สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 48 แอนนา
แอนนาค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายหญิงคู่นี้ตรงริมแม่น้ำ หลังจากเดินเข้าไปหาแล้ว เธอถึงได้มองเห็นลักษณะของชายหญิงคู่นี้ชัดเจน
ทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย
ตอนที่พวกเขาหันมามองแอนนา เธอจึงถามทันทีว่า “พวกคุณ…ช่วยชีวิตฉันไว้เหรอ?”
แต่เธอเพิ่งจะพูดจบ ก็หยุดชะงักทันที พร้อมกับทำสีหน้าตกใจ เพราะเธอพบว่าเสียงของตนเองเหมือนเสียงลมที่ลอดออกมาจากกระจกแตก
เสียงแต่ละพยางค์แตกแหบแห้งถึงขนาดผิดเพี้ยนไปจนความหมายไม่ชัดเจน เธอจึงยื่นมือไปคลำที่ลำคอตนเองทันที
“ฉัน ฉัน ฉัน…” แอนนาพยายามให้ตนเองพูดจบ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ในที่สุด เธอก็ได้ยินคำตอบที่คาดคิดไม่ถึง
“ผมคิดว่าคุณแอนนาอย่าเพิ่งลองเลยจะดีกว่าครับ” ชายหนุ่มชาวตะวันออกตรงหน้าพูดขึ้นช้าๆ “ถึงแม้พวกเรามาถึงทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกหาของคุณ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นสภาพของคุณค่อนข้างแย่แล้ว”
ลั่วชิวพยายามอธิบายด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายว่า “เอาแบบนี้แล้วกันครับ ตอนนั้นกระดูกลำคอของคุณแอนนาแตกไปแล้ว แถมยังอยู่ในอาการโคม่าอีก…อืม พวกเราเลยให้คุณอยู่ในสภาพแบบนี้ไปก่อนชั่วคราวครับ”
แอนนาอ้าปากราวกับยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน
ลั่วชิวได้แต่พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า “หรือจะบอกว่า หลังจากคุณพ้นสภาพนี้ไป คุณก็จะตายทันทีครับ”
แอนนาไม่รู้ว่าที่เรียกว่าสภาพนี้คืออะไรกันแน่ แต่ตอนที่เธอลูบคลำไปจนถึงตรงลำคอของตัวเองก็รู้ทันที
กระดูกส่วนนี้แตกหัก คิดดูแล้วถ้าคนข้างๆ เห็น ตรงส่วนนี้คงจะดูแปลกมากๆ เลยสินะ
เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เค้นเสียงพูดอย่างยากลำบาก “นาน…นาน…แค่ไหน”
ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “แน่นอนว่าไม่นานเกินไปครับ คุณลูกค้าได้กลไกการแลกเปลี่ยนคุ้มครองเอาไว้ ถึงรักษาสภาพแบบนี้ไว้ได้ แต่ถ้ายืดเวลานานเกินไป มันก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ โปรดอย่าเข้าใจผิดนะครับ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ให้คุณคิดไตร่ตรอง แต่เพราะการรักษาสภาพตอนนี้ของคุณไว้ พวกเราก็ต้องใช้พลังไปทีละนิดๆ เหมือนกัน ผมคิดว่าในเมื่อคุณแอนนาได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว อย่างนั้น…ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอให้คุณได้คิดไตร่ตรองแล้วมั้งครับ? ถือโอกาสเตือนสักหน่อยนะครับ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง คุณแอนนาจะอยู่ในสภาพเสียชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นที่พวกเราคาดการณ์ไว้คือ…เกรงว่านอกจากดวงวิญญาณของคุณแล้ว ก็ไม่มีค่าธรรมเนียมอย่างอื่นที่มีค่ามากกว่านี้แล้วครับ”
แอนนาได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบ เธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ผ่านลั่วชิวกับโยวเย่จนมาใกล้ริมแม่น้ำ
เธอเหม่อมองวิวในยามค่ำคืนทางฝั่งตรงข้าม
ตอนนี้เหลืออีกห้านาที เธอค่อยๆ หันกลับมา มองชายหนุ่มคนนี้เงียบๆ
เธอยังคงไม่ได้พูดอะไร…แต่เธอเจอเหตุการณ์ปาฏิหาริย์แบบนี้ ก็รู้สึกว่าบางทีคนคนนี้คงพอจะอ่านความคิดเธอได้บ้าง
เจ้าของสมาคมยังคงแนะนำลูกค้าตามหน้าที่ ลั่วชิวพูดขึ้นช้าๆ ว่า “แบบนี้จะดีจริงๆ เหรอครับ? คุณแอนนา ทุกคำถามของคุณต้องเสียค่าธรรมเนียม นั่นหมายความว่าค่าธรรมเนียมที่คุณมีอยู่ก็จะลดลงเรื่อยๆ หรือก็คือค่าธรรมเนียมที่คุณใช้แลกเปลี่ยนได้ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ คุณยังอยากจะแลกเปลี่ยนอยู่เหรอครับ?”
แอนนาพยักหน้าน้อยๆ
“ผมเข้าใจแล้วครับ” เจ้าของร้านลั่วก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “ที่จริงแล้วคุณยูริได้พวกเราช่วยชีวิตไว้ครับ ตอนนี้เขาใช้พลังของตระกูลดีคาปี้ได้ และแน่นอนว่าได้รับมาจากพวกเรานี่เองครับ”
ฉับพลันในดวงตาแอนนาก็ฉายแววเศร้าสลด ราวกับว่าเธอพอจะเดาคำตอบสุดท้ายได้…แต่แววตาเธอกลับยังมีความปรารถนาอยู่
เธอยังคงเลือกที่จะฟังต่อไป
“สิ่งที่คุณยูริทำข้อตกลงกับพวกเราคือ…”
“เขาหวังว่าจะได้รับพลังในการแก้แค้น เพราะฉะนั้น เขาจึงเหลือชีวิตแค่เดือนเดียว ถ้าตอนนี้ก็น่าจะเหลือประมาณยี่สิบเจ็ดวัน” ลั่วชิวพูดเบาๆ
ในที่สุดแอนนาก็หลับตาทั้งสองข้างลง สูดลมหายใจลึกๆ…ตามสัญชาตญาณของเธอ ถึงแม้เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า อากาศเข้ามาจุกอยู่ที่ลำคอของตนเอง
นี่ดูเหมือนว่าจะทำให้เธอยิ่งทรมาน
แต่ต่อมน้ำตาเธอกลับยังทำงานได้ดี…ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ด้วยน้ำตาคลอเต็มเบ้า
ในที่สุด เธอก็เผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดกว่าการร้องไห้ออกมา เธอใช้เสียงแตกแหบแห้ง และน่ากลัวราวกับแม่มดแก่ๆ พูดด้วยน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังอย่างที่สุดว่า “พวก…คุณ…ไม่…น่า…มีตัวตน…อยู่…”
ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้บันทึกไว้แล้วครับ คุณแอนนายังต้องการแลกเปลี่ยนอะไรอีกไหมครับ?”
ก่อนที่ห้านาทีสุดท้ายจะหมดลง แอนนาถึงได้เปล่งเสียงพูดอย่างยากลำบากว่า “ให้…ฉัน…ได้…เห็น…ช่วง…สุด…ท้าย…ก่อน”
“ตามที่คุณลูกค้าต้องการครับ” ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ “คุณลูกค้าของผม”
…
…
เลยเที่ยงคืนมาแล้ว
นี่เกรงว่าจะเป็นคืนที่เยฟิมนอนหลับยากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีมานี้เลย เขาสวมชุดนอนนั่งอยู่ในห้องโถงเย็นยะเยือกคนเดียว กำลังเล่นมีดเล่มเล็กในมือ
มีดเล็กๆ เล่มนี้ก็เหมือนของนำโชคของเขา มันอยู่ติดตัวเขาจนมีชีวิตร่ำรวยขึ้น ถึงขนาดพูดได้ว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้
ปีนั้นเขาอายุสิบสี่ปี เขาก็ได้ฆ่าคนครั้งแรก
เขายังรู้สึกว้าวุ่นใจ
เขายินดีคิดว่าใจว้าวุ่นเพราะเหตุการณ์เมื่อตอนอายุสิบสี่ปี ดีกว่าคิดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้
นี่ทำให้เขารู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขา…เป็นการปฏิเสธความสามารถของเขา
เยฟิมยกโทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา รออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงอ่อนล้าจากปลายสาย
“เพื่อนยาก เหมือนเมื่อวานซืนนายก็เพิ่งมาหาฉัน ทำไมเร็วนักล่ะ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
เยฟิมค่อยๆ พูดว่า “คนที่ชื่อวิคเตอร์ เป็นลูกน้องนายหรือเปล่า?”
“วิคเตอร์?” เสียงปลายสายดูประหลาดใจ พลางซักไซ้ถามว่า “ที่จริงแล้วเขา…ทำไม เขาล่วงเกินนายเหรอ?”
เยฟิมพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไร แค่คนของฉันมารายงานว่า สองวันมานี้มีคนชื่อวิคเตอร์สร้างปัญหายุ่งยากกระทบธุรกิจบางอย่างไปไม่น้อยเลย”
“งั้นเหรอ…” เสียงปลายสายถอนหายใจแล้วบอกว่า “น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้น่ะ เพื่อนยาก หมอนี่บ้างาน เชื่อฉัน ไม่ใช่เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่นายหรอก คงแค่บ้าอยากหาเบาะแสเท่านั้นเอง นายรู้ก็รู้นี่ ภาพนั้นถูกขโมยไป ส่งผลกระทบมากมาย ฉันก็โดนกดดันมาไม่น้อยเหมือนกันนะ แต่นายสบายใจได้ พอเรื่องจบแล้ว ฉันจะคิดหาวิธีจัดการวิคเตอร์ให้หนักเลย หมอนี่ก็เหมือนเสี้ยนหนาม แทบจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา”
เยฟิมพูดขึ้นทันที “หืม? ความหมายของนายคือ นายตำรวจยศใหญ่อย่างนายก็ยังจัดการตำรวจสายสืบยศเล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้งั้นเหรอ?”
“ช่วยไม่ได้นี่ วิคเตอร์มีประสบการณ์โชกโชน ทั้งเคยได้เหรียญรางวัลระดับประเทศอีก ไม่ใช่คนที่คิดจะโค่นก็โค่นล้มได้ตามอำเภอใจ จะว่าไป ช่วงนี้ฉันก็ออกจะ…เอ่อ วุ่นวายนิดหน่อย ไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม…คือว่านะเพื่อนยาก จากช่องทางแหล่งข่าวและเส้นสายของนายแล้ว นายไม่ได้ยินข่าวเรื่องภาพวาดนี้เลยเหรอ? ฉันคิดว่านายควรจะช่วยฉันมากกว่านะ”
เยฟิมหรี่ตา ยิ้มพลางพูดว่า “เพื่อนยาก สบายใจได้ ฉันก็จะไม่ยอมดูนายซวยเหมือนกัน สองวันนี้ฉันให้คนจับตาดูเรื่องนี้ไว้อยู่ ถ้ามีข่าวอะไร ฉันจะรีบแจ้งให้นายรู้ทันที”
“ขอบคุณมากๆ เลยนะ เพื่อนยาก”
“ใครให้พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีต่อกันล่ะ?”
หลังจากนั้นเยฟิมก็ตัดสายโทรศัพท์ ตอนที่วางสายโทรศัพท์ เขาก็ออกแรงปักมีดในมือลงบนโต๊ะ หัวเราะอย่างเลือดเย็นแล้วพูดว่า “ดูท่าเพื่อนยากคนนี้จะหมดประโยชน์ซะแล้ว…”
เขาจึงยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
…
ภรรยาของเขายังอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ
พอกลับมาถึงตอนเที่ยงคืน วิคเตอร์ก็โทรศัพท์ไปคุยกับภรรยามาแล้ว…นี่แทบจะเป็นช่วงเวลาที่วิคเตอร์ผ่อนคลายที่สุดในหลายวันมานี้เลย
เขานอนดูเพดานเงียบๆ อยู่บนเตียงในอะพาร์ตเมนต์ของตนเองในเมือง…ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
นี่เป็นเบอร์แปลก
แต่แน่นอนว่า เสียงที่ดังมาจากปลายสายไม่ใช่คนแปลกหน้าเลย
“คุณวิคเตอร์ ผมเองนะครับ”
นี่เป็นเสียงของเยฟิม “ผมคิดว่า เราจำเป็นต้องคุยกันอย่างจริงจังอีกครั้ง พรุ่งนี้คุณสะดวกไหมครับ?”