สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 35 ความแค้นของยูริ
แม้ว่าพนักงานโรงแรมที่ถูกเชิญให้ออกจากโถงงานเลี้ยงจะประหลาดใจ แต่ได้ออกไปก็ใช่ว่าจะไม่ดีอะไร
เพราะอะไรน่ะเหรอ?
แน่นอนว่าไม่ต้องทำงานแล้วน่ะสิ!
แต่กลับมีบางคนไม่ได้ยินดีด้วย…อย่างเช่นคุณเยียร์เกอร์นักสืบหนุ่มคนนั้น เพราะพวกเขาเข้ามาในนี้ได้ด้วยข้อมูลจาก ‘นักธุรกิจ’ ที่อยู่เบื้องหลัง
“จ่า…คุณวิคเตอร์ ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราไม่มีทางเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในได้เลยนะครับ” เยียร์เกอร์ร้อนใจอย่างอดไม่ได้
“อย่าเพิ่งโวยวายไป” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว มือแนบไปที่หูราวกับกำลังตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง…แต่เสียงที่เขาพอจะได้ยินส่วนใหญ่ก็แค่เสียงแทรกรบกวนเท่านั้น
ถึงขนาดดังแสบแก้วหูกะทันหัน!
วิคเตอร์รีบดึงหูฟังที่ซ่อนในหูออกตามสัญชาตญาณ สีหน้าไม่น่าดูนัก อย่างกับสุนัขที่เสียเหยื่อชิ้นใหญ่ไป “ข้างในมีเสียงรบกวน บ้าชะมัด!”
“งั้นพวกเราคงได้แต่รอ?” เยียร์เกอร์ขมวดคิ้วถาม “ไม่สู้พวกเราบุกเข้าไป แล้วรวบทั้งตัวผู้กระทำผิดพร้อมหลักฐานเลยล่ะครับ?”
“เป็นความคิดที่ดีมาก!” วิคเตอร์พยักหน้า “ภารกิจนี้มอบให้คุณก็แล้วกัน! วางใจได้ ผมจะหาโอกาสช่วยเก็บศพคุณเอาไว้แน่นอน”
“เอ่อ…”
“คุณรู้หรือเปล่าว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นใครบ้าง?” วิคเตอร์พูดยิ้มเยาะ “ถึงแม้คุณจะตายอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับหรือแม้กระทั่งบนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ในมอสโกก็จะไม่เขียนข่าวของคุณเลยสักบรรทัดเดียว!”
เยียร์เกอร์เดินวนไปวนมาด้วยกระวนกระวายใจ แล้วจึงมองนอกหน้าต่างตรงระเบียงทางเดิน ทันใดนั้นก็รีบพูดขึ้นทันที “วิคเตอร์ ลองดูนั่นสิ!”
นั่นเป็นเครนยกที่ใช้ทำความสะอาดกระจกอาคาร มันแขวนอยู่ผนังด้านนอกโรงแรม
…
…
“ยูริคิดจะทำอะไรนะ?”
คุณสาวใช้พูดกระซิบข้างหูนายท่านของตนด้วยท่าทางสนใจ…ใช่แล้ว เป็นการบอก ไม่ใช่การถาม ลั่วชิวรู้ว่าเธอแค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าต้องรู้คำตอบให้ได้เดี๋ยวนี้ หรืออาจแค่แกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ดูต่อไปก็รู้เอง” ลั่วชิวตอบเบาๆ “ด้วยฐานะของเขาตอนนี้ ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าคน เขาก็จะปลอดภัยดี”
คนที่มีหน้ามีตาในสังคม โดยเฉพาะผู้รอดชีวิตในความมืดมิดที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้อุดมการณ์ของประเทศชาติ ส่วนมากก็จะใจแคบกันทั้งนั้น
อย่างเช่น มีคนพูดว่า ‘ภาพวาดภาพนี้เป็นของปลอม’
เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย และไม่มีใครมาโต้แย้งเลย บางคนก็เพียงแค่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ แต่ในฐานะผู้ควบคุมการประมูลในงานครั้งนี้ สายตาของแอนนาย่อมสังเกตเห็นทันที
แต่เธอยังคงรักษาท่าทางสงบไว้ เธอมองดูชายคนนั้นที่ลุกขึ้นเดินโซเซในงานประมูล ชุดทักซิโด้สีขาว คู่กับผ้าปิดตาอย่างง่ายๆ
เหมือนว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้แอนนารู้สึกสับสน
และก็ในตอนนี้เอง แอนนาได้ยินเสียงหนึ่งดังข้างหูของเธอ…เป็นเสียงของเยฟิม ‘ปล่อยให้หมอนี่เดินมาใกล้ๆ หน่อย ฉันจะดูว่าเขาเป็นใครมาจากไหน’
แน่นอนว่าเยฟิมไม่ได้มาร่วมงานประมูลครั้งนี้ แต่เขากำลังนั่งสบายอารมณ์อยู่ในห้องที่เหมือนป้อมปราการของตัวเอง และดูงานประมูลครั้งนี้ผ่านทางเธอเท่านั้นเอง
“ค่ะ”
แอนนาพูดตอบไปเบาๆ หลังจากนั้นริมฝีปากแดงอวบอิ่มก็ฉีกยิ้ม เธอจัดเข็มกลัดตรงหน้าอก แล้วเดินลงมาจากเวทีอย่างสง่างาม พร้อมเอ่ยขึ้นก่อนว่า “คุณผู้ชาย ถ้าคิดว่าภาพนี้เป็นของปลอม จะลองตรวจสอบสักหน่อยก็ได้นะคะ ความจริงแล้ว ฉันอนุญาตให้ทุกท่านที่นั่งอยู่สามารถตรวจสอบได้เช่นกันค่ะ”
แอนนาเหน็บผมข้างหูตนเอง แล้วมองไปรอบๆ ห้องโถงแห่งนี้แวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “ฉันเชื่อว่าของปลอมอาจหลอกได้คนสองคน…แต่คงไม่มีทางหลอกได้ทุกคนหรอกใช่ไหมคะ?”
ทั้งสองคนใกล้กันเรื่อยๆ น่าจะห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ จากจุดนี้ แอนนาสามารถเห็นชายชุดขาวคนนี้ได้เต็มตัว
“ตราประจำตระกูลดีคาปี้…ระวังตัวด้วย พยายามอย่าไปขัดใจอีกฝ่ายล่ะ”
แอนนาไม่ค่อยเข้าใจว่าคนในตระกูลดีคาปี้เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ขนาดความสามารถระดับเยฟิมยังบอกออกมาตรงๆ ว่าอย่าไปขัดใจเขาล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังของอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดาแน่
“งั้นผมขอตรวจสอบให้ทุกท่านดูสักหน่อยแล้วกัน”
หมอนี่พูดมั่นใจเต็มที่ แต่จากท่าทางแล้ว เหมือนจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มมามากกว่า แอนนาจึงหัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “ได้แน่นอนค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคุณผู้ชายท่านนี้มีความเห็นต่างอย่างไรบ้าง”
…
จำเขาไม่ได้จริงๆ ด้วย
ยูริลอบคิดเงียบๆ ในใจ ถึงแม้ว่าจะใส่ผ้าปิดตาแบบง่ายๆ แต่ก็แทบจะไม่ได้ปิดบังเค้าโครงใบหน้าของเขาเลย
เมื่อก่อนเขาเคยนึกว่า เขาและผู้หญิงคนนี้เข้ากันได้สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว เขารู้จักทุกซอกทุกมุมบนตัวเธออย่างดี กลิ่นของเธอ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ เสียงพูดของเธอ เขาเคยคิดว่าเธอก็คงเป็นเหมือนกัน
แต่แอนนากลับจำเสียงพูดของเขาไม่ได้ อาจด้วยเขาแลกทุกอย่างที่มีเพื่อให้ได้สิ่งที่ถือครองอยู่ตอนนี้ ทำให้ไม่หลงเหลือความเกี่ยวข้องใดกับยูริคนเดิม?
หรือบางทีเธออาจไม่เคยมียูริอยู่ในใจเลย เขาได้หายไปจากสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนั้นตลอดกาลแล้ว
แต่ผมกลับมาแล้ว
ผมผ่านความตายมาแล้ว ปีนขึ้นมาจากขุมนรกอันเย็นยะเยือก…ยูริสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเดินเฉียดผ่านแอนนาไป
เขาพูดขึ้นทันทีว่า “จะว่าไปแล้ว สีแดงของดอกกุหลาบเหมาะกับคุณจริงๆ นะครับ”
เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาให้แอนนาได้ยินคนเดียว ฉับพลันนั้นเธอก็นึกได้แล้วว่า มีใครบางคนเคยพูดแบบนี้กับเธอ แอนนารีบหันขวับ เธอมองดูด้านหลังของเขาที่เดินไปทางเวที
เธอรู้สึกคุ้นๆ…ทั้งยังสับสนแปลกๆ อยู่เล็กน้อย
แต่ชายสองคนที่ประคองภาพบนเวทีกลับปฏิเสธไม่ให้ยูริเข้าใกล้เกินไป “คุณผู้ชายครับ กรุณารักษาระยะห่างอย่างน้อยหนึ่งเมตรด้วยครับ ระยะห่างเท่านี้น่าจะเพียงพอให้คุณมองดูอย่างละเอียดแล้วนะครับ”
แต่ยูริกลับยักไหล่
เขาหันกลับมามองดูผู้คนในงานทั้งหมด แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ก่อนที่ผมจะพิสูจน์ ผมขอถามว่าที่นี่มีคนคิดว่าภาพนี้เป็นของจริงอยู่กี่คน…อ้อ แล้วก็อย่าให้การขัดจังหวะของผมทำให้ทุกท่านลังเลเลย หรือที่พวกคุณมาถึงที่นี่ ไม่ได้เชื่อมั่นในสายตาของตัวเองเลยเหรอ? หรือจะบอกว่าพวกคุณทั้งหมดเป็นขยะ แค่คำพูดของผมคำเดียวก็เสียความมั่นใจไปแล้ว?”
เขาหันไปยิ้มเยาะใส่ผู้คน…การพูดจาแขวะของเขา ส่งให้แทบทุกคนในที่นี้ไม่พอใจทันที
“คุณจะอวดดีมากเกินไปแล้ว” ในงานเลี้ยง ผู้สูงวัยผอมบางคนหนึ่งพูดเหยียดหยาม “ที่ไม่ได้พูด ไม่ใช่เพราะดูไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม แต่เพราะคุณใจร้อนเกินไปเองต่างหาก”
คนที่มานั่งอยู่ที่นี่ได้ย่อมผ่านประสบการณ์มาโชกโชน และยังทำใจเย็นอยู่ได้ ในจังหวะนี้พวกเขาเลือกที่จะไม่ก่อความวุ่นวาย ถึงแม้งานประมูลครั้งนี้จะเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น พวกเขาก็จะถือว่าเป็นงานเลี้ยงเต้นรำหน้ากากธรรมดาๆ งานหนึ่งแล้วกัน
ยูริเข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดของผู้สูงวัยคนนี้ แต่โดยเนื้อแท้ของเขาแล้วแตกต่างจากทุกคนที่นี่ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเพียบพร้อมมีทุกอย่างดั่งฝัน แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกใบเดียวกันกับพวกเขาเลย
“งั้นเหรอ” จู่ๆ ยูริก็ผิวปากเล่น “ถ้าอย่างนั้น ผมจะบอกพวกคุณเอง ว่าทำไมภาพนี้ถึงเป็นของปลอม พวกคุณดูสิ ในภาพนี้…”
เขาจงใจเว้นจังหวะพูดตรงนี้ เพื่อดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งชายที่ถือภาพนี้ด้วยเช่นกัน สายตาของพวกเขาต่างมองตามนิ้วของยูริไปโดยอัตโนมัติ
และก็ในตอนนี้เอง
ยูริสาดเหล้าในแก้วไปบนภาพนี้อย่างจัง ด้วยเหล้าที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง ทำให้วัสดุสีที่ใช้วาดภาพอย่างสีน้ำมันละลายออกมาทันที
เหล้าที่สาดไปบนใบหน้าหญิงสาวบนภาพวาด ทำให้ดวงตาของสุภาพสตรีนิรนามละลายเป็นน้ำทันที เหล้าที่ผสมปนกับสีบนภาพวาดก็เริ่มไหลลงมาจากใบหน้าสุภาพสตรีนิรนาม ราวกับน้ำตาสีดำที่รินไหลลงมา
แล้วยูริก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “นั่นเพราะว่า ตอนนี้ภาพวาดนี้กลายเป็นภาพขยะแล้วยังไงล่ะ”
“พระเจ้า!! เขาทำลายภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ นี้แล้ว!!”
เขาทำลายภาพวาดมีชื่อเสียงที่ตกทอดมาตั้งแต่โบราณต่อหน้าผู้คนมากมายได้อย่างง่ายดาย ราวกับคนบ้า ฉับพลันนั้น นักสะสมจำนวนมากก็พากันประณามคนบ้าคนนี้อย่างโกรธแค้น หากแต่ในใจนั้นร่ำไห้ที่สมบัติล้ำค่าในโลกนี้ได้ถูกทำลายไปเสียแล้ว!
“จับตัวหมอนี่เอาไว้!”
แอนนาเห็นดังนั้นก็ตะลึงงันถึงขีดสุด ตอนนี้เธอได้ยินเสียงของเยฟิมที่สะกดกลั้นความหงุดหงิดสุดขีดเอาไว้!
แอนนามีปฏิกิริยาว่องไว เธอรีบหันไปทำสัญญาณมือให้ชายทั้งสองบนเวทีอย่างรวดเร็ว หลังจากสองคนนั้นได้รับคำสั่งก็เดินตรงไปทางยูริทันที “คุณผู้ชาย ผมคิดว่าพวกเราต้องพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อยนะครับ”
ปัง!
ปัง!
คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่สองคนจะได้เข้าไปใกล้ ในที่แห่งนี้ก็มีเสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้นสองครั้ง เป็นเสียงปืน!
ในชั่วพริบตานั้น พวกเขาพากันมองหน้าอกของตัวเองที่มีเลือดแดงอาบอย่างเหลือเชื่อ แล้วล้มลงไปบนพื้น ตอนนี้เองพบว่ายูรินิ่งสงบผิดปกติ ขวดเหล้าในมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็ค่อยๆ รินไปบนตัวของชายทั้งสองคนนี้ แล้วถึงได้รินจนเต็มแก้วเหล้าของตนเอง เขาหันตัวกลับมา ค่อยๆ แสดงความเคารพในระยะไกลต่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ถือปืนกระบอกสีเงินอยู่ในห้องโถงงานเลี้ยง
ผู้อาวุโสที่ยิงปืนฆ่าสองคนนั้นในชั่วพริบตาก็คือ…คุณพ่อบ้านแห่งตระกูลดีคาปี้
ในงานประมูลที่ไม่เปิดเผยตัวตนแบบนี้ ผู้มีอิทธิพลมากมาย จะไม่มีคนคอยคุ้มครองข้างตัวได้ยังไงล่ะ?
ในวินาทีที่เสียงปืนดังขึ้นนั้น บอดี้การ์ดของบรรดาแขกเหรื่อต่างก็ปกป้องเจ้านายของตนเองทันที พวกเขาก็มีอาวุธเป็นของตนเองเหมือนกัน และในตอนนี้…พวกเขากำลังระแวดระวังคนรอบๆ ตัว
“นี่คิดจะประกาศสงครามกันเลยใช่ไหม? ดี! ผมไม่สนตระกูลดีคาปี้อะไรแล้ว! แอนนา! จับตัวหมอนี่ไว้! ต้องจับตัวหมอนี่ให้ได้!! ผมจะให้ตระกูลดีคาปี้ชดใช้ค่าเสียหายของผมทั้งหมด!!”
นั่นเป็นเสียงคำรามของเยฟิม
“อย่าปล่อยให้คุณผู้ชายท่านนั้นหนีไปได้” ตอนนี้แอนนาไม่เพียงแค่ส่งสัญญาณมือ เธอยังสั่งด้วยเสียงโกรธสุดขีด
แต่ในตอนนั้นเอง ประตูบานใหญ่ของห้องโถงงานเลี้ยงกลับเปิดออก แล้วชายกำยำในชุดสูทสีขาวรวมสิบกว่าคนก็กรูกันเข้ามาในงาน ได้ยินเพียงคุณพ่อบ้านคนนั้นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “คุ้มครองเจ้านาย”
ปังๆ ปังๆ ปังๆ…ปัง!
ปัง!!
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!!!”
เสียงหัวเราะลั่นบ้าคลั่งของยูริดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืนดังสลั่นไม่หยุด
เขากระโดดลงมาอยู่ฝั่งเขาเอง ท่ามกลางเสียงปืนที่ยิงมั่วซั่วของฝั่งแอนนา…ฝั่งแขกเหรื่อมากมาย เขากลับโยกศีรษะไปพร้อมกับรินเหล้า ดื่ม ยิ้ม แล้วก็เดินเซมาจนถึงโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตัวหนึ่งตรงมุมห้อง ก่อนหย่อนตัวนั่งลง
คนที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงโต๊ะตัวนี้มาโดยตลอดก็คือ เจ้าของสมาคมและคุณสาวใช้
ไม่ว่าเสียงปืนจะดังวุ่นวายมากเพียงใด ไม่ว่าแขกพวกนั้นจะพลิกโต๊ะล้มแล้วไปซ่อนใต้โต๊ะด้วยความตื่นตกใจเพียงใด และไม่ว่าตอนนี้มีคนมากมายเท่าไรล้มลงไปบนพื้น และไม่ว่าโคมไฟและแก้วพวกนั้นจะโดนกระสุนแตกกระจายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนแม้แต่น้อย
ยูริแค่ยิ้มแล้วถอดผ้าปิดตาบนใบหน้าออกทันที จากนั้นก็โยนทิ้งส่งๆ ไปบนพื้น
เขาพูดว่า “น่าดูไหม? สนุกไหมล่ะ? ผมรู้ว่าคุณจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ…ผมรู้ว่าคุณต้องสนใจสิ่งที่ผมคิดจะทำแน่นอน”
ลั่วชิวกลับพูดเบาๆ ว่า “อืม สัมผัสด้วยตัวเองดีกว่าดูในหนังตั้งเยอะ…นี่ก็คือการแก้แค้นที่คุณลูกค้าต้องการหรือครับ?”
“ไม่ใช่” ยูริวางแก้วในมือ แล้วกรอกเหล้าแรงๆ เข้าปากจากในเหยือกเหล้าราวกับสัตว์ป่า “นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น…ผมยังเหลืออีกยี่สิบเก้าวันไม่ใช่เหรอ?”
“ผมก็ตั้งตารออยู่”
…
วิคเตอร์และเยียร์เกอร์จำต้องหลบอยู่บนรถเครนยกที่อยู่ติดผนังด้านนอกโรงแรม…เหตุผลสำคัญคือห่ากระสุนในห้องโถงงานเลี้ยงมันหนักเอาการไปหน่อย
“คุณวิคเตอร์ กำลังเสริม! เรียกกำลังเสริมเถอะ! นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ!”
“ผมรู้! แต่ตอนนี้พวกเรามีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าคือ จะปลีกตัวออกจากตรงนี้ยังไง!”
ขณะที่พูด สายเคเบิลข้างหนึ่งของรถเครนยกก็โดนลูกหลงกระสุนตัดขาด กระเช้ารถเครนจึงสูญเสียสมดุลเอียงมาข้างหนึ่งทันที
ท่ามกลางสายลมเย็น นักสืบหนุ่มเยียร์เกอร์และจ่าวิคเตอร์ที่เพิ่งกลับมาทำงานหลังลาพักร้อนไปได้ครึ่งทางต่างพากันโซเซ
ที่จริงเยียร์เกอร์เป็นโรคกลัวความสูง
ดังนั้นเขาก็เลย…
“ช่วยด้วย!!”