สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 4 ตอนที่ 12 ชายแปลกหน้าด้านตรงข้าม
หมัดของอันทอนโจมตีมาทางแอนดริวอย่างหนักหน่วง แต่ทว่าแอนดริวที่ผ่านการต่อสู้บนสังเวียนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็มีประสบการณ์มากเช่นกัน
เขาหลบหมัดของอันทอนได้อย่างแยบยลมาก
กำปั้นชกลงไปที่ด้านบนชั้นวางหนังสือข้างหลังแอนดริว แผ่นไม้ที่หนาไม่สามารถทนทานแรงหมัดของอันทอนได้ วินาทีที่หมัดชกโดนชั้นวางหนังสือ อันทอนก็กวาดแขนของตนเองไปอย่างดุดัน!
แขนอันทรงพลังราวรถขุดดินทำลายแผ่นไม้กั้นของชั้นวางหนังสือทันที ก่อนกวาดมาทางแอนดริว
แอนดริวยกแขนสองข้างขึ้นพร้อมกัน ตั้งการ์ดป้องกันหน้าตัวเองเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถต้านทานพลังน่ากลัวนี้ได้ ทำได้แค่ป้องกันนิดหน่อย ร่างของเขาก็ถลาไปข้างหลังไม่หยุดโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ขณะเดียวกันแขนทั้งสองข้างของเขาก็แทบชาไปเลย
แอนดริวรู้สึกว่ากระดูกแขนของตัวเองเกือบจะหักไปแล้ว พอได้สัมผัสกับตัวเองเขาถึงเข้าใจว่าพลังของเจ้านี่มันน่ากลัวขนาดไหน
แต่ในห้องหนังสือโอ่อ่าอีกทั้งยังกว้างขวางนี้ ไม่ได้มีแค่แอนดริวเพียงคนเดียว
“หยุด! ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้เจอหมอนี่อีก!”
ผู้ช่วยแอนดริวส่งเสียงตะโกนทุ้มต่ำ!
ตอนนี้อันทอนจำต้องชะงักมือเอาไว้ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าในมือของเจ้านี่ถืออะไรเอาไว้ และก็รู้ว่าตอนนี้นิคิตะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
ปืนสั้นในมือของผู้ช่วยเล็งไปที่ด้านหลังศีรษะของนิคิตะ นิคิตะจึงจำต้องยกมือทั้งสองของตนขึ้นมาอย่างสั่นเทา อีกทั้งยังเค้นรอยยิ้มไม่น่าดู พร้อมกับพูดว่า “เฮ้พวก ฉันหาเรื่องยุ่งยากมาให้นายอีกแล้วใช่ไหม แต่ถ้านายบอกฉันว่าที่อยู่ข้างหลังเป็นแค่ไม้นวดล่ะก็ ฉันจะต้องชื่นชมนายแน่ๆ…”
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นแค่ไม้กระบองอันหนึ่งเท่านั้น” โอเล็กกำลังพูดอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตทุกอย่างรอบตัวอย่างรวดเร็ว
ลูกน้องของแอนดริวยันตัวขึ้นมา ถึงแม้ว่าสารรูปพวกเขาจะดูย่ำแย่จากการใช้ความรุนแรงของอันทอน แต่สถานการณ์ก็พลิกผันไปแล้ว
อันทอนยั้งมือด้วยตื่นตระหนก…สถานการณ์แบบนี้ เขาควรจะจัดการอย่างไรดี?
ทันใดนั้น
โอเล็กก็ส่งเสียงดังลั่น
พริบตาเดียวโอเล็กก็กระโดดขึ้นมา เดิมทีตัวเขาก็สูงใหญ่อยู่แล้ว ครั้งนี้กระโดดไปได้สูงพอดูทีเดียว!
ทั้งสองมือของโอเล็กจับไปที่ด้านบนของโคมไฟระย้าคริสตัลหรูหราในห้องหนังสือ ตามมาด้วยเสียงออกแรงของโอเล็ก นึกไม่ถึงว่าจะดึงโคมไฟคริสตัลลงมาทั้งอย่างนั้น!
วินาทีที่ไฟลุกไปรอบด้าน โคมไฟขนาดใหญ่ก็ตกลงมากระทบพื้น
ด้วยปฏิกิริยาที่อยู่เหนือสัญชาตญาณ ทำให้ผู้ช่วยเผลอเดินถอยหลังไปสองก้าว พร้อมกันนั้นกล้ามเนื้อมือสองข้างของโอเล็กก็ปูดนูนขึ้นมา เพราะเขาจับโครงของโคมไฟคริสตัลเอาไว้แล้วโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งผู้ช่วยจึงถูกไล่กวาดไปอยู่บนพื้นทันที
“ไป! ไป!! รีบไป!” โอเล็กร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
นิคิตะเห็นสถานการณ์แล้วก็รีบร้อนดึงมือของอันทอนพุ่งออกไปนอกประตู แล้วโอเล็กก็ออกแรงดึงโครงโคมไฟคริสตัลมาขวางไว้ตรงขอบประตู ปิดทางเข้าออกประตูไว้ชั่วคราว แล้วจึงตามออกไปเช่นกัน
“บอส บอสไม่เป็นไรใช่ไหมครับ!”
ตอนนี้ผู้ช่วยยันตัวขึ้นมา แล้วรีบเดินไปข้างๆ แอนดริว พลางพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนก
แอนดริวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง เขาเดินบิดเอวไปมาหลายก้าวอย่างรวดเร็ว ก่อนหันตัวมาพูดว่า “แกยังมัวอึ้งหาอะไรอยู่? ตามไปสิ ตาม!!!”
“ครับ…”
…
…
“น่าจะปลอดภัยได้สักระยะหนึ่ง”
โอเล็กกดมู่ลี่ลง กำลังมองดูสถานการณ์ด้านนอก แต่นิคิตะกลับเอาเหล้าขวดหนึ่งออกมาจากตู้เก็บอาหารด้วยความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ดื่มไปพลางเดินออกมา ในมือยังถือเอาแก้วหลายใบมาด้วย
โอเล็กขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นิคิตะทำตัวดีๆ หน่อย อย่าแตะของของบริษัทส่งเดช”
“พี่ชาย ถ้าไม่แก้ปวด ผมคงจะต้องปวดแผลตายใช่ไหมล่ะ?” นิคิตะฟันแฉ่งแล้วนั่งลง พร้อมวางแก้วไว้บนโต๊ะ เทเหล้าพลางมองอันทอนแล้วพูดว่า “ที่นี่เป็นบริษัทขนส่งที่ผมและโอเล็กทำงาน บางทีพวกแอนดริวอาจจะกลับไปที่บ้านของโอเล็กเพื่อตามหาพวกเรา แต่คงจะไม่นึกถึงที่นี่แน่ๆ”
ตอนนี้อันทอนดูมีท่าทางตื่นเต้นดีใจ เขายังคงย้อนคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นที่บ่อนพนันเมื่อครู่นี้ แล้วอดมองดูโอเล็กไม่ได้ “พ่อ…คุณโอเล็กเมื่อกี้นี้เท่มากจริงๆ ครับ!”
“ฮ่าๆ!” นิคิตะยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “นี่เป็นแค่เรื่องจิบๆ เท่านั้น! คุณไม่รู้หรอก สมัยก่อนโอเล็กคนเดียวล้มคนได้ทั้งแก๊งเลย! คุณอาจจะนึกภาพไม่ออก เหตุการณ์ครั้งนั้นอันตรายกว่าครั้งนี้เยอะ…”
“นิคิตะ นายชักจะพูดมากไปแล้วนะ!” โอเล็กพูดเสียงหนักแน่นทันที
นิคิตะรีบปิดปาก “ฉันไม่พูดแล้ว ฉันจะดื่มเหล้าของฉัน”
แล้วโอเล็กก็พูดขึ้นทันทีว่า “แอนดริวไม่ใช่คนที่จะมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ พวกนายล่วงเกินเขาไปแล้ว คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ชั่วระยะหนึ่ง…พวกนายต้องไปจากที่นี่ ยิ่งไกลได้เท่าไรยิ่งดี รอให้ฟ้ามืดฉันจะส่งพวกนายไปที่ท่ารถ”
“พี่ชาย แล้วนายล่ะ?”
โอเล็กพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้ายังหาอันโตนิโอไม่เจอ ฉันก็ยังหนีไปไม่ได้ นายวางใจได้ ถ้าฉันหลบได้ล่ะก็ พวกเขาจะหาตัวฉันไม่เจอง่ายๆ ขนาดนี้หรอก”
นิคิตะไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย อันทอนกลับขยับริมฝีปากอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา เขากำลังมองดูนิคิตะรินเหล้าให้เต็มแก้ว แล้วจู่ๆ ก็คว้ามาดื่มอึกหนึ่ง แล้วก็สำลักทันที
“นายดื่มแม็กนัส*แล้วกัน! วอดก้าให้ผู้ใหญ่ดื่มนะ น้องชาย” นิคิตะอดพูดล้อเล่นไม่ได้
อันทอนพูดเสียงฉุน “ใครว่าผมดื่มไม่ได้ ผมแค่ไม่ชิน”
นิคิตะยักไหล่ ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ “ฉันไปเข้าห้องน้ำหน่อย มีเรื่องอะไรก็เรียกฉันได้”
หลังนิคิตะจากไปแล้ว โอเล็กถึงได้พิจารณาดูอันทอน ฉับพลันก็ขมวดคิ้วถาม “พวกเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า?”
เขานั่งอยู่ตรงหน้าอันทอน มองตรงๆ ไปที่เจ้าหนุ่มน้อยแข็งแรงตรงหน้าคนนี้…โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
“ไม่นี่ครับ” อันทอนส่ายหน้า พลางก้มหน้าก้มตาเล่นแก้วเหล้าที่อยู่ในมือ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “คุณโอเล็ก เมื่อกี้นี้ถ้าพวกเราสู้ต่อล่ะก็ พวกเราจะต้องชกเจ้าหมอนั่นเต็มเหนี่ยวได้แน่ๆ ทำไมต้องหนีด้วยล่ะครับ?”
โอเล็กพูดอย่างเฉยเมยว่า “ชกเขาสักรอบแล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“บอกเขาว่า อย่าหาเรื่องอีกนะ!”
โอเล็กยิ้มแล้วส่ายหน้า ก่อนหยิบแก้วมาเขย่าๆ “แบบนั้นก็มีแต่ทำให้เขาโกรธมากขึ้นกว่าเดิม เจ้าหนุ่มน้อย นอกเสียจากว่านายจะฆ่าเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะหาเรื่องนายไม่หยุด แล้วนายเคยคิดฆ่าแอนดริวไหม?”
“ฆ่า…” อันทอนรีบส่ายหน้า “ไม่ครับ”
โอเล็กกลับหลับตาลง เอนตัวบนเก้าอี้ พูดช้าๆ ว่า “อย่างนั้นก็ไปเถอะ ไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี อยู่ให้ไกลจากเรื่องเดือดร้อนพวกนี้เถอะ”
“หลบหนีไม่ใช่การกระทำของคนขี้ขลาดเหรอครับ?” อันทอนถามทันที
โอเล็กลืมตาขึ้น เขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนขี้กลัว “เจ้าหนุ่ม ไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิต การหลบหนีอาจจะไม่ใช่การกระทำของคนขี้ขลาดเสมอไป แต่เป็น…”
“แต่เป็นอะไร?”
โอเล็กส่ายหน้า พูดอย่างเฉยเมยว่า “อีกหน่อยนายจะเข้าใจเอง จะว่าไปฉันก็ไม่มีหน้าที่สั่งสอนนาย นี่ควรจะเป็นหน้าที่ของพ่อนาย”
อันทอนก้มหน้าลงทันที “เขา…ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับผมเลย”
“เป็นพ่อที่แย่จริงๆ” โอเล็กกรอกวอดก้าในแก้วเข้าไปรวดเดียว ยิ้มแล้วมองดูนอกหน้าต่าง หลังจากผ่านไปสักพักถึงได้พูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “รวมทั้งฉันด้วย”
ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้อันโตนิโอถึงคิดอยากจะหนีไปจากโอเล็ก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา
…
“ยังไม่เสร็จ รอเดี๋ยว…จะเสร็จแล้ว!”
ในห้องน้ำมีเสียงที่ชวนอึดอัดของนิคิตะดังเล็ดออกมา จากนั้นก็เป็นเสียงผ่อนลมหายใจราวกับผ่อนคลายอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เขาถึงได้พูดว่า “นั่นใครน่ะ?”
“นิคิตะ ผมเอง”
“อันทอนเหรอ รอเดี๋ยวผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” นิคิตะลูบเหงื่อบนหน้าผากพลางพูดขึ้น
อันทอนกลับพูดว่า “นิคิตะ คุณโอเล็กคนนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่ครับ…เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่ผมเห็นท่าทางเขาเหมือนกลัวมาก”
นิคิตะชะงักไป หลังเงียบไปสักพักถึงได้พูดว่า “เขาพูดอะไรกับคุณเหรอ?”
“เปล่านี่”
“จริงเหรอ…” ตอนนี้นิคิตะถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขาไม่ได้กลัวอะไรเลย เขาแค่หลับไปเท่านั้น รู้ไหม? คนที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นได้ ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
“ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว?”
“ภรรยาของเขา คามาลา”
แม่…
นิคิตะที่ยังนั่งส้วมอยู่ในห้องน้ำ ตอนนี้กำลังมองดูฝ้าเพดานอยู่ จุดบุหรี่ หลังจากดูดบุหรี่แล้วถึงพูดช้าๆ ว่า “ประมาณสิบสองปีก่อนได้แล้วล่ะมั้ง? ผมและโอเล็ก แล้วยังมีคาเมล่า เป็นเด็กที่โตมาจากหมู่บ้านเดียวกัน ตอนนั้นพวกเรามีความฝัน…”
*แม็กนัส ชื่อไวน์ชนิดหนึ่ง ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูงมาก