สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 32 ของปลอมสวมรอยของจริง
ยูริก็เรียกเอดการ์มาถามว่ารู้จักแขกสองคนนั้นที่เขาเพิ่งพบหรือเปล่า
แต่ว่าเอดการ์กลับมีสีหน้างุนงง และถามว่า “ท่านครับ เมื่อสักครู่นี้มีแขกมาด้วยหรือครับ? ทำไมผมจำไม่ได้เลย?”
ลืมแล้ว
จำอะไรไม่ได้เลย…ไม่เพียงแต่เอดการ์เท่านั้น ขนาดสาวใช้คนสวยที่เพิ่งโกนหนวดให้เขาเมื่อครู่ หรือแม้กระทั่งบอดี้การ์ดรูปร่างกำยำที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในคฤหาสน์แห่งนี้ต่างก็บอกว่าไม่มีใครมาเลย
ยูรินั่งเหม่อลอยในห้องหนังสือ ถึงแม้ว่าเป็นห้องหนังสือ แต่ที่นี่ก็ตกแต่งอย่างกับพระราชวัง
ข้างกายเขามีตราประทับที่ว่ากันว่ามีอำนาจใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของผู้สืบทอดได้ รวมทั้งทรัพย์สินของตระกูลอีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์
“เอดการ์…ทรัพย์สินส่วนตัวของผมมีเท่าไร?” ยูริรีบถามทันที
“ท่านครับ ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านมีเกือบสี่พันหนึ่งร้อยล้านยูโรครับ”
“ของตระกูล…ของตระกูลล่ะ?”
“เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อตรวจเช็กใหม่ ถึงจะระบุตัวเลขที่แน่ชัดได้ครับ” เอดการ์ พูดด้วยความเคารพ “ท่านครับ ตลาดต่างประเทศแปรปรวนมาตลอด ตัวเลขสถิติที่แน่นอนน่าจะทำได้เรียบร้อยดีในช่วงงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในคฤหาสน์ช่วงปลายปี แต่ตัวเลขเมื่อปีที่แล้วคือเจ็ดหมื่นห้าร้อยสี่สิบล้านยูโรครับ”
สิบห้าเปอร์เซ็นต์…เจ็ดร้อยห้าสิบสี่ล้าน…ยูโร…
ยูริถึงกับใช้สองมือลูบใบหน้าให้ตัวเองสงบใจลงหน่อย แต่เอดการ์ก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ พูดว่า “ท่านครับ ท่านไม่สบายหรือเปล่าครับ? ต้องเรียกหมอมาไหมครับ?”
จริงสิ ในคฤหาสน์แห่งนี้ยังมีหมอส่วนตัวด้วยนี่
“ไม่ต้องหรอก ผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก คุณออกไปก่อนเถอะ” ยูริรวบรวมสติพูดออกมา
เอดการ์พยักหน้า สองมือของเขาแนบอยู่ข้างลำตัว โค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ
ยูริกุมขมับตนเองอย่างลืมตัว เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แหงนหน้ามองเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเพดาน…เฟอร์นิเจอร์ประดับเพดานแบบนี้คาดว่าคงต้องใช้เงินเดือนที่เขาเคยทำงานที่พิพิธภัณฑ์ถึงแปดปี สิบปีหรือมากกว่านั้นถึงจะซื้อมาได้ล่ะมั้ง?
แต่ว่า
“มีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น…”
ยูริหลับตาลงช้าๆ เพราะเขารู้ว่าเขาใช้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองแลกกับชีวิตสุดหรูหราในหนึ่งเดือนนี้
…
…
ในตึกใหญ่ แอนนารอให้ตัวเลขบนแผงปุ่มกดลิฟต์เลื่อนไปถึงตัวเลขของชั้นที่เธอต้องการ
ติ้ง!
เธอเดินออกมาจากลิฟต์ ด้านหน้าประตูลิฟต์มีชายสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ และพวกเขากำลังใช้เครื่องสแกนตรวจจับโลหะสแกนด้านหน้าและด้านหลังตัวเธอด้วยความชำนาญอย่างที่สุด
แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “ฉันต้องทำแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ?”
“คุณแอนนาครับ คุณน่าจะรู้ว่านอกจากคนในครอบครัวนายท่านแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้กันทั้งหมด” ชายหนึ่งในนั้นพูดแบ่งรับแบ่งสู้
ตอนนี้เองชายอีกคนหนึ่งกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “เรียบร้อยแล้วครับคุณแอนนา คุณเยฟิมรอคุณอยู่ด้านในแล้วครับ”
แอนนาหัวเราะเบาๆ พูดหยอกล้อว่า “ยังดีนะ ตอนที่ฉันกับเจ้านายพวกแกมีอะไรกัน พวกแกไม่ได้คอยมองดูอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าต่อให้เจ้านายของแกแข็งแรงราวกับหมีสีน้ำตาล ฉันก็คงไปไม่ถึงจุดสุดยอดเหมือนกัน”
พวกเขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
แล้วพวกเขาก็เดินกลับไปประจำตำแหน่งซ้ายขวาราวกับรูปปั้นหน้าลิฟต์
แอนนาก็เลิกมอง แล้วเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำแห่งนี้ ผนังในที่แห่งนี้แทบจะเป็นกระจกมุมมองร้อยแปดสิบองศา และระดับความสูงของตึกใหญ่โตนี้ก็มากพอ ทำให้มองเห็นวิวได้ไกลมาก
“กลับมาแล้วเหรอ”
ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนรูปร่างล่ำสันคนหนึ่ง…อันที่จริงน่าจะเรียกว่ากล้ามเนื้อเป็นมัดมากกว่ากำลังเดินลงมาจากตรงบันไดเวียนที่พาไปสู่ชั้นบนของห้อง
“เรื่องนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว?” เขาพูดต่อ
แอนนาเหน็บผมที่หลังหูพร้อมรอยยิ้มสวยหยาดเยิ้ม ทันใดนั้นเธอก็ค่อยๆ ใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของตนเอง …แล้วเลื่อนนิ้วต่ำลงไปช้าๆ แตะตรงนั้นที ตรงนี้ที “ตรงนี้ ตรงนี้…แล้วยังมีตรงนี้ สามนัด”
เยฟิมแค่มองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ข้างๆ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ตอนแรกเจ้าหมอนั่นบอกราคาเท่าไร?”
“สิบล้านยูโรค่ะ”
เยฟิมฟังแล้วก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เหมือนเคยได้ยินมาแล้ว
เขาหยิบแก้วออกมาสองใบ เปิดขวดเหล้า หลังจากรินเหล้าสองแก้วแล้วถึงได้เดินไปตรงหน้าแอนนา แล้วยื่นให้เธอแก้วหนึ่ง “คุณน่าจะไว้อาลัยให้เขาสักหน่อยนะ คุณแอนนา”
แอนนายิ้มน้อยๆ แล้วชนแก้วกับเยฟิมเบาๆ “ไม่ใช่พวกเราหรอกเหรอคะ?”
“ยูริตายไปแบบนี้น่าเสียดายจริงๆ” เยฟิมยักไหล่พูด “แต่เสียดายก็ส่วนเสียดาย ยังไงผมก็ไม่ชอบคนหัวดื้อเหมือนกัน มานี่สิ ผมจะให้คุณดูอะไรหน่อย”
พูดแล้ว เยฟิมก็เดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง เป็นมุมที่อยู่ชิดผนังกระจก
ตรงนั้นมีที่วางรูปอันหนึ่ง ด้านบนมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ดูเหมือนแอนนาจะรู้แล้วว่าของสิ่งนี้คืออะไร แววตาพลันเป็นประกายวิบวับ
“ลองเปิดดูสิ”
เยฟิมเดินไปข้างๆ โซฟา
ส่วนแอนนาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเปิดผ้าสีขาวบนชั้นวางออก ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’
แววตาของแอนนาทอประกายหลงใหล เธอยื่นนิ้วมือลูบไล้ไปบนกรอบภาพวาด “งดงามเหลือเกิน…นี่คือสุภาพสตรีนิรนาม…ของพิพิธภัณฑ์”
“ไม่”
คาดไม่ถึงว่าเยฟิมกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “นี่เป็นภาพที่ยูริวาด”
แอนนาอึ้งไป เธอขมวดคิ้วอย่างเสียไม่ได้ หันขวับกลับมามองจระเข้ยักษ์แห่งมอสโกคนนี้ “ยูริ?”
เยฟิมนี่ถึงได้หัวเราะเบาๆ “เพราะงั้นผมถึงบอกว่า เสียดายที่ยูริตายยังไงล่ะ”
แอนนายังคงขมวดคิ้วอยู่ ราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ เลยพูดอย่างลืมตัวว่า “งานประมูลมะรืนนี้ คุณคงไม่ได้คิดจะประมูลขายภาพปลอมนี้หรอกนะ?”
“ใครว่าเป็นภาพปลอม?” เยฟิมพูดช้าๆ “ในเมื่อภาพถูก F&C ขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ถ้า F&C เอาออกมาประมูลขาย อย่างนั้นมันก็เป็นของจริง”
“ฉันรู้แล้วว่าคุณเสียดายอะไร”
แอนนายิ้มหวานชวนหลงใหลแล้วเดินไปตรงหน้าเยฟิม เธอถอดรองเท้าส้นสูงของตนเองออก สุดท้ายก็นั่งคร่อมบนตัวเยฟิม “เดิมทีคุณน่าจะได้ครอบครองภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ มากมายถึงจะถูก จริงๆ แล้วฉันไม่น่าส่งยูริไปพบพระเจ้าแบบนี้เลย…เพราะเขาวาดได้จริงๆ”
ตอนแรกเธอนึกว่าเยฟิมจะซื้อภาพจริงที่ถูกขโมยมาขายต่อที่งานประมูล แล้วค่อยขายภาพปลอมที่ยูริวาดขึ้นให้กับพวกเศรษฐีใหม่ที่ไม่รู้เรื่องธุรกิจ เพื่อหาเงินมาเพิ่มอีกสักก้อน
กลับคิดไม่ถึง ยูริทำของปลอมสวมรอยของจริง ทำออกมาได้แทบจะสมบูรณ์แบบ
ขนาดเมื่อครู่นี้ ถ้าเยฟิมไม่ได้พูดออกมาจากปากเอง ที่จริง…ที่จริงเธอก็ถูกต้มไปแล้วเหมือนกัน
ในเมื่อหลอกเธอได้ ก็ย่อมหลอกนักสะสมส่วนใหญ่ได้เหมือนกัน…ไม่สิ ทั้งหมดเลยต่างหาก ไม่ใช่แค่ส่วนใหญ่สักหน่อย
“ขอโทษจริงๆ นะคะ” แววตาแอนนาเปลี่ยนไป เธอก้มหน้าแต่ยังคงยิ้มหวานหยาดเยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าฉันน่าจะชดเชยให้คุณอย่างเต็มที่สักหน่อย”
แต่เยฟิมกลับพูดว่า “ไม่ต้องหรอก งานประมูลมะรืนนี้ คุณช่วยผมเชิญคนให้ประมูลอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว ผมมีนัดกินข้าว เดี๋ยวจะต้องไปแล้ว”
…
…
“ปล่อยผม! ปล่อยผม! ปล่อยผม! พวกคุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร? พวกคุณกล้าขังผมไว้ที่นี่เหรอ? ผมจะพบประธานาธิบดีของพวกคุณ! ปล่อยผมออกไป!”
ด้านในสถานีตำรวจ มีคนกำลังตะโกนลั่นอยู่
นักสืบหนุ่มเยียร์เกอร์เหน็ดเหนื่อยกับเรื่องที่พิพิธภัณฑ์แกลเลอรีมาครึ่งวันเพิ่งจะได้กลับมา เขาขมวดคิ้วถามเพื่อนร่วมงานอย่างเสียไม่ได้ว่า “แล้วเจ้าหมอนี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่มีใครรู้ครับ เจ้าหมอนี้ขโมยของในร้านสะดวกซื้อเลยถูกจับครับ…บอกว่าอะไรนะ ตัวเองเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ เป็นทายาทตระกูลดัง แล้วยังจะไปพบท่านประธานาธิบดีของเราอีก…งั้นผมก็คงเป็นลูกหลานซีซาร์*แล้วล่ะ! ฮ่าๆ!”
เยียร์เกอร์ยักไหล่ไม่สนใจ แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานจ่าวิคเตอร์
*ซีซาร์ หมายถึงจูเลียส ซีซาร์ รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ในตระกูลขุนนางเก่าแก่