สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 46 ถ้างั้นก็ลาก่อน
ในที่สุดหางปุกปุยนี้ก็หายไปจากตัวเวร่า ราวกับว่าเป็นสัญลักษณ์สุดท้าย
ทั่วทั้งตัวเธอเกลี้ยงเกลามาก นอกจากเส้นผมและขนคิ้วแล้ว ก็ไม่มีขนเหลืออยู่อีกเลย
เวร่านอนขดตัวอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ ซึ่งที่จริงแล้วบนพื้นนั้นเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
ตอนนี้ลั่วชิวกำลังพิจารณารอบห้องนี้ ไม่ว่าจะบนผนังห้อง หรือบนพื้นก็หลงเหลือรอยแตกร้าวเยอะแยะไปหมด รอยแตกร้าวทั้งห้องเป็นเหมือนร่างแหเลยทีเดียว
“นี่ก็คือมนุษย์หมาป่าเหรอ”
ลั่วชิวเพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้กับตาเป็นครั้งแรกก็สนใจเป็นพิเศษ และมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น เหมือนกับตอนที่เพิ่งเจอพวกปีศาจเป็นครั้งแรก
ตอนที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ ลั่วชิวก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย ตอนที่เวร่ากระโจนออกหน้าต่างไปเจอกับฝูงหมาป่าที่เลี้ยงไว้ในคฤหาสน์พวกนั้น
ถึงแม้หมาป่าพวกนี้จะล้อมเวร่าไว้ก็จริง แต่พวกมันก็ไม่ส่งเสียงเห่าเลยสักครั้งเดียวแต่กลับแยกเขี้ยวใส่ โก่งตัวราวกับมีศัตรูร้ายกาจมาเยือน
ส่วนเวร่านั้นต่อมาก็ได้ประนีประนอมกับเขา ถ้าจะบอกว่ากลัว ก็ไม่สู้บอกว่าเป็นความรู้สึกที่ ‘ค่อนข้างดี’ แบบนี้จะดีกว่า
หลังงานประมูลจบลงแล้ว ถึงแม้เธอจะนิ่งสงบ…แต่ช่วงนี้เจ้าของร้านลั่วก็ดูเธอมาเยอะพอสมควรแล้ว และได้เห็นความร้อนใจในแววตาสาวนักมายากลสุดเท่คนนี้
รวมทั้งริมฝีปากที่ซีดขาวเช่นกัน
…
คุณสาวใช้กุมขมับคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เวร่า ท็อคทาโคนอฟ…แม้คนที่ใช้นามสกุลนี้ในรัสเซียมีไม่เยอะ แต่เห็นการเปลี่ยนร่างของเวร่าเมื่อกี้นี้แล้ว คิดว่ามีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นค่ะ”
โยวเย่มองลั่วชิวพลางพูดเสียงเบาๆ ว่า “นายท่านคะ ฉันคิดว่าคุณเวร่าคนนี้น่าจะเป็นมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดในรัสเซีย เจ้าหญิงแห่งตระกูลท็อคทาโคนอฟค่ะ”
ลั่วชิวเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง…เดินวนรอบเวร่าที่นอนอยู่บนพื้นรอบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมา“ตระกูลมนุษย์หมาป่า?”
“ถือว่าเป็นสายตระกูลเก่าแก่สายหนึ่งเลยสินะ แต่มนุษย์หมาป่าที่หลงเหลืออยู่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ระเหเร่ร่อนอยู่ทั่วโลก อย่างตระกูลของคุณเวร่านี้เป็นตระกูลที่พบได้ยากที่สุดแล้วค่ะ” โยวเย่พูดเบาๆ ว่า “ตระกูลท็อคทาโคนอฟจัดอยู่ในตระกูลที่สืบเชื้อสายจากชนชาติกลุ่มเติร์กอันเก่าแก่ ในสมัยโบราณเคยให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ประจำตระกูลรูปหมาป่าค่ะ”
แม้ว่าทำหน้าที่เป็นสาวใช้มาแค่สามร้อยปี แต่ลั่วชิวก็คิดว่าโยวเย่เหมือนสารานุกรมที่มีชีวิตเล่มหนึ่งเลย
ลั่วชิวรู้สึกว่าในตัวคุณสาวใช้มีลักษณะพิเศษมากเลยทีเดียว นึกได้แบบนี้เขาก็อารมณ์ดีทีเดียว เขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นี้หมอนั่นพูดอยู่หน้าประตูว่า ‘เธอต้องกินยาสักหน่อย บางทีอาจจะดีขึ้น’ การกลายร่างของหมาป่าสามารถควบคุมได้ด้วยยาเหรอ?”
โยวเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ หมาป่าเลือดบริสุทธิ์วัยเจริญพันธุ์ ถึงแม้จะควบคุมการกลายร่างของตนเองได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ตอนพระจันทร์เต็มดวง นิสัยใจคอของพวกเขาจะฉุนเฉียวง่ายขึ้น ถึงกับยากที่จะควบคุมตัวเองเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็พอฝืนควบคุมต่อไปได้”
โยวเย่มองเวร่าที่นอนอยู่บนพื้นเหมือนกัน แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่ดูแล้วเธอคงลำบากมากเลยค่ะ ฉันเกรงว่าสายเลือดคงมีปัญหาบางอย่าง…ยานั้นน่าจะช่วยระงับการกลายร่างที่ผิดปกติของเธอในคืนพระจันทร์เต็มดวง เพียงแต่คาดว่าผลข้างเคียงของยาคงหนักไม่เบาเลยนะคะ เธอถึงได้ยอมทรมานนิดหน่อย แล้วฝืนตนเองต่อไป เพื่อที่จะไม่กินยาเพิ่มล่ะมั้งคะ เพียงแต่…”
โยวเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือไปแตะหน้าผากเวร่าเบาๆ แล้วค่อยๆ พูดว่า “เกรงว่าจะฝืนได้อีกไม่นานแล้วค่ะ ร่างกายนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ร่างน่าจะใกล้พังแล้ว”
ลั่วชิวพยักหน้าเข้าใจ หลังจากกนั้นก็โบกมือเล็กน้อย ให้ร่างของเวร่าที่นอนหดอยู่บนพื้นลอยขึ้นไปนอนบนเตียงช้าๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม
แล้วร่างกายที่กลับคืนสู่สภาพเดิมก็ถูกคลุมไว้แบบนี้ ลั่วชิวยื่นมือไปอีกครั้ง แล้วหยิบรีโมตแอร์ตรงมุมผนังห้องที่เวร่าทุบจนแตกตอนอาละวาด
หลังจากเปิดแอร์ปรับเป็นโหมดอัตโนมัติแล้ว ลั่วชิวถึงได้มองโยวเย่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เย็นนี้ มีที่ไหนน่าไปเดินเล่นบ้างไหม?”
“ริมแม่น้ำดีไหมคะ?”
ลั่วชิวยิ้มเห็นด้วย
ก่อนไป เจ้าของร้านลั่ววางการ์ดดำใบหนึ่งไว้ข้างหมอนเวร่าแบบเบามือ
…
…
อย่างที่แอนนาเคยพูดกับยูริ เยฟิมกำลังเขวี้ยงแก้วน้ำอยู่ใน ‘ป้อมปราการ’ ตนเอง
แก้วเยอะแยะมากมาย เศษแก้วกระจายทั่วพื้น
ทันใดนั้นประตูลิฟต์หน้าห้องก็เปิดออก ลูกน้องมองเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น แล้วเดินไปข้างๆ ปีศาจร้ายด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุด “นายท่านครับ คุณแอนนากลับมาแล้ว”
“แอนนา? เยฟิมหันกลับมา เขาผู้ที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ในตอนนี้ ดูท่าทางไม่น่าเข้าหานัก“งั้นเหรอ…ให้เธอเข้ามาสิ”
ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก แอนนามองซ้ายขวาตรงประตูลิฟต์ตามปกติก่อน เธอพบว่าที่นี่ไม่มีสองคนอยู่ซ้ายขวาคอยค้นตัวเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็นแล้ว
แต่เธอก็ยังเดินเข้าไป…โดยเศษแก้วที่กระจายเต็มพื้นทำเอาเธอตกใจ
แอนนาขมวดคิ้ว มองเยฟิมที่ยืนเงียบถือแก้วเหล้าตรงหน้าผนังกระจก “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”
“คุณยังกลับมาอีกเหรอ?” เยฟิมพูดอย่างเฉยชา “กล้าไม่เบาเลยจริงๆ นะ”
แอนนาพูดด้วยความไม่พอใจ “เพราะฉันถูกคนของตระกูลดีคาปี้จับตัวไป กว่าจะหาโอกาสหนีออกมาได้ก็ไม่ง่ายเลยนะ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ? งานประมูลของคุณเกิดเรื่องแล้วจะโทษฉันงั้นเหรอ?”
“หนีออกมา?” เยฟิมยิ้มเยาะ “งั้นคุณบอกผมสิ คุณหนีออกมาได้ยังไง?”
แอนนาพูดอย่างเฉยเมยว่า “เยฟิม เรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือ ฉันรู้บางเรื่องมา! วันนั้นที่สถานีรถไฟใต้ดินฉันไม่ได้ฆ่ายูริตายไปจริงๆ แล้วอยู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนตระกูลดีคาปี้! วันนั้นที่โรงแรมเขาทำลายภาพทิ้งไปแล้ว แล้วเขาก็มาขายภาพใหม่อีกภาพหนึ่ง…คุณรู้ไหมว่าขายไปได้เท่าไร?”
“ขายไปเท่าไร?” เยฟิมตวัดสายตาถามราวกับอยากรู้
แอนนาถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับถูคิ้ว “สองร้อยหกสิบล้านยูโร! มีไอ้โง่แบบนี้อยู่จริงๆ เหรอเนี่ย ซื้อภาพปลอมด้วยเงินสองร้อยหกสิบล้านยูโร ฉันต้องยอมรับจริงๆ ว่ายูริเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการปลอมแปลงจริงๆ ตอนนี้เราควรจะมาคิดดูว่าจะกอบกู้ความเสียหายกันยังไง ฉันรู้ว่าคุณโกรธมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโหนะ”
เยฟิมพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ผมยอมรับ…จริงสิ ผมจะให้คุณดูอะไรหน่อย คุณตามผมมา”
แอนนาอึ้งไป และก็เดินตามเยฟิมไปด้านหลังฉากกันลม จนมาถึงตรงหน้าขาตั้งภาพวาดอันหนึ่ง ครั้งนี้เยฟิมเปิดผ้าสีขาวบนชั้นออกด้วยตัวเอง
“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’?” แอนนาขมวดคิ้ว “ทำไมคุณเอาภาพจริงออกมาล่ะ คุณคิดจะทำอะไร?”
“ไม่ใช่ นี่ก็ภาพปลอม” เยฟิมมองแอนนาพลางพูดอย่างช้าๆ
“เป็นไปได้ยังไงกัน! ภาพปลอมนั่น ไม่ใช่ว่าถูกทำลายตั้งแต่อยู่ที่โรงแรม…” แต่แอนนาก็หยุดพูดในทันที ราวกับว่านึกอะไรได้
แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว
เพราะตอนนี้เยฟิมเริ่มอาละวาดแล้ว มือหนึ่งคว้าผมแอนนาไว้แล้วออกแรงกระชากตัวเธอ ลากไปข้างกำแพง พร้อมยื่นมืออีกข้างไปบีบคอเธอ
เขามองสีหน้าหวาดกลัวของแอนนา ยื่นใบหน้ามาใกล้ๆ แสยะยิ้มพลางพูดว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? เพราะอะไรถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ? เพราะว่า คนที่คุณพูดถึงว่าซื้อภาพปลอมด้วยเงินสองร้อยหกสิบล้านยูโรก็คือผมไง!!!”
แอนนาบีบแขนเยฟิมอย่างเจ็บปวด แต่ชายคนนี้ถึงแม้จะอ้วนท้วม แต่กลับมีพละกำลังที่น่ากลัว
ร่างสูงใหญ่นี้กดตัวเธอชิดไปกับผนังห้อง ทำให้เธอกระดุกกระดิกแทบไม่ได้ ส่วนคอก็ถูกกดทับเธอแค่รู้สึกหายใจลำบาก พูดอะไรไม่ได้!
เยฟิมมองแอนนาด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ อ้าปากราวกับจะกลืนกินเธอ “ผมไม่รู้ว่าทำไมยูริถึงกลายเป็นคนตระกูลดีคาปี้ไปได้ และตอนนี้ผมก็ไม่อยากรู้ด้วย! ผมยิ่งไม่อยากรู้ว่านังหญิงแพศยาอย่างคุณนี่มีแผนอะไรอีกกันแน่ ถึงได้กล้ากลับมาหาผมที่นี่ แต่ว่า ผมบอกคุณได้แบบไม่โกหกเลยว่า คุณตายแน่! คาดไม่ถึงว่าคุณจะกล้าทรยศผม!!แถมยังร่วมมือกับยูริแย่งเงินไปจากผมสองร้อยหกสิบล้านยูโร!! แล้วยังให้ผมเปิดเผยตัวต่อหน้าผู้คนทั้งหมดอีก!!”
แอนนาตบผนังอย่างทรมาน เธอต้องการออกซิเจนเพิ่มเนื่องจากออกซิเจนในตัวเธอเริ่มน้อยลงทุกที เธอรู้สึกว่าสายตาค่อยๆ มืดมัว…แต่กระดูกต้นคอเหมือนพร้อมจะถูกบิดหักได้ตลอดเวลา
เธอหวนคิดภาพเหตุการณ์ตอนพูดคุยกับยูริก่อนหนีออกมาจากคฤหาสน์
เขาไม่ได้บอกเธอว่าคนที่ซื้อภาพไปก็คือเยฟิม
จนกระทั่งเขาพูดกับเธอประโยคหนึ่งว่า ‘ถ้างั้นก็ ลาก่อน’
ที่แท้ก็คือ…ลาก่อนแบบนี้นี่เอง
…
“ท่านครับ? มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
เยฟิมนั่งอย่างสงบ เขาดื่มเหล้าไปอึกหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แค่ชี้นิ้วไปที่ผนังห้องมุมหนึ่ง ตรงนั้น แอนนาล้มอยู่บนพื้น ตัวเย็บเชียบ นิ่งไม่ขยับตัว
“รับทราบแล้วครับท่าน ผมจะจัดการเธอให้เรียบร้อย” ลูกน้องพยักหน้าเล็กน้อย
ทันใดนั้น โทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามา
“ท่านครับ ข้างล่างมีรถตำรวจคันหนึ่งมา บอกว่าต้องการพบท่านครับ…”