สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 20 เห็นเป็นเรื่องสนุก
ในห้องวีไอพีของแอนดริว คามาลาซึ่งแปลงกายสมบูรณ์ทั่วทุกส่วนก็มองดูวัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่าพ่อค้าด้วยแววตาซับซ้อน
ความจริงแล้วเขาอาจจะไม่ใช่วัยรุ่น…ใครจะไปรู้ได้ล่ะ? คามาลาก็ตรวจสอบเรื่องพวกนี้ไม่ได้
เขาทำให้อันโตนิโอกลายเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาเอาความรักของอันโตนิโอไป เธอเคยถามเชิงตำหนิกับเจ้านี่ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่านี่คือกฎ
เมื่อกลไกการแลกเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น เพราะสิ่งที่คามาลาหวังจะได้รับก็คือให้สองพ่อลูกมีความสุข สิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับสิ่งที่ตัวอันโตนิโอเองอยากได้เลย
คามาลาเริ่มคิดว่า การแลกเปลี่ยนครั้งนี้อาจไม่ได้สวยงามอย่างที่ตัวเธอคิดเอาไว้
ใช่แล้ว…หลังจากให้อันโตนิโอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้านี่ก็ยังเดินเตร่ไปทั่วโดยไม่มีท่าทีสนใจอะไรจนกระทั่งวันนั้น หลังจากเขามาที่บ่อนพนันของแอนดริวด้วยตัวเองแล้ว คามาลาถึงได้เริ่มค้นพบว่า เจ้าของสมาคมคนนี้วางแผนอะไรไว้แล้ว
คามาลาเลิกมองเขาด้วยสายตาซับซ้อน แล้วหันตัวมามองด้านล่างของห้องวีไอพี แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ในเมื่อพวกเธอทำได้ทุกอย่าง ทำไมไม่ให้เห็นผลลัพธ์ไปเลย แต่กลับบีบให้เขาอยู่ในสภาพนี้”
นี่คงจะเป็นวิธีการทำงานของเจ้าของสมาคม บางทีลั่วชิวก็จะเปรียบเทียบว่าจะทำไปเลยดีกว่า หรือว่าจะให้พยายามเพิ่มสักหน่อยดี
“อาจเป็นเพียงความสนใจส่วนตัวของผมก็ได้ล่ะมั้งครับ” ลั่วชิวแสดงความรู้สึกผิด เขาก็กำลังมองสังเวียนมวยด้านล่างด้วยเช่นกัน “ถ้าแค่เปลี่ยนความคิดของคนคนหนึ่ง หรือให้เขาเชื่ออะไรสักอย่างสุดใจ…วันนั้นที่เจอกันที่โรงละคร ความจริงก็ทำให้โอเล็กกลายมาเป็นแบบที่เป็นอยู่ที่ข้างล่างในตอนนี้ได้ เพียงแต่ว่า…”
ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ผมอาจจะไม่ได้เห็นแสงอันงดงามที่ประทุจากตัวคุณโอเล็กแบบเมื่อกี้”
“เธอ…เห็นเป็นเรื่องสนุกเหรอ!” คามาลาจ้องลั่วชิวเขม็งทันที
เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีสำนึกหรือเปล่า แต่เธอกลับเห็นบนใบหน้าของชายชาวตะวันออกคนนี้มีรอยยิ้มบางๆ ได้อย่างชัดเจน
เขากำลังยิ้ม!
…
ลั่วชิวเงียบ
เขาคิดว่าคามาลาพูกถูก เขาแค่คิดว่าความรู้สึกของตัวเองเริ่มจืดจางลง คงใกล้ถึงขั้นกู่ไม่กลับแล้ว
หลังจากได้เป็นเจ้าของสมาคม ขอแค่ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม แทบจะไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้เลย ปัญหาทุกอย่างแทบจะไม่ใช่ปัญหา
ในความคิดของเขา โลกทั้งใบเหมือนเป็นสีเทาไปหมดแล้ว ไม่ว่าคนสวยขนาดไหน สิ่งมีชีวิตงามสักเพียงใด พวกนี้ล้วนแต่ไร้สีสันไปโดยสิ้นเชิง
สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคงมีเพียงแสงสว่างของดวงวิญญาณแต่ละดวงที่เป็นตัวแทนของแต่ละบุคคล…ที่มีสีเทาขาว สีเทาดำ สีน้ำตาล สีเทาขาวอันเยือกเย็นพัวพันอยู่ในโลกของเขาอย่างเหนียวแน่น
เขาไม่ได้หวาดกลัวหรือเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้
แต่เขากลับรู้สึกว่าตอนที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาควรรจะรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บปวดบ้าง แต่เขากลับไม่สะทกสะท้านเลย ลั่วชิวจึงเริ่มครุ่นคิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
สีสัน
วินาทีที่สีสันอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในโลกอันแสนเยือกเย็นนั้น ถึงได้ทำให้ลั่วชิวรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ
เมื่อวิญญาณในความมืดมนเข้าสู่ความร้อนแผดเผา วินาทีที่เปล่งแสงสว่างวาบออกมานั้นเอง ทั่วทุกทิศทางถึงได้เหมือนถูกย้อมไปด้วยสีสันอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว แม้ว่าเหมือนไม้ขีดไฟที่กำลังลุกไหม้…วินาทีที่ไม้ขีดไฟลุกไหม้จนหมดแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับสู่ความมืดมนอีกครั้ง
ลั่วชิวค้นพบว่าแม้มันจะเป็นเพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่ง แต่กลับทำให้ตัวเขาชอบใจมาก
ไม่ต้องอธิบายอะไร และก็ต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่น ถ้าคนนอกเห็นว่าเขาทำเพียงเพราะสนุก ก็ให้พวกเขามองแบบนั้นไปแล้วกัน
ถ้าความสนใจเล็กๆ นี้ก็หายไปด้วย เขาคิดว่าตัวเองก็คงต้องหาผู้สืบทอดคนใหม่เช่นกัน
“ใช่ครับ ผมเห็นเป็นเรื่องสนุก”
…
โอเล็กไม่รู้เลยว่า วินาทีนี้เขาเปล่งประกายมากแค่ไหน แต่กลับทำให้เจ้าของร้านบางคนรู้สึกมีความสุขแบบนี้อย่างต่อเนื่อง
เขารู้แต่ว่า วินาทีนี้ก็เหมือนกับน้ำหลากที่สะสมมานานแล้ว ที่สุดท้ายก็ถึงเวลาไหลทะลักออกมา
ต่อต้าน?
ไม่ใช่เลย
ก็เหมือนที่นิคิตะได้พูดเอาไว้ หลังออกจากหมู่บ้านมา เขาก็สร้างกำแพงสูงๆ ขึ้นมาในจิตใจของตัวเอง เสมือนกรงขังไว้ปิดกั้นตัวเองโดยสิ้นเชิง
เขากำลังหวาดกลัว…กลัวว่าสักวันหนึ่ง ตอนที่เขายืนหยัดในความคิดของตัวเอง คนที่เขารัก เพื่อนของเขาก็จะทิ้งเขาและจากไป เหมือนกับชาวบ้านพวกนั้นที่ทิ้งเขาไป
บางทีพวกเขาอาจจะถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก บางทีพวกเขาคงทำเพื่อครอบครัว บางทีพวกเขา…พวกเขา!
แม้ว่าในใจจะใช้เหตุผลต่างๆ นานาไปหักล้างการกระทำของชาวบ้านพวกนั้นเป็นพันๆ หมื่นๆ ครั้งแล้วก็ดี แต่ตอนเขาเห็นอันทอนพุ่งทะลุตะแกรงเหล็กออกไปได้ กำแพงในใจของโอเล็กก็เหมือนจะเริ่มมีรอยร้าวรอยหนึ่งแล้ว
เป็นแค่ความกลัว
กลัวว่าคนต่อไปที่ได้รับบาดเจ็บจะเป็นตัวเอง กลัวว่าท้ายที่สุดเขาต้องต่อสู้เพียงตัวคนเดียว กลัวว่าเพื่อนที่สนิทที่สุด ตลอดจนคนรักก็จะหักหลังตัวเอง
แม้แต่เด็กคนหนึ่งยังทำได้ถึงขั้นนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่วัยรุ่น ถึงแม้เขายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้เขาจะยังไร้เดียงสา…แต่ความรู้สึกอับอายที่แทรกซึมเข้าไปในกระดูกกลับแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของโอเล็ก
“ขอโทษนะนิคิตะ ทำให้นายรอมานานขนาดนี้ ฉันว่าฉันควรจะทำลายกรงนี้จริงๆ เสียที” หลังจากโอเล็กจัดการลูกน้องแอนดริวได้คนหนึ่ง ก็ถอยไปอยู่ข้างตัวนิคิตะ พร้อมกับพูดขอโทษ
“นายจัดการเรื่องนี้ก่อนได้ไหม จากนั้นพาฉันไปส่งโรงพยาบาลแล้วค่อยว่ากัน…ฉันรู้สึกว่าฉันใกล้ไม่ไหวแล้ว” นิคิตะพูดแบบมีใจสู้แต่ไม่มีกำลัง
เมื่อกี้นี้กล้าหาญมากเลยนะ! ใช้คำที่ดีเลิศที่สุดในสนามมาบรรยายได้เลยนะ…นิคิตะคิด
แต่ว่าในท้องยังคงมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปอย่างรุนแรง ตอนที่เข็มขัดระเบิดก็สร้างบาดแผลไว้บนร่างกายเขาแผลหนึ่ง ทำให้เลือดสดๆ ไหลออกมา
“ฉันใกล้ตายแล้ว! อย่าพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้สิ!! แค่กๆ…”
“แข็งใจไว้หน่อย! คุณอานิคิตะ พวกเราจะพาอาออกไปเดี๋ยวนี้!” อันทอนหันหน้ากลับมา รีบพูดอย่างรวดเร็ว
“ไอ้บ้าเอ๊ย! พูดมาตั้งหลายครั้งแล้ว อย่างมากก็แค่พี่ชาย…แค่กๆ…เจ็บๆ…”
“จริงๆ นะ ทนอีกหน่อยเถอะ” โอเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันจะต้องพานายออกไปได้แน่นอน!”
ตอนนี้สายตาของโอเล็ก สายตาของอันทอนมาบรรจบพร้อมๆ กัน รวมกันอยู่ที่ประตูที่เปิดออกบานนั้น
วินาทีที่ประตูเปิดออก เงาของแอนดริวที่คาบซิการ์อยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางประตู แต่ข้างกายเขากลับมีคนโผล่ออกมาเรื่อยๆ
บนตัวของคนพวกนี้ใส่ชุดป้องกันเอาไว้ อีกทั้งในมือยังถืออาวุธเอาไว้อีกด้วย
อาวุธที่ไว้บรรจุยาสลบ
“บาดเจ็บ ซ้อมได้…แต่ต้องจับพวกเขาแบบเป็นๆ มาให้ฉัน” แอนดริวโบกมือทันที “ไป!”