามมาแก้แค้น ถึงแม้ว่าพวกเราหนีออกมาจากหมู่บ้านแล้ว แต่คนพวกนั้นไม่เคยคิดจะปล่อยพวกเราไปเลย”
นิคิตะส่ายหน้า ล้างหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังจากคามาลาตายไป โอเล็กก็เปลี่ยนไปไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม เขาก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเขาหวาดกลัว หวาดกลัวว่าการต่อต้านในวันนั้นจะส่งผลมาถึงลูกชายคนเดียวของเขากับคามาลา ก็เหมือนกับชาวบ้านพวกนั้นที่เคยขอโทษเขา และลงมือจัดการกับเขาด้วยน้ำมือตนเอง”
นิคิตะพูดด้วยความจงเกลียดจงชังว่า “หลังจากคนพวกนี้ฆ่าคามาลาแล้วก็ไม่ได้ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับโอเล็กอีกต่อไป ผมเข้าใจความคิดของพวกเขา!พวกเขาต้องการให้โอเล็กใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต ให้เขาเลิกคิดต่อต้านอีก เพราะการจะฆ่าสักคนหนึ่งให้ตายเป็นเรื่องง่ายดายมากจริงๆ แต่การฆ่าจิตใจคนหนึ่งให้ตายไป…ถึงจะเป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด”
เขาหันกลับไปมองอันทอนที่นั่งอยู่บนพื้น เขาอยากรู้อะไรบางอย่างแต่ไม่ได้ถามอะไร แล้วก็ถอนหายใจพูดว่า “อันทอน จำไว้นะ ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ถึงยังไงพละกำลังของคนคนเดียวก็เป็นแค่พละกำลังของคนคนเดียวเท่านั้น คุณธรรมของคนคนเดียวก็เป็นแค่ของคนคนเดียว พวกมันอ่อนแอเกินไปและพึ่งพิงไม่ได้ เพราะพึ่งพิงไม่ได้และอ่อนแอแบบนี้ ชายกล้าหาญดุจสิงโตจึงยินยอมกลายเป็นแมวป่วยๆ ตัวหนึ่งเพื่อลูกชายของเขา สำหรับการรังแกก็เป็นแค่การเลือกเผชิญสภาพที่เลวร้ายเท่านั้น”
“นี่ก็คือสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับโอเล็ก” นิคิตะยิ้มแล้วพูดกับตนเอง “นี่ดูเป็นเรื่องของใครหลายคนเลยสินะ? พวกเราอ่อนแอเหมือนกันทั้งนั้น ก็เลยได้แต่เลือกเมินเฉย พวกเราคาดหวังการปรากฏตัวของฮีโร่ แต่ก็ทำลายฮีโร่ด้วยน้ำมือตนเองเหมือนกัน พวกเราจิตนาการว่าตัวเองเป็นฮีโร่ ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม กำจัดคนชั่วทั้งหลาย และทำเรื่องที่ผู้คนทำไม่ได้…แต่กลับไม่เคยคิดจะยอมรับความเศร้าโศกของฮีโร่บ้างเลย”