สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 4 ตอนที่ 3 เด็กน้อยหนีออกจากบ้าน
“คุณผู้หญิงคนนี้…ไม่ทานเหรอครับ?”
บนโต๊ะอาหาร โอเล็กเห็นหญิงสาวที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้แต่กลับไม่แตะอะไรสักนิด จึงถือโอกาสพูดขึ้น เพราะอาหารเย็นที่เต็มโต๊ะนี้ก็เป็นฝีมือของหญิงสาวคนนี้
พูดตามจริงแล้ว อาหารบนโต๊ะนี้ ทำให้โอเล็กรู้สึกเหมือนตัวเขาอยู่ที่ภัตตราคารทูรันดอตซึ่งคนรวยในมอสโกมักมารวมตัวกัน…แน่นอนว่าบ้านของเขาดูไม่ได้เลย
ชายร่างสูงใหญ่เลี้ยงดูเด็กชายตามลำพัง ทั้งยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพทุกวัน ส่วนใหญ่แล้วไม่มีเวลาว่างมาเก็บกวาดบ้านเลย โอเล็กลองคิดดู เหมือนว่านอกจากเตียงที่ใช้นอนและห้องน้ำแล้ว สิ่งที่สะอาดที่สุดน่าจะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารที่ใช้บ่อยตัวนี้
“ไม่เป็นไรครับ ช่วงนี้เธอกำลังรักษาหุ่น” ลั่วชิวผู้ที่ใช้ส้อมจิ้มแตงกวาดองใส่ปากตอบไปเช่นนี้
โอเล็กพูดอย่างงงงวย “แต่ก็คงไม่ถึงกับไม่กินอะไรเลยมั้งครับ?”
“เลยเที่ยงไปแล้วไม่ทานครับ” เจ้าของร้านลั่วตอบง่ายๆ ไปประโยคหนึ่ง
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหญิงสาวเรืองร่างงดงามสมบูรณ์แบบคนนี้จะดื้อดึงอดอาหารรักษาหุ่นไปทำไม? โอเล็กไม่ได้ถามต่อ แต่พูดว่า “อันโตนิโอ กินช้าๆ หน่อย ท่าทางการกินของลูกดูไม่ได้เลย”
โดยเฉพาะมีแขกอยู่ที่นี่…แม้บอกว่ารับประทานอาหารมื้อใหญ่อย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่คนทำอาหารรู้สึกชื่นใจ แต่ยังไงก็เป็นแขกนะ
“พ่อ ถ้าปกติอาหารที่พ่อทำอร่อยได้สักครึ่งหนึ่ง ไม่สิ!อร่อยได้สักครึ่งของครึ่งหนึ่งล่ะก็ นั่นคงเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ายังไม่ได้ทอดทิ้งผม”
อันโตนิโอพูดอย่างเย็นชา เด็กจอมซนผู้ทำสงครามเชื้อชาติอยู่เค้นพูดออกมา ทำให้โอเล็กหน้าเสียขึ้นมาบ้างทันที
แต่จะว่ายังไงดีล่ะ?
ลั่วชิวไม่เห็นความโกรธจริงๆ จากความจริงจังของโอเล็ก สิ่งที่เขารู้สึกได้มีเพียงสิ่งที่โอเล็กซ่อนไว้อยู่ เป็นความรู้สึกผิดและความเศร้าโศกลึกๆ ในใจ
โอเล็กถอนหายใจพูดว่า “ถ้าลูกจำได้ว่าก่อนกินข้าวต้องสวดขอพร พ่อคิดว่าพระเจ้าก็คงจะไม่ทอดทิ้งพวกเราแน่”
อันโตนิโอตะลึงงัน มือข้างหนึ่งตบหน้าผากเบาๆ ทิ้งมีดกับส้อมในมืออย่างรีบร้อน สองมือประสานกัน หลับตาลง “…ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน…”
แม้ไม่รู้ว่าระหว่างการอธิษฐานประชดคืนแบบนี้จะได้ผลหรือไม่กันแน่ แต่ลั่วชิวยังถามอย่างใคร่รู้ว่า “คุณโอเล็กก็เป็นชาวคริสต์ด้วยเหมือนกันเหรอครับ?”
โอเล็กส่ายหน้าตอบว่า “ผมไม่ใช่หรอกครับ แต่ว่าตอนที่ลูกชายคนนี้เกิดมาก็รับศีลล้างบาปแล้ว แม่เขาเป็นชาวคริสต์น่ะครับ”
ลั่วชิวพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้ถามต่ออีก
ครอบครัวหนึ่ง ขาดผู้หญิงดูแลเป็นหลัก และรกสกปรกจนถึงระดับนี้ สภาพการณ์ไม่มีอะไรมากไปกว่าสองอย่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่เหมาะจะพูดถึงในโอกาสนี้
แต่บางทีคงเป็นแบบที่แย่ที่สุดเลยล่ะมั้ง
สายตาลั่วชิวมองไปที่กรอบรูปเล็กๆ ข้างชั้นวางโทรทัศน์ในห้องรับแขก ในรูปนั้น นอกจากโอเล็กและเด็กทารกแล้ว ยังมีผู้หญิงผมสีน้ำตาลแดงที่สวยมากคนหนึ่ง
โอเล็กคิดว่าชายหนุ่มต่างชาติคนนี้เป็นคนดีมากเลย สุขุมใจเย็นอย่างยิ่ง อันโตนิโอสวดขอพรเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มรับประทานอาหารอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง
อาหารมื้อนี้ สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตในท้องถิ่นอยู่บ้าง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากมื้ออาหาร พูดอย่างไรโอเล็กก็ไม่ยอมให้คุณสาวใช้ล้างถ้วยชามให้ เขารวบถ้วยชามที่มีทั้งหมดโยนลงไปในอ่างล้างชามอย่างคล่องแคล่วคนเดียว แล้วพับแขนเสื้อขึ้น
ลั่วชิวเริ่มสังเกตการตกแต่งภายในบ้านของครอบครัวนี้อย่างละเอียด ตอนนี้อันโตนิโอจ้องมาที่ลั่วชิวตรงๆ…ราวกับว่าหลังจากที่เด็กซนได้ผ่านอาหารมื้อเย็นรสเลิศมื้อนี้แล้ว ความระแวดระวังในใจที่มีต่อคนแปลกหน้าคนนี้ก็ลดลงไปไม่น้อย
“คุณทำงานอะไรครับ?” อันโตนิโอเงยหน้า มองพี่ชายที่สูงกว่าเขาไม่น้อยคนนี้
เจ้าของร้านลั่วที่กำลังดูเครื่องประดับจากเขาสัตว์อันหนึ่ง วางมันลงอย่างเบามือแล้วยิ้มตอบว่า “ฉันเป็นพวกทำธุรกิจน่ะ”
“ธุรกิจ? ขายอะไรเหรอฮะ?”
ธุรกิจในความคิดของเด็กน้อยน่าจะเป็นแค่ร้านขายของที่ซื้อมาขายไปอะไรแบบนั้น “อืม อันที่จริงเป็นการขายของน่ะ”
“ขายอะไรฮะ?” อันโตนิโอถามด้วยความอยากรู้
ทันใดนั้นลั่วชิวก็ย่อตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาของอันโตนิโอ เขายิ้มแล้วบอกว่า “ขายทุกอย่างนั่นแหละ ขอเพียงแค่ลูกค้าอยากได้ และจ่ายไหวก็ซื้อได้ทั้งนั้น”
อันโตนิโอเอียงหัวถามว่า “เครื่องบินขายไหมฮะ?”
“ขาย”
“รถไฟล่ะฮะ?”
“ก็ขายเหมือนกัน”
เด็กซนทำนิ้วมือเป็นปืน ทำท่าทางเล็งเป้า พูดด้วยใบหน้าตื่นเต้น “รถถังล่ะ? ขีปนาวุธล่ะ? ปืนใหญ่ล่ะ? ปืนซุ่มยิงดรากูนอฟ SVD ก็ขายไหมฮะ?”
“ขาย” ลั่วชิวพยักหน้า
เพียงแต่ว่า
เด็กน้อย เธอเพิ่งอายุสิบขวบเองนะ ทำไมอยู่ในวัยนี้อ้าปากพูดทีก็เป็นเครื่องบิน รถถัง ขีปนาวุธ และปืนใหญ่ล่ะ แถมยังมีปืนซุ่มยิงดรากูนอฟ SVD อีก นั่นเป็นปืนดักซุ่มยิงเลยนะ…
เด็กซนก็เลยพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณขายให้ผมได้ไหมฮะ? ผมมีเงินอยู่แปดพันสามร้อยรูเบิล! พอไหมฮะ?”
ลั่วชิวส่ายหน้า
อันโตนิโอก้มหน้าด้วยความผิดหวัง
ลั่วชิวลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปแตะศีรษะอันโตนิโอเบาๆ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “จำไว้ว่า ตอนที่เธอมีสิ่งที่ต้องการ เธอจะหาฉันพบ…ตอนนั้นก็บอกสิ่งที่เธอต้องการซื้อจริงๆ อีกอย่าง ต้องใช้…”
เจ้าของร้านลั่วก้มหน้า กระซิบอะไรบางอย่างข้างๆ หูอันโตนิโอ
อันโตนิโอตาโต ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันที เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็น เขาได้ยินลั่วชิวพูดในตอนสุดท้ายว่า “พวกนี้เป็นค่าธรรมเนียมของสิ่งที่เธอต้องการจะซื้อ ได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหม?”
พูดไปพลาง ลั่วชิวก็ก้าวถอยหลังออกจากตรงหน้าอันโตนิโอทีละก้าวๆ แล้วโยวเย่ที่อยู่ข้างๆ ก็เดินมาข้างลั่วชิว หลังจากถอยไปสามสี่ก้าว เขาและเธอก็อยู่ตรงหน้าอันโตนิโอ แล้วก็หายตัววับไปทันที
อันโตนิโออ้าปากค้าง หลังจากนั้นก็ออกแรงขยี้ตาตัวเอง หลังจากขยี้ตาหลายครั้งก็ยังคงไม่อาจทำให้ตนเองสงบสติลงได้ เขามองไปยังพรมที่ว่างเปล่าตั้งนานแล้วอย่างเหม่อลอย
…
“อันโตนิโอ แขกสองคนนั้นล่ะลูก?”
โอเล็กเพิ่งล้างจานเสร็จก็ออกมาจากห้องครัว เขามองลูกชายตนเองแล้วถามขึ้น
“หะ หายไปแล้ว!” อันโตนิโอชี้ไปยังตำแหน่งที่สองคนนั้นหายตัวไป แล้วหันมาพูดว่า “ผมเห็นพวกเขาหายตัววับไปตรงนั้นเลย!”
โอเล็กตะลึงงัน แล้วก็เดินมาตรงหน้าอันโตนิโอ ย่อตัวลง ลูบหัวของเขาพลางพูดว่า “พระเจ้าบอกว่าห้ามโกหก วันนี้ตอนที่ลูกกินข้าวลืมสวดขอพร ตอนนี้ก็โกหกอีกแล้ว ลูกว่าควรทำยังไงดี?”
“ผมพูดความจริง!” อันโตนิโอพูดเสียงดัง
“อันโตนิโอ!” โอเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยเสียงค่อนข้างเข้มว่า “วันนี้ ลูกหนีเรียนใช่ไหม? เหมือนว่าพ่อยังไม่ได้ถามลูกเรื่องนี้เลย ทำไมลูกถึงหนีเรียน?”
อันโตนิโอกลับกำหมัดน้อยๆ ไม่พูดโต้แย้งสักคำ
โอเล็กพูดว่า “ลูกรู้หรือเปล่า ว่ามีเพียงเด็กเกเรถึงจะหนีเรียน ลูกอยากเป็นเด็กเกเรงั้นเหรอ?”
อันโตนิโอกลับพูดว่า “ผมโตแล้วนะ! ผมไม่ต้องไปโรงเรียน ผมจะทำในสิ่งที่ผมชอบทำ!”
“ลูกโตแล้ว?” โอเล็กกลับส่ายหน้า ยื่นมือออกมาคว้าแขนอันโตนิโอขึ้นเบาๆ แล้วก็ยกตัวเขาขึ้นมา พูดเสียงราบเรียบว่า “นี่ลูกรู้ไหม? แบบนี้ถึงจะเรียกว่าโต”
อันโตนิโอกลับใช้เท้าเตะสะเปะสะปะไปที่ตัวโอเล็ก “ปล่อยผมนะ! ปล่อยผม! ปล่อยผม! ปล่อยผม! คนขี้ขลาด!”
“ลูกพูดว่าอะไรนะ?” โอเล็กพูดเสียงเข้ม
“คนขี้ขลาด! พ่อเป็นคนขี้ขลาด! โอเล็กเป็นคนขี้ขลาด!!”
เพี๊ยะ!
โอเล็กไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ ตบไปที่ใบหน้าอันโตนิโอ แต่หลังจากที่ตบหน้าไปครั้งนี้ โอเล็กกลับนิ่งอึ้งทันทีและเสียใจเป็นที่สุด
เขาปล่อยอันโตนิโอลง อันโตนิโอกุมแก้มตัวเองไว้ จ้องมองพ่อตนเองอย่างดุดัน “โอเล็กเป็นคนขี้ขลาด!!”
หลังจากเด็กน้อยพูดปนเสียงร้องไห้ดังลั่นแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเบือนหน้าวิ่งกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ปิดประตูอย่างแรง
โอเล็กยืนนิ่งไม่ไหวติงตรงที่เดิม ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด สุดท้ายก็ทอดถอนใจออกมา เขาสูดลมหายใจยาวๆ หยิบกรอบรูปบนชั้นวางทีวีขึ้นมา ลูบเบาๆ ไปบนกระจกในกรอบรูปอย่างช้าๆ
ความหนาวเย็นบนกระจกได้แทรกซึมไปบนนิ้วมือของโอเล็กทีละนิด
ชายผู้ซึ่งมีร่างสูงใหญ่กำยำผู้นี้นั่งลงบนโซฟา หลับตาลง บ้านหลังนี้หลังจากที่ผ่านมื้อเย็นที่อิ่มหนำสำราญไป ก็กลับมาเงียบเหงาเหมือนวันปกติอีกครั้ง
…
…
วันถัดมา โอเล็กลืมตาขึ้นด้วยความปวดหัวเล็กน้อย ช่วงหลังเที่ยงคืนเขากรอกเบียร์ไปไม่น้อยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
โอเล็กผู้มีกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วตัวกุมหัวตนเองอีกครั้ง มองดูเวลา
“ถึงเวลาแล้วเหรอเนี่ย?”
โอเล็กตบหัวตัวเองเบาๆ อย่างหงุดหงิด และไม่ทันได้เช็ดคราบน้ำตาตนเอง ก็รีบลุกขึ้นพูดว่า “อันโตนิโอ อันโตนิโอ! ตื่นได้แล้ว พ่อจะพาลูกไปส่งโรงเรียน อันโตนิโอ!”
โอเล็กเดินไปห้องอันโตนิโอพลางตะโกนเรียก แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
เขาขมวดคิ้ว บิดลูกบิดประตู ลูกบิดประตูก็ไม่ได้ล็อก ประตูก็เปิดออกได้อย่างง่ายดาย
แต่อันโตนิโอไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว
โอเล็กกลับพบโน้ตข้อความบนตู้หัวเตียงเขียนไว้ว่า ‘ผมจะไปจากบ้านนี้!’