สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 29 เหตุการณ์โกลาหล
ตื่นมาด้วยสภาพปวดหัวแทบระเบิด น่าจะเป็นเรื่องปกติของคนที่เคยชินกับการดื่มวอดก้า
ยูริตื่นขึ้นมาแล้ว เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ เขามองฝ้าเพดานที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามเงียบๆ
เจอคนแปลกๆ ซะแล้ว
ยูริพูดกับตัวเองแบบนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็คิดจะอาบน้ำให้สะใจสักรอบ อาการแฮงก์จะได้ดีขึ้นบ้าง
แต่พอยูรินั่งลงข้างเตียง เขากลับเห็นการ์ดดำใบหนึ่งวางอยู่บนขอบหน้าต่าง จึงยื่นมือไปหยิบการ์ดใบนี้โดยอัตโนมัติ
วินาทีที่นิ้วแตะโดนมัน ภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ไหลเข้าสู่สมองทันที…เขาจำเรื่องก่อนเมาหลับไปได้แล้ว
ยูริจึงลุกขึ้นยืน แล้วรีบเดินไปที่ข้างหน้าต่างทันที พอผลักหน้าต่างออก เขาก็รีบโยนการ์ดสีดำในมือใบนี้ทิ้งไปทันที
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องทำแบบนี้ อาจเพราะวู่วามไปหน่อย แต่เขากลับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าการกระทำวู่วามนี้จะทำให้เขาสบายใจได้บ้าง
พออาบน้ำเสร็จ หลังจากที่ยูริกินอาหารเช้าที่เกือบจะกลายเป็นอาหารกลางวันที่ห้องโถงของโรงแรมแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ ฉับพลันเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหนดี เหมือนกับตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองนี้ครั้งแรก
แต่ที่ไม่เหมือนกับครั้งนั้นคือในความสับสนยังแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น แต่ตอนนี้ความตื่นเต้นก็ได้หายไปแล้ว กลายเป็นความทุกข์เข้ามาแทนที่
“ควรไปจากที่นี่ดีไหม…” ยูริกำลังถามตัวเองเบาๆ
แต่แป๊บเดียวเขาก็ได้คำตอบ ‘ไม่!’
ยูริสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับตัวเดินเข้าไปในโรงแรมแห่งนี้ เขาจมดิ่งสู่ห้วงความคิด ขณะนั่งจ้องนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังในล็อบบี้ของโรงแรม
แต่หลังจากเข็มนาทีเดินไปครึ่งรอบแล้ว ยูริก็กัดฟันไปขอยืมโทรศัพท์จากพนักงานในล็อบบี้และต่อสายโทรศัพท์
ยูริพยายามทำให้ตัวเองดูสุขุมและมั่นใจอย่างสุดความสามารถ…พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ไม่ได้สังเกตเขาเลย แค่ก้มหน้าทำงาน ยูริถึงได้หันตัวมาแกล้งทำเป็นมองทางเข้าโรงแรมไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็มีคนรับสาย
“ผมเอง…พวกคุณไม่คิดว่าผมจะหนีออกมาได้ล่ะสิ…จริงๆ ก็ไม่เท่าไรหรอก คุณเยฟิม สถานการณ์ของผมตอนนี้พูดได้ว่าย่ำแย่…ฮ่าๆ เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงต้องให้พวกคุณจ่ายค่าตอบแทนที่ผมควรได้รับ…เพื่ออะไรน่ะเหรอ? ใช่ เหมือนอย่างที่คุณพูดไว้เปี๊ยบเลย คนที่ระหกระเหินอย่างผมนี่ คุณเยฟิมจะต้องคิดแน่ๆ ว่าผมจะฟันฝ่าคลื่นลมออกไปไม่ได้…หรือคุณเยฟิมคิดว่าถ้าผมไม่มีของบางอย่างในมือแล้วผมจะโทรหาคุณเฉยๆ งั้นเหรอ?”
ตอนที่ปลายสายโทรศัพท์เงียบไป บนใบหน้าของยูริก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชา “ง่ายมากครับ ผมต้องการค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ คืนนี้ตอนสองทุ่มที่สถานีรถไฟใต้ดินลูก้าบูโลญ…ให้แอนนามาคุยกับผมด้วยตัวเอง”
พูดจบ ยูริก็วางสายไปด้วยความเด็ดขาด
…
…
นี่เป็นไพ่โป๊กเกอร์ใบที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว พวกมันร่อนจากนิ้วมือของเวร่าไปไกลกว่าสามเมตร แล้วปักเรียงกันอยู่บนคานไม้
อย่าเข้าใจผิด ความจริงแล้วนี่เป็นไพ่โป๊กเกอร์ที่ทำจากโลหะ ถ้าหากเป็นแค่ไพ่กระดาษธรรมดาๆ…คิดว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งการพนัน’ เหรอ?
“เช็กข้อมูลของเจ้านั่นได้แล้ว” ตอนนี้วิคก้าออกจากห้องมาพร้อมกับถือเอกสารที่ปรินต์ออกมา
ขณะที่ปาไพ่ใบที่ยี่สิบแปด เวร่าก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ลองพูดให้ฟังหน่อย”
“ชื่อของเจ้านี่คือยาคอฟ เป็นหัวหน้าแกลเลอรีศิลปะ ทำงานมาได้สิบสามปีแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนมาจากเบลารุส อืม…แต่งงานแล้ว มีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่ง” วิคก้าพูดอย่างเรียบง่าย “นอกจากนี้เขายังสมัครบัญชีผู้ใช้ในเว็บพนันออนไลน์ไว้สามเจ้า…อืม จำนวนเดิมพันของเจ้านี่ค่อนข้างสูง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะแพ้มากกว่าชนะ ดูแล้วรายรับของหัวหน้าแกลเลอรีคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”
เวร่ากางขาเพื่อหมุนเก้าอี้หมุนที่นั่งอยู่ ให้หันไปอยู่ตรงข้ามวิคก้า ไพ่โป๊กเกอร์โลหะใบที่ยี่สิบเก้าก็บินร่อนผ่านหน้าผากของวิคก้าไปตามกัน ชายที่ค่อนข้างผอมคนนี้จึงตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก “เจ้าหมอนี่น่าสงสัย”
“คุณคิดว่ายาคอฟเป็นคนขโมยภาพนี้ออกมาเหรอ?” วิคก้ากำลังใช้แฟ้มเอกสารในมือบังที่ด้านหน้าของตัวเอง แล้วเดินไปด้านข้างของเวร่าอย่างระแวดระวัง เห็นเธอไม่ได้ร่อนไพ่ต่อแล้วถึงได้ถอนหายใจนั่งลง
เวร่าปล่อยให้เก้าอี้หมุนต่อเนื่อง “แพ้เยอะชนะน้อย สถานะทางการเงินน่าจะต้องลำบากแน่ๆ แต่ก็ยังคงเดิมพันได้อย่างต่อเนื่อง นี่ก็พิสูจน์แล้วว่ามีทรัพย์สินในบ้านไม่น้อยเลย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแค่เงินเดือนของหัวหน้าแกลเลอรีศิลปะไม่น่าพอ”
“เขามีรายได้พิเศษ…” วิคก้าพูดเร็วๆ ว่า “ใช้อำนาจของตัวเอง ขโมยภาพที่มีชื่อเสียงพวกนี้ออกมาจากแกลเลอรีศิลปะ จากนั้นก็รีดเงิน!”
พอวิคก้าตบหัวของตัวเองปุ๊บ ก็ชี้เวร่าแล้วพูดว่า “เพื่อไม่ให้เรื่องของตัวเองถูกเปิดเผย ก็เลยโยนความผิดมาให้คุณ!”
เวร่ามองตาค้อน เธอผลักมือของวิคก้าออกไป แล้วพูดแก้ตัวว่า “คนที่ถูกโยนความผิดมาให้เป็น F&C!ไม่ใช่ฉัน!”
“เอาเถอะ…งั้นคุณคิดจะทำยังไง?”
เวร่าคิดไปสักพัก “ฉันแค่รู้สึกแปลกๆ ว่าเขาทำให้ภาพนี้หายไปเองได้ยังไงกัน”
วิคก้า “…”
คุณควรห่วงเรื่องจะล้างมลทินจากเรื่องนี้ยังไงไม่ใช่เหรอ!??
เวร่าลุกยืนขึ้นแล้วใส่เสื้อคลุมทันที
วิคก้ารีบขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สองวันก่อนหัวหน้าแก๊งมาเฟียแก๊งหนึ่งจัดการแข่งมวยผิดกฎหมายขึ้นที่นี่ ไม่รู้ว่าถูกใครจับตัวไป แล้วเปิดโปงเบื้องหลังที่เกี่ยวพันไปถึงคนจำนวนไม่น้อยด้วย ภาพมีชื่อเสียงระดับโลกของที่นี่ก็มาถูกขโมยไปอีก ผมคิดว่าตำรวจต้องเริ่มตื่นตัวกันแล้วแน่ๆ คุณอย่าทำเรื่องส่งเดชจะดีกว่า”
“ในเมื่อภาพถูก F&C ขโมยไป งั้นก็ควรจะอยู่ในมือของ F&C ถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ?” เวร่ายิ้มแล้วพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ฉันจะไปดูบ้านเจ้าหมอนี่หน่อย นายสแตนบายเตรียมช่วยฉันตลอดเวลาด้วยล่ะ”
ไม่ได้ฟังคำเตือนกันบ้างเลย!
“แล้วเรื่องมาพักผ่อนที่มอสโกล่ะ?” วิคก้าบ่นพึมพำ
ปัง เธอปิดประตูไปแล้ว
…
…
ครืน!!
บนชานชาลา ลมแรงพัดมาตามที่รถไฟใต้ดินเข้าเทียบชานชาลา พอรถไฟใต้ดินหยุดลง คนบนชานชาลาก็แออัดทันที
แอนนาเป็นผู้หญิงที่สวยงามตามแบบฉบับดั้งเดิมของผู้หญิงรัสเซีย เธอมักจะสะพายกระเป๋าสายสะพายยาวๆ ใบเล็กๆ เรียบง่ายติดตัวอยู่เสมอ เธอนั่งรอจนกระทั่งคนลงจากขบวนมาเกือบหมดแล้ว เธอถึงได้ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูทางเข้า
รอยยิ้มของเธอสวยหยาดเยิ้ม ตอนเดินเหมือนนางแบบที่เดินอยู่บนแคทวอล์ก ผสมผสานมุมมองสไตล์ความงามในอดีตกับยุคปัจจุบันไว้ด้วยกัน เพียงแป๊บเดียวก็ดึงดูดสายตาของผู้ชายไว้ได้จำนวนมาก
เธอมองไปรอบๆ ฝูงชน เหมือนกำลังหาใครบางคน
“หยุด ไม่ต้องหันมา” ทันใดนั้น แอนนาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังของเธอ
เสียงนั้นพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ค่อยๆ หันมาทางด้านรางรถไฟช้าๆ จำไว้ว่าอย่าหันตัวมา”
เธอรู้สึกว่ามีอะไรจิ้มเบาๆ อยู่ที่ข้างหลังเธอ
แม้ว่าแอนนาจะมองไม่เห็น แต่เธอยังคงเผยรอยยิ้ม พร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า “ยูริ ใจเย็นหน่อย…ฉันดีใจมากที่คุณบอกคุณเยฟิมว่าให้ฉันเป็นคนมาคุย ดีใจมากจริงๆ ที่ได้พบคุณอีกครั้ง”
ยูริแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “จริงเหรอ? น่าดีใจกว่าตอนที่คุณคลานอยู่บนตัวไอ้งั่งเยฟิมนั่นอีกเหรอ?”
แอนนาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยูริ คุณน่าจะรู้ความลำบากของฉัน…ฉันก็ไม่ได้อยากหลอกคุณเลยจริงๆ”
“เอาล่ะคุณแอนนา ผมไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว จะไม่ยอมทิ้งความตั้งใจของตัวเองแล้วมานั่งสิ้นหวังด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอก ความโกรธของผมมันหมดไปนานแล้ว” ยูริพูดอย่างเฉยเมยว่า “ผมไม่สนว่าคุณจะเคยรู้สึกดีๆ กับผมบ้างหรือเปล่า เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเลย ผมแค่ต้องการเงิน เข้าใจไหม?”
แอนนาพูดขึ้นทันที “ได้ยินมาว่าในมือคุณมีของบางอย่าง มันคืออะไรกันแน่?”
“คุณคิดว่าผมจะบอกคุณเหรอ? ” ยูริหัวเราะเยาะ
แอนนาพยักหน้าเล็กน้อย “โอเค ในเมื่อคุณตรงไปตรงมาแบบนี้ ทางฉันก็จะตรงไปตรงมาด้วยแล้วกัน…คุณอยากได้เท่าไรกันแน่? อีกอย่าง คุณไม่คิดหรือว่าถ้าให้พวกเราได้เห็นของ แม้จะเป็นเพียงแค่บางส่วน ก็จะทำให้คุณมีอำนาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น แล้วคุณก็ได้กลายเป็นต่อน่ะ? ถ้าไม่มีการพิสูจน์ พวกเราก็จะไม่ให้คุณต่อรองอะไรง่ายดายแบบนี้เหมือนกัน”
ระหว่างที่แอนนาพูดอยู่ เธอก็ค่อยๆ ลดแขนตัวเองลงช้าๆ แล้วเปิดกระจกในตลับเครื่องสำอางอันเล็กๆ ในมือออกช้าๆ แล้วขยับส่องไปทางด้านหลัง
“สิบล้านยูโร”
“ไม่มีปัญหา แต่อย่างน้อยคุณต้องให้พวกเราเห็นบางส่วนของสิ่งนั้นก่อน” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ยูริสบถแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าผมจะให้พวกคุณดูเหรอ? เรื่องนี้พวกคุณไม่มีสิทธิ์ต่อรอง พวกคุณทำได้แค่เลือกว่าจะจ่ายหรือไม่จ่ายเท่านั้น!”
“ยูริ” แอนนาร้องลั่นทันที แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับยูริ
“ผมบอกไม่ให้คุณหันมาไง! หรือว่าคุณไม่กลัวตายเหรอ?” ยูริเบิกตากว้างแต่ไม่สามารถอำพรางความตื่นตระหนกในดวงตาได้
แอนนายิ้มเล็กน้อย เธอกำลังมองดูชุดที่ยูริคลุมไว้บนแขน ก่อนยื่นมือออกมาจับแขนของยูริ แล้วแหวกเสื้อตัวนี้ออก
การเคลื่อนไหวของเธอรวดเร็วมาก
“นิ้วมือยิงลูกกระสุนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เฮอะ!” ยูริสบถเสียงเย็นชา แล้วก็พูดหนักแน่นว่า “ถึงคุณจับได้แล้วจะยังไงล่ะ? คุณคิดว่าของสำคัญแบบนี้ผมจะพกไว้ติดตัวเหรอ? จะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมไม่ได้กลับไปอย่างปลอดภัย พรุ่งนี้ทั้งมอสโกจะต้องรู้เรื่องของพวกคุณ!”
“อย่าตื่นตกใจไป” แอนนาเม้มปากแล้วยิ้ม เข้าไปหายูริใกล้ๆ อีกหนึ่งก้าว
“อย่าเข้ามา!” ยูริถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ
แอนนายังคงเดินเข้าไป ยูริเลยต้องเดินถอยหลังทีละก้าวทีละก้าว จนเข้าไปใกล้กำแพง ตอนนี้ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว เขาจึงคิดหนักที่จะหนีไปจากที่นี่
แต่มือของเขากลับถูกแอนนาจับไว้อย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้เคลื่อนไหวเร็วมาก แป๊บเดียวก็จูบเข้าที่ริมฝีปากของเขา
จูบที่เร่าร้อนดั่งไฟเผา เขาเคยลิ้มรสมันมาแล้ว คืนแบบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนแต่ทำให้เขาหลงอยู่ในความสวยพร่างพรายนี้
แต่ไม่นานเขาก็ได้สติ!
ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ จนเกินกว่าเขาจะทนไหว ทำให้ลูกตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในมือแอนนามีปืนสั้นขนาดกะทัดรัดสีเงินแวววาว วินาทีที่รถไฟใต้ดินเข้าสู่ชานชาลา เสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัด ท่ามกลางเสียงเบรกของรถไฟใต้ดินที่ดังแสบแก้วหู
มีเพียงชุดที่ยูริคว้าอยู่ก่อนหน้านั้นคั่นกลางไว้
สองหรือสามนัด?
เมื่อแอนนาถอนจุมพิตออกไป ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอใช้มือมาปิดบังไว้ แอนนาเขย่งปลายเท้าขึ้นมา พูดเบาๆ ที่ข้างหูของยูริราวกับเสียงกระซิบของคู่รักว่า “ยูริที่รัก บางทีคุณอาจไม่รู้ว่าฉันเข้าใจคุณ และมากกว่าที่คุณเข้าใจตัวเองเสียอีก ฉันจำแววตาและการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของคุณได้ทั้งหมด…ดังนั้นการเจรจาจึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายดีๆ คนหนึ่งควรจะทำ”
“แอนนา…”
ยูริรู้สึกว่าเรี่ยวแรงในตัวกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับคุณ” แอนนาพูดเหมือนเป็นภรรยาของเขา ก่อนเข้าไปซุกในอกยูริ แล้วพูดว่า “ลาก่อน”
เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วกลับตัวเดินเข้าไปในรถไฟใต้ดินที่กำลังจะออกตัว
…
ไม่ควรอยู่ที่นี่เลย…ควรจะไปจากที่นี่ถึงจะถูก
เขากำลังเสียใจอยู่อย่างนี้
ร่างกายของยูริไถลลงไปตามกำแพงช้าๆ ถึงขนาดจะอ้าปากพูดก็ไม่มีแรง เมื่อเขาทรุดนั่งลงมาบนพื้นทั้งตัว บนกำแพงก็มีรอยเลือดสีแดงสดอยู่จุดหนึ่ง
ในที่สุดผู้คนก็ค้นพบว่าตรงนี้มีผู้ชายบาดเจ็บอยู่คนหนึ่ง จึงเริ่มโกลาหลขึ้นมาอย่างหนัก มีคนเดินมาเช็กดู และก็มีคนรีบเรียกรถพยาบาล
ยูริรู้สึกแค่ว่าเสียงนั้นกำลังอยู่ไกลตัวเองออกไป ภาพในตาก็เริ่มทับซ้อนและเลือนราง
เหมือนเขาคว้าอะไรได้ ตอนที่ตัวล้มลงไปบนพื้นแล้ว เขาพบการ์ดสีดำสนิทใบหนึ่งในมือ…เป็นการ์ดใบนั้นที่เขาโยนทิ้งไปหรอกเหรอ?
ยูริไม่รู้
แต่เขาได้ยินเสียง
“คุณลูกค้า คุณต้องการอะไรไหมครับ?”