สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 40 เริ่มต้น
“ยังไม่มีข่าวของแอนนาเหรอ?”
“ขอโทษครับท่าน สุดท้ายพวกเราเจอแค่ของสิ่งนี้…ที่ข้างถนนทางหลวงหมายเลขห้า” ลูกน้องหยิบเข็มกลัดติดเสื้ออันหนึ่งที่พังไปแล้วออกมา
ในอาคารสูงใหญ่ เยฟิมกำลังมองลูกน้องของตัวเอง เขาเป็นคนมีบุคลิกดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกินข้าวเป็นเพื่อนนักการเมืองพวกนั้น ยิ่งรักษาบุคลิกให้อยู่ในระดับที่เรียกว่าคนมีการศึกษา แต่อยู่ในที่ส่วนตัว เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องรักษาบุคลิกแบบนี้เลยสักนิด
ดังนั้นเขาจึงสาดเหล้าในแก้วที่ยังดื่มไม่หมดใส่หน้าลูกน้องตรงๆ แล้วพูดด่า “เฮอะ! พวกขยะ!”
ลูกน้องเช็ดใบหน้าไร้ซึ่งความโกรธ แล้วพูดช้าๆ ว่า “ท่านครับ เมื่อคืนนี้แขกหลายคนได้ยินที่ยูริบอกว่าตัวเองเป็นคนตระกูลดีคาปี้ ท่านว่าพวกผมควรติดต่อตระกูลนี้เพื่อลองถามดูสักหน่อยไหมครับ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
เยฟิมยังคงด่าต่อไป “ติดต่อพวกเขา? งานประมูลครั้งนี้จัดในนาม F&C แกให้ฉันไปติดต่อพวกเขา เท่ากับบอกคนอื่นว่าฉันก็คือคนขโมยภาพไม่ใช่หรือไง?”
“ท่านครับ ความหมายของผมคือ พวกเราใช้ชื่อของ ‘อิสระกับตัวตลก’ ติดต่อตระกูลดีคาปี้ได้ครับ”
“ไอ้งั่ง! คิดว่าตระกูลดีคาปี้เป็นใคร?แกคิดว่าเขาจะสนใจขโมยหรือยังไง?” เยฟิมเดินวนไปมาหน้าโซฟาอย่างโกรธเคือง
จู่ๆ ลิฟต์ด้านหลังก็เปิดออก แล้วผู้ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “ท่านครับ มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งถึงท่านแต่ไม่ได้เขียนชื่อไว้ครับ”
“ใครส่งมากัน?” เยฟิมขมวดคิ้ว
“แค่เด็กคนหนึ่งครับ น่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน” ผู้ชายรีบพูดต่อ “บอกแค่ว่า ท่านต้องการของที่อยู่ด้านในนี้…พวกเราตรวจสอบดูแล้ว ข้างในไม่มีของอันตรายครับ”
เยฟิมหรี่ตาแล้วก็ไม่ได้รับจดหมายฉบับนี้มา แต่กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “แกเปิดมันออก ลองดูว่าข้างในมีอะไร”
ผู้ชายทำได้แค่เปิดจดหมายที่ใช้ครั่งประทับเอาไว้
“นี่คือ…จดหมายเชิญ” เขาอึ้งไปแล้วจึงเงยหน้ามองเยฟิม ก่อนพูดช้าๆ ว่า “เชิญท่านไปร่วมงานประมูลครับ”
เยฟิมตกใจ ตอนนี้เขาถึงได้คว้าจดหมายเชิญจากมือของลูกน้องมาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น
เขานึกถึงภาพที่เห็นผ่านกล้องในเข็มกลัดติดเสื้อของแอนนา ตอนท้ายเบลอมากจริงๆ เขามองเห็นไม่ชัด แต่กลับฟังทุกคำพูดของคนที่เรียกตัวเองว่ายูริได้อย่างดี
เขาจะประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของแท้
เยฟิมยังไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายมีภาพนี้ได้อย่างไร สิ่งที่เขาคิดก็คือเจ้านี่ประกาศเรื่องประมูลต่อหน้าแขกทุกคนแล้ว เหมือนไม่มีความจำเป็นต้องส่งจดหมายเชิญมาอีก
แต่จดหมายเชิญดันถูกส่งมาที่นี่!
“พวกแกออกไปก่อน” เยฟิมสั่งอย่างไม่ใส่ใจ
จนกระทั่งลูกน้องสองคนจากไปแล้ว เขาถึงได้เดินขึ้นบันไดวนมาจนถึงข้างบนบ้านอย่างร้อนใจ เขากดปุ่มปุ่มหนึ่ง ทำให้ชั้นวางหนังสือตู้หนึ่งเปิดออกอัตโนมัติ ตรงนี้ยังมีประตูอีกบานซ่อนเอาไว้
เยฟิมใส่รหัสแล้วถึงเปิดประตูบานนี้ ที่นี่เป็นห้องสะสมของเก่าของเขา
ตอนที่เขามองดูภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของแท้ที่ยังวางอยู่ที่นี่อย่างดี ถึงได้วางใจเล็กน้อย แต่ว่าจดหมายเชิญในมือเขา…
เขาอดคิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุดไม่ได้ ‘คนตระกูลดีคาปี้รู้อะไรมาหรือเปล่า’
“ยูริ…ยูริ?” เยฟิมพึมพำกับตัวเอง
พวกนั้นไม่มีทางเห็นผู้สืบทอดตระกูลเพี้ยนๆ กับคนร่อนเร่ท้อแท้เป็นคนคนเดียวกันได้หรอก ชื่อซ้ำหรือว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
แอนนาบอกว่า ตอนที่เธอจัดการยูริที่ชานชาลา ก็พบว่าของกลางที่เขาบอกเป็นเพียงการโกหกต้มตุ๋นเท่านั้น…
“หรือว่าแอนนากำลังหลอกฉัน ยูริยังไม่ตายเหรอ…”
เยฟิมขมวดคิ้วมุ่น
จู่ๆ เขาก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาเบอร์โทรหนึ่ง แล้วก็ยิ้มแย้ม “เฮ้ สหายเก่า ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“อ้อ เยฟิมเหรอ? ก็ไม่ยังไงหรอก ช่วงนี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว นายก็รู้ว่าอาทิตย์ที่แล้วมีข่าวอื้อฉาวเรื่องการสมคบคิดระหว่างมาเฟียและนักการเมืองเผยแพร่อยู่บน VK เบื้องบนระเบิดใส่ฉันแทบทุกวัน! ช่วงนี้ภาพที่มีชื่อเสียงยังหายไปอีก…”
เสียงคนปลายสายโทรศัพท์เบาลงเล็กน้อย “ท่านประธานาธิบดีของพวกเราก็ออกคำสั่งแล้ว…สหาย ถ้ายังหาคนทำผิดทั้งสองคดีนี้ไม่เจอ แม้แต่ฉันก็จะกลายเป็นแพะรับบาป และได้ปลดเกษียณก่อนเวลานะ!”
เยฟิมถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใช่สิ ข่าวอื้อฉาวอีกแล้ว แล้วภาพดังก็ถูกขโมยไป แล้วยังมีการฆ่ายิงกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน ฉันเสียใจแทนนายจริงๆ”
“เดี๋ยวก่อนสหาย นายพูดว่าอะไร?ยิงกันที่สถานีรถไฟใต้ดินอะไร? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย?เกิดขึ้นเมื่อไหร่? ที่ไหน?”
เยฟิมอึ้งไป
ฉับพลันเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น บอกว่าความจริงตัวเองพูดผิดไป
“ยูริยังไม่ตายจริงๆ ด้วย…แอนนาหลอกฉัน!”
เขาหรี่ตาลง และกำลังแอบคิดอะไรบางอย่าง
…
…
วันงานประมูลครั้งที่สอง
บอกว่าเป็นงานประมูล แต่งานประมูลครั้งนี้ไม่ได้เป็นทางการเท่าไร เพราะจัดขึ้นในที่ส่วนบุคคลแบบนี้
หรือบอกได้ว่าเป็นเขตอิทธิพลของเขา
จัดงานประมูลในที่แบบนี้…ไม่ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดพูดได้ว่าเจ้าของที่นี่ หรือก็คือผู้สืบทอดตระกูลดีคาปี้คนนี้ไม่ได้จริงจังเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเจ้าของพาคนมาก็มองเห็นห้องนี้มีคนมารวมตัวกันไม่น้อยแล้ว
ครั้งนี้ยังคงเป็นงานเต้นรำหน้ากากเหมือนคืนนั้น…เพียงแค่กลิ่นอายไม่เหมือนกันเลย
เพราะแขกแทบจะทุกคนไม่ได้พาคู่ควงผู้หญิงมาด้วย แต่กลับพาบอดี้การ์ดมาเยอะกว่าเดิมหน่อย อีกทั้งส่วนมากยังเป็นพวกที่ฆ่าคนได้
ถึงแม้ทุกคนจะอำพรางหน้า แต่คนที่คุ้นเคยกันดี ก็คงจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
พวกนักสะสมยืนเรียงตัวอยู่ข้างนอกประตูคฤหาสน์ หลังจากนั้นไม่นาน ประตูเหล็กของคฤหาสน์นี้ก็เปิดออก แล้วคุณพ่อบ้านก็เดินออกมาอย่างสง่างาม
เขามองนาฬิกาพ็อกเก็ตของตัวเองแวบหนึ่ง แล้วจึงยิ้มเล็กน้อย “ยังไม่ถึงเวลา แต่ว่าดีใจมากที่ทุกท่านรักษาเวลาเช่นนี้ ถึงแม้จะน้อยกว่าคืนนั้นก็ตาม…ทุกท่านโปรดเข้ามาเถอะ คุณยูริมารอทุกท่านอยู่ด้านในนานแล้วครับ”
“รอเดี๋ยว! ผมจะพาคนของผมเข้าไปด้วย” ผู้ชายตัวผอมพูดอ้อมๆ
เอดการ์พูดพร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “แน่นอน คุณยูริเป็นคนที่เป็นประชาธิปไตยมากๆ จะไม่ทำให้ทุกท่านลำบากใจเด็ดขาด ทุกท่านเชิญตามสบาย หวังว่าทุกท่านจะควบคุมลูกน้องของพวกท่านได้ หากข้างในเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอะไร จะไม่อยู่ในขอบเขตการชดเชยของพวกเรา”
เอดการ์ยืนนิ่งดูเจ้าพ่อแต่ละคนพาลูกน้องของตัวเองขับรถเข้าไปในคฤหาสน์เหมือนกับรูปปั้นไม่มีผิด
จนกระทั่งรถคันสุดท้ายเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว เขาก็ยังคงยืนรออยู่ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา กฎของการรักษาเวลาก็เป็นสิ่งที่คนสูงวัยคนนี้เคารพอย่างเคร่งครัด
สิบนาทีสุดท้าย
รถม้าที่งามละเอียดอ่อนคันหนึ่งขับเข้ามาตรงทางเข้าคฤหาสน์ช้าๆ
ใช่แล้ว รถม้า
ผู้ชายที่ใส่หน้ากากตัวตลกลงจากรถมาก่อน จากนั้นก็ยื่นมือไปจูงคู่ควงลงมาจากในรถม้า ก่อนเดินมาหน้าเอดการ์ช้าๆ
“ไม่สายใช่ไหมครับ? ขอโทษด้วย ตอนแรกคิดอยากจะเช่ารถเก๋ง แต่พอเห็นรถม้าคันนี้แล้วก็อดเช่ามาไม่ได้”