สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 4 ตอนที่ 8 คนเสียสติ
พิพิธภัณฑ์เทียทยาคอฟ แกลเลอรี่
วันนี้ไม่ใช่วันจันทร์ จึงอยู่ในช่วงเวลาเปิดทำการ เจ้าของร้านลั่วซึ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งก่อสร้างทั่วทั้งเมืองนี้ไม่มีทางยอมพลาดพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้แน่นอน
แล้วถ่ายรูปที่ด้านหน้าสถานที่แห่งนี้สักใบ หลังจากส่งรูปไปให้ในมือถือของรองบรรณาธิการเริ่นแล้ว ภารกิจในวันนี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ เขาต้องรายงานความเคลื่อนไหวอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกวัน เป็นการยืนยันว่าโอเคดีอยู่ นี่ก็คือเงื่อนไขน้อยที่สุดของแผนท่องเที่ยวกะทันหันของลั่วชิว
“หากมาถึงเทียทยาคอฟ ก็ต้องลองมาดูภาพ‘สุภาพสตรีนิรนาม*’ สักหน่อยค่ะ” โยวเย่บอกอยู่ข้างๆ ลั่วชิว
ลั่วชิวกำลังดูโบรชัวร์ของพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “หนึ่งในสิบภาพวาดที่มีชื่อเสียงของโลก น่าทึ่งจริงๆ”
นอกเหนือจากวันที่พิพิธภัณฑ์ปิดทำการแล้ว แต่ละวันพิพิธภัณฑ์เทียทยาคอฟ แกลเลอรี่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเลย หลังจากเจ้าของสมาคมและคุณสาวใช้ผ่านจุดตรวจเช็คความปลอดภัยมาอย่างง่ายดายท่ามกลางฝูงชนแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เก่าแก่อย่างพิพิธภัณฑ์เทียทยาคอฟ แกลเลอรี่แห่งนี้
แต่ไหนแต่ไรมาพอเจ้าของร้านลั่วมีเป้าหมาย เขาก็จะพุ่งสู่เป้าหมายเลย ไม่ว่าจะสนใจสิ่งรอบตัวระหว่างทางเดินเพียงใดเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่หน้ารูปวาดที่มีชื่อเสียงรูปไหนได้นานสักรูปเลย
ลั่วชิวมองดูลักษณะผู้หญิงในรูปวาด ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพนั้นอยู่ในโซนหลักของบริเวณที่จัดแสดงนิทรรศการ เขามีวิธีการชื่นชมงานศิลปะไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป เขารับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของศิลปินได้อย่างเต็มที่
“คนจำนวนไม่น้อยนึกว่าผู้หญิงที่อยู่ในภาพวาดสุภาพสตรีนิรนาม คือตัวละครหลักในนิยายเรื่องแอนนา คาเรนินา** ผลงานของตอลสตอย***ค่ะ เพียงแต่สำหรับคนธรรมดาแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางสังเกตรู้ได้ เลยไม่มีใครคิดว่านี่น่าจะเป็นนักแสดงที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง ราวกับมีเพียงศิลปินเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่”
ลั่วชิวฟังคำอธิบายของโยวเย่ มันน่าฟังกว่าคำอธิบายของเจ้าหน้าที่ในโซนจัดแสดงนิทรรศการเสียอีก…ที่ลั่วชิวพูดถึงคือเสียงพูดน่ะ
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ฟังจากปากของเจ้าหน้าที่พาชมก็ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่จะพูดออกมาได้
“แต่ความจริง ผู้หญิงในภาพวาดนี้…”
“เขารักผู้หญิงคนนี้”
มีคนแอบฟังคำพูดของโยวเย่ นั่นคือนักท่องเที่ยวคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกันซึ่งยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
ผมเป็นลอนนุ่มสลวย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนา และยังมีหนวดเคราขึ้นเต็ม แวบแรกที่มองอาจเหมือนอยู่ในช่วงวัยกลางคน
แต่สำหรับลั่วชิวและโยวเย่ซึ่งตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวค่อนข้างไว รู้ว่าอันที่จริงแล้วชายคนนี้เรียกได้ว่ายังหนุ่มอยู่เลย เกรงว่ายังไม่เกินสามสิบปีด้วยซ้ำ
ลั่วชิวกลับไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดที่มีคนแปลกหน้าพูดแทรก หลังจากเขาพิจารณาชายหนุ่มหน้าตาสไตล์รัสเซียคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประหลาดใจครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นว่า “คุณรู้ได้ยังไงครับว่าคนที่วาดภาพรักนางแบบของเขา? ดูเหมือนเคยมีคนพูดไว้ว่าสุภาพสตรีคนนี้คือหญิงสาวที่ศิลปินวาดตามจินตนาการ”
สายตาของชายหนุ่มซึ่งมีขนดกทั่วเรือนร่างคนนี้กลับหยุดอยู่บนภาพวาด เขาเพ่งสมาธิอยู่ที่รูปวาดนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามีอะไรอยู่รอบข้างบ้าง หรือรู้ว่าข้างๆ มีใครอยู่บ้าง แต่เขากลับทำให้คนคนรู้สึกเหมือนว่า เขายืนอยู่ลำพังตรงหน้าภาพวาดนี้
นี่คือสมาธิที่หาพบได้ยากยิ่ง
เขาพูดว่า “ผมรู้สึกได้”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หลับตาลง มือซ้ายของเขาแบออกไปตรงหน้าลำตัว นิ้วโป้งทำมุมหักงอเล็กน้อย มือขวาของเขาก็ยกขึ้นมาทำแบบเดียวกัน นิ้วมือเหมือนกำลังจับอะไรอยู่ นั่นคือท่าวาดภาพ
ดูเหมือนเขากำลังพูดกับตนเอง ไม่ได้ตอบคำถามใคร “ผมรู้สึกได้ถึงการลงสีแต่ละครั้ง แต่ละลายเส้น ตอนที่ลงสี ตอนที่ลังเล…ตอนที่เด่นชัด ทำให้ผู้คนประทับใจแบบนั้น”
ราวกับว่าไม่ใช่เพียงแค่พูดโน้มน้าวเท่านั้น แต่ยังทำท่าทางแบบนี้ด้วย มือขวาของเขาขยับไปมากลางอากาศ
ไม่เหมือนท่าทางวาดภาพ…แต่แท้จริงแล้วเขาก็กำลังวาดภาพ วาดภาพอยู่ในใจ
ราวกับว่าเขาใจจดใจจ่อมากเกินไปจนไม่รู้สึกถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวเลยสักนิดเดียว ตอนนี้เขากำลังถูกยามสองคนของพิพิธภัณฑ์หิ้วปีกซ้ายขวาแล้วลากออกไปข้างนอก
เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เขายังคงหลับตา ใช้จานสีและพู่กันล่องหนในมือวาดอะไรบางอย่าง
“ขอโทษครับ คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง คนเมื่อครู่นี้ไม่ได้รบกวนพวกคุณใช่ไหมครับ?”
พนักงานในพิพิธภัณฑ์เดินมาตรงหน้าลั่วชิวและโยวเย่ ก่อนถามขึ้นอย่างสุภาพ
ลั่วชิวกลับถามเสียงเบาๆ ว่า “เขารบกวนคนอื่นเหรอครับ?”
พนักงานตะลึงงัน… การตอบกลับแบบนี้น้อยนักที่จะได้เจอ
“ไม่ ไม่ครับ ปกติเขาก็ไม่ได้รบกวนใคร แค่รบกวนพวกเราเท่านั้นเองครับ” พนักงานส่ายหน้า พูดอย่างจนใจที่สุด
พนักงานมองแววตาฉงนของชายชาวตะวันออกที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ แล้วพูดเรียบง่ายว่า “แต่ก่อนเขาเป็นพนักงานของพิพิธภัณฑ์ แต่ทำความผิดบางอย่างเลยถูกไล่ออกครับ แต่หมอนี่ก็ยังปะปนเข้ามาได้ทุกครั้ง…อ้อ คุณผู้ชายครับ คุณจะต้องรู้นะครับ ถ้าซื้อตั๋วเดินเข้ามาตามปกติ พวกเราก็ต้อนรับหมด แต่เขาแอบเข้ามาเอง อืม…คุณน่าจะเข้าใจ แบบนี้เหมือนเป็นการกระทำของคนเสียสติน่ะครับ”
“คุณกลับไปทำงานเถอะครับ” ลั่วชิวพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรอีก
พนักงานยิ้มแล้วพูดว่า “คุณผู้ชายครับ คุณพูดภาษารัสเซียได้ดีจริงๆ ครับ…”
เดิมทีเขาคิดจะชื่นชมสักหน่อย แต่แขกหน้าตาตะวันออกคนนี้เหมือนจะไม่ได้ฟังเลย กลับหันหน้าไปดูภาพวาดต่อ
มีสมาธิเสียจน…เหมือนกับหมอนั่นที่ถูกลากออกไปเมื่อกี้นี้ พนักงานรู้สึกราวกับว่าไม่มีอะไรสามารถทำลายสมาธิของแขกคนนี้ได้เลย
แปลกพิลึก
จู่ๆ เขาก็รู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกแปลกๆ บางอย่าง ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นเทาอย่างน่าประหลาด ก้มหน้าแล้วก็เดินจากไป
…
…
วันที่สามแล้วล่ะมั้ง?
ในบ้านของโอเล็กมีกลิ่นเหล้าฉุนมาก กลิ่นแบบนี้เหมือนเน่าไปจนถึงจิตวิญญาณของเขา
เพราะทั้งเนื้อตัวเขาดูเหมือนเหม็นเน่าไปแล้วจริงๆ
นี่เป็นเพียงแค่สัมผัสแรกของนิคิตะ
นิคิตะสวมชุดใหม่ วันนี้จู่ๆ เขาก็นึกถึงโอเล็ก พี่โอเล็กที่ดูแลเขาอย่างดีมาโดยตลอด วันนี้เดิมทีคิดจะมาเลี้ยงข้าวพี่ชายคนนี้ให้เต็มที่สักหน่อย แต่ว่า…
“โอเล็ก!เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาย?” นิคิตะเดินมาตรงหน้าโอเล็ก ขมวดคิ้วพลางมองอีกฝ่ายที่เมามาย “ฉันไปบริษัทมาแล้ว เจ้านายบอกว่านายไม่ได้ไปทำงานมาสามวันแล้ว แล้วนายก็มาดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำเนี่ยนะ?”
โอเล็กที่ดื่มเหล้าจนตาพร่ามัวก็ลืมตาปรือ เรอกลิ่นเหล้าออกมา ราวกับว่าจำนิคิตะได้แล้ว
เขาออกแรงใช้สองมือยันตัวลุกขึ้นมาจากโซฟา แต่ยันตัวไม่ขึ้น แล้วก็ล้มตัวลงไปอีกครั้งในทันที
นิคิตะรีบโน้มตัวลงพยุงโอเล็กขึ้นมา แต่สองมือของโอเล็กกลับคลำไปบนโต๊ะ ขวดเหล้าแต่ละขวดถูกมือของเขากวาดตกลงไป “เอาวอดก้าให้ฉันที”
“บ้าไปแล้ว!” นิคิตะด่าใส่ “นายไม่ใช่โอเล็กที่ฉันรู้จัก! นายไม่น่าจะมีสภาพแบบนี้! เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายกันแน่?”
จู่ๆ โอเล็กก็หยุดลง
เขาตบหน้าผากตนเองอย่างแรง ราวกับว่ามีเพียงวิธีนี้ถึงทำให้ตนเองสดชื่นได้บ้าง ดวงตาของโอเล็กเบิกกว้างเล็กน้อย แต่กลับมีเส้นเลือดแดงเต็มลูกตาไปหมด
“นายพูดถูกแล้ว ฉันไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย…ฉันต้องไปหาอันโตนิโอถึงจะถูก” โอเล็กดึงแขนนิคิตะ อาศัยแรงพยุงลุกขึ้นยืน พูดพึมพำกับตนเองว่า “ฉันต้องไปตามหาเขา ไปตามหาเขา ไปตามหาเขา…กุญแจของฉันล่ะ? กุญแจรถของฉันล่ะ? กุญแจรถของฉัน? !!!”
เสียงพูดยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งโมโหเดือดดาล เขาเหมือนกับสิงโตตัวหนึ่ง “กุญแจรถของฉันล่ะ!!”
นิคิตะสาบานว่า ถ้าอันทอนที่นำความร่ำรวยมาให้เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างนั้นโอเล็กในตอนนี้คือคนที่น่าเขย่าขวัญที่สุดที่เขาเคยเห็นมา
“นี่พี่ชาย นายบอกฉันให้ชัดเจนหน่อยสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอันโตนิโอกันแน่?”
“เขา…เขาไปแล้ว หายตัวไปแล้ว” โอเล็กออกแรงทุบไปที่หัวตนเอง แอลกอฮอล์ทำให้เขาปวดหัวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่อยู่ในใจเขาเลย “สามวัน สามวันแล้ว…ฉันมัวทำอะไรอยู่กันแน่? ฉันรับปากคามาลาแล้ว ว่าจะดูแลลูกของเราอย่างดี…ฉันทำอะไรอยู่กันแน่?”
นิคิตะเห็นท่าทางโอเล็กในเวลานี้แล้ว ที่กำลังอารมณ์ดีๆ อยู่ก็เหมือนจะหายไปแล้ว
จู่ๆ ก็มีคนโผล่เข้ามา
บุรุษที่รูปร่างปราดเปรียวห้าวหาญห้าคน
ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม* ชื่อผลงานในภาษาอังกฤษคือ an Unknown Woman ภาพวาดสีน้ำมันที่มีชื่อเสียงผลงานของเครมสโกย อิวาน นิโคไลเยวิช (Ivan Nikolaevich Kramskoy)ศิลปินชาวรัสเซีย
นิยายเรื่องแอนนา คาเรนินา** คือนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมของรัสเซียสะท้อนภาพของชีวิตความเป็นอยู่จริงของสังคมในแวดวงของรัสเซียที่ตีแผ่ในทุกแง่มุม ผูกเรื่องราวต่าง ๆ จนกลายเป็นเรื่องราวความรักที่ผิดจริยธรรมของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ถูกจำกัดของเขตอยู่ในกรอบหรือพันธนาการในกฎระเบียบของสังคมรัสเซีย
ตอลสตอย*** หรือในชื่อ ลีโอ ตอลสตอย หรือชื่อเต็มว่า เคานต์ เลฟ นีโคลาเยวิช ตอลสตอย เป็นนักเขียนชาวรัสเซียผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ประกอบด้วยตัวละครมากหน้าหลายตา และเหตุการณ์ที่หลากหลาย มีผลงานที่เป็นที่รู้จักกันดีเช่น สงครามและสันติภาพ และ อันนา คาเรนินา