สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 59 อำพราง
คนขับแท็กซี่สูงวัยไม่เชื่อข้ออ้างนี้ จึงเปิดกระจกรถมองชายหนุ่มคนนี้แล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณผู้ชาย ถ้าคุณเข้าไปแล้วไม่ออกมา ผมจะทำยังไงล่ะ? ท่าทางคุณก็ดูไม่เหมือนจะอยู่บ้านหลังนี้ได้ด้วยสิ”
เขาโบกรถหน้าสถานีตำรวจ คนขับก็ต้องสงสัยแน่สิ!
“คุณพูดอะไร? ผมเป็นเจ้าของที่นี่! เฮอะ!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สบถเสียงเย็นชา “คุณรออยู่นี่แหละ”
พูดจบ เขาก็เดินไปกดกริ่งข้างเสาหน้ารั้วเหล็กบานใหญ่ทันที ถ้าไม่ใช่เพราะของหายหมดล่ะก็ เขาก็คงไม่นั่งแท็กซี่กลับมาหรอก
ระหว่างทาง เขายืมโทรศัพท์คนขับรถคนนี้ แต่กลับติดต่อเอดการ์ไม่ได้ จนเขาชักจะเริ่มกังวลแล้ว
กริ่งประตูดังอยู่สักพักใหญ่ แต่กลับไม่มีใครออกมาเปิดประตูเลย คนขับแท็กซี่จึงลงมาจากรถ แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม “คุณผู้ชาย ผมว่าคุณกดนานแค่ไหน ก็คงไม่มีใครออกมาหรอก…แต่ว่า แท็กซี่ไม่ได้นั่งฟรีนะคุณ”
“คุณคิดจะทำอะไร!” ชายหนุ่มตะคอกถาม
พอเขาตะคอกใส่แบบนี้ คนขับแท็กซี่ก็หน้าซีดขาว แล้วชะงักฝีเท้า
ชายหนุ่มคิดว่าท่าทางดุดันของตัวเองคงข่มอีกฝ่ายได้ จึงหัวเราะฮึอย่างเย็นชา คาดไม่ถึงว่าเวลานี้ คนขับแท็กซี่กลับรีบหันหลังเดินกลับไปที่รถตัวเอง แล้วถอยรถเลี้ยวออกไปเต็มกำลังแรงม้า โดยไม่สนใจค่าโดยสารอีก
ชายหนุ่มอึ้งไป…เขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำให้คนตกใจได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปทางรั้วเหล็กบานใหญ่อีกครั้ง ทว่ากลับเห็นคนสวมชุดสูทสีขาวคนหนึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงรั้วประตู
แขนเขาล้วงข้ามรั้วเหล็กออกมาช่วยพยุงร่างเขาไว้พอดี…แต่หัวของเขากลับห้อยลงมาแน่นิ่ง
เห็นแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ตกใจขนลุกซู่ เขาเข้าใจทันทีว่าทำไมคนขับแท็กซี่ถึงจากไปด้วยอาการหวาดผวาขนาดนั้น
ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าเดินตรงไปหน้ารั้วเหล็ก ก่อนประคองหัวคนผู้นี้ขึ้นมา แล้วก็นึกชื่อคนผู้นี้ออกอย่างรวดเร็ว ‘เกิดอะไรขึ้นในคฤหาสน์นี้กันแน่?’
เขาต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้! ชายหนุ่มออกแรงผลักประตู เมื่อพบว่าประตูไม่ได้ล็อก เขาก็แอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันหยิบปืนพกจากมือศพรายนี้มาถือไว้ พอกลืนน้ำลายแล้วก็เดินย่องเข้าไปในคฤหาสน์
ระหว่างทาง ชายหนุ่มเห็นศพลูกน้องตัวเองนอนเกลื่อนไปหมด!
เวลานี้คฤหาสน์แห่งนี้เงียบสงัดผิดปกติเกินไป
พอเขาผลักประตูออก กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน ชายหนุ่มจึงลองตะโกนเรียก “เอดการ์! เอดการ์! อยู่หรือเปล่า?” เอดการ์! อยู่หรือเปล่า?
โครม!
เสียงของหล่นดังขึ้น ชายหนุ่มจึงรีบหันควับ ชี้ปืนพกไปข้างหน้าทันที ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม “ใคร!”
“ท่านครับ!” ผู้ชายคนหนึ่งนั่งประคองแขนตัวเองอยู่ตรงหัวมุม ก่อนพยุงตัวลุกขึ้นยืน “คุณปลอดภัย วิเศษมากจริงๆ!”
“โอ้! เจอคนสักที” ชายหนุ่มหน้าชื่นตาบาน รีบเดินเข้าไปประคองหมอนี่ขึ้นมา “บอกฉันมา เกิดอะไรขึ้นที่นี่…”
แต่เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงผู้ดูแลบ้านแสนคุ้นเคยก็ดังส่งมา!
“ท่านครับ! ที่แท้ก็อยู่ที่นี่เอง!”
เขาเห็นเอดการ์รีบร้อนเดินลงมาจากชั้นบน เสื้อผ้าเขาดูยุ่งเหยิงไปหมด มีเพียงผมที่ยังเรียบเนี๊ยบ… “ยังดีที่คุณไม่เป็นอะไร! ผมตื่นขึ้นมาในห้องหนังสือก็เห็นศพเยฟิมกับคนอื่นๆ เป็นฝีมือท่านใช่ไหมครับ!”
“ฉัน?” ชายหนุ่มอึ้งไป พร้อมแสดงสีหน้าสงสัย ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย “เอดการ์ฟังฉันนะ หลายวันมานี้ฉัน…”
“ท่านครับ ผมว่าตอนนี้ไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้” ผู้ดูแลบ้านชรากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผมแจ้งโบโลดอฟไปแล้วว่าเกิดเรื่องที่นี่ ฟังนะครับ คุณโบโลดอฟให้เวลาพวกเราเก็บกวาดที่นี่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
“โบโลดอฟ?” ชายหนุ่มยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก “เดี๋ยวก่อน ที่ฉันมามอสโกครั้งนี้ก็เพื่อเจรจาขอร่วมงานกับโบโลดอฟ แต่ฉันไปเจอเขาตั้งแต่เมื่อไร?”
“โอ้! คุณผู้ชายที่น่าสงสารของผม คุณเคยคุยกับโบโลดอฟไปแล้วก่อนงานประมูลครั้งแรก แถมยังวางแผนกำจัดเยฟิมด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” พ่อบ้านชราขมวดคิ้ว “หรือว่าตอนถูกแรงกระแทกของระเบิดมือเมื่อกี้นี้ ความจำของท่านเลยเพี้ยนไปหมด?”
ชายหนุ่มอึ้งไป…สัญชาตญาณบอกเขาว่า เรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว เขาย่อมอยากรู้ให้แน่ชัดว่าระหว่างนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงคิดจะเอ่ยปากถาม
แต่จู่ๆ เขากลับมึนหัวไปหมด
จากนั้นภาพมากมายก็แวบผ่านเข้ามาในหัวของเขาราวกับภาพหนังม้วนหนึ่งกำลังฉายอยู่ในหัวเขา
ชายหนุ่มหมดสติไป
“คุณผู้ชาย! คุณผู้ชาย! คุณผู้ชาย!!”
…
เยียร์เกอร์ฟื้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเจ็บบนใบหน้า ทันทีที่ลืมตาก็เห็นใบหน้าคุ้นตาอย่างยิ่ง
“คุณวิคเตอร์!” เยียร์เกอร์ดีใจจนรีบคว้าข้อมือวิคเตอร์ไว้ “วิเศษ! คุณไม่เป็นไร! ผมตามหาคุณตั้งนานแหน่ะ! พวกเขาเอาคุณไปขังไว้ที่ไหน!”
วิคเตอร์อึ้งไป แล้วลองครุ่นคิดกับตัวเอง ‘ดูแล้วคนในคฤหาสน์คงไม่ได้บอกเยียร์เกอร์เรื่องของตน แต่ขังเขาไว้ข้างในตลอด’
“ใจเย็นๆ” วิคเตอร์ตบไหล่เยียร์เกอร์ “ไว้ค่อยพูดเรื่องนี้ ที่สำคัญคุณบอกผมได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
“เอ่อ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูเหมือนที่นี่จะถูกโจมตีอย่างหนัก ผมก็เลยอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกมา แล้วก็คิดจะตามหาคุณ!” เยียร์เกอร์ย้อนคิดพลางพูดว่า “คุณวิคเตอร์ ที่นี่มีอาวุธซ่อนอยู่มากมาย ทั้งยังมีคนตายเกลื่อน! ผมว่าพวกเราต้องรีบหาคน…”
“เยียร์เกอร์” คาดไม่ถึงว่าวิคเตอร์จะเรียกเขาด้วยเสียงดัง “เรื่องพวกนั้นไว้ก่อน ผมแค่อยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนี่?”
วิคเตอร์ชี้นิ้วไป
เยียร์เกอร์จำต้องมองตามนิ้วมือเขาไป แล้วก็เห็นศพนอนอยู่บนพื้นห้องนี้ศพหนึ่ง
ศพแห้งๆ ที่มีสีเทาไปทั้งตัว อีกทั้งยังมีเลือดสีดำไหลออกมาจากปาก ใบหน้าเขามีเส้นเลือดปรากฏขึ้นชัดเจน เห็นแล้วชวนให้ผวาเป็นที่ยิ่ง!
นี่มัน…เจ้าฆาตกรนั่น!
ในที่สุดเยียร์เกอร์ก็จำเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้…เหมือนว่าพอหมอนี่ฉีดอะไรเข้าร่าง ก็เปลี่ยนเป็นตัวยักษ์น่าเกลียดน่ากลัว เยียร์เกอร์ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ฉีดอะไรเข้าร่างกันแน่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของดี!
แต่ว่า…หมอนี่ตายได้ยังไง?
เยียร์เกอร์แอบตกใจลึกๆ เขาคิดว่าบางทีตอนที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ตัวเขาก็จะเข้าสู่สภาวะที่ไม่อยากให้ใครรับรู้ทันที
พอเขาเข้าสู่สภาวะนั้น เขาก็จะสูญเสียความรู้สึกตัวโดยสิ้นเชิง จำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปด้วยซ้ำ…คงไม่ใช่ว่า ตัวเองเผลอใช้พลังน่ากลัวจัดการเจ้าหมอนี่หรอกนะ?
เยียร์เกอร์มองรอยกรงเล็บหลายรอยบนตัวหมอนี่…ดูเหมือนว่า อาจมีข้อสรุปเพียงอย่างนี้เท่านั้น
พอลองนึกย้อนถึงตัวเองในสภาพไร้สติ และเริ่มทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า เขาก็ไม่อาจปฏิเสธข้อสรุปนี้ได้
“หมอนี่น่ะ คุณจัดการเหรอ?” วิคเตอร์ขมวดคิ้วถาม
เยียร์เกอร์ลังเลไปครู่หนึ่ง “ผมว่า…อาจจะนะ ผมจำไม่ค่อยได้ คุณวิคเตอร์ คุณก็เห็นว่าผมเพิ่งฟื้น ผมไม่รู้หรอกครับ”
“ลำบากคุณแล้ว” วิคเตอร์พยักหน้า แล้ววิเคราะห์ต่อ “แต่ว่าคุณอย่าเพิ่งเอาเรื่องของศพรายนี้ไปบอกคนอื่น แล้วก็อย่าเขียนลงไปในรายงาน ผมจะหาคนมาจัดการศพนี่เอง…เอาเป็นว่า คุณเก็บเรื่องศพนี่เป็นความลับไว้ก่อน”
พอเห็นท่าทางจริงจังของวิคเตอร์ เยียร์เกอร์ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกพยักหน้ายินยอม
เขาลุกขึ้น “จริงสิ คุณวิคเตอร์ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”
วิคเตอร์หัวเราะ เขามองเด็กหนุ่มที่เป็นห่วงเขามากกว่าตัวเอง ก็อดพูดอ่อนโยนไม่ได้ “ไม่เป็นไรแล้ว เคลียร์หมดแล้ว”
“เคลียร์…เคลียร์แล้ว??”
…
ตอนที่เดินออกมาจากห้องนี้เยียร์เกอร์ถึงได้พบว่า ตำรวจจำนวนมากพากันมาถึงคฤหาสน์หลังนี้แล้ว…แต่ที่นี่กลับไม่เหมือนในความทรงจำของเขา
ศพนอนเกลื่อนมากมายเหลือเพียงสี่ศพเท่านั้น
ในสวนมีเพียงศพเดียว เป็นศพคนของคนในคฤหาสน์นี้…แถมยังเป็นเพียงคนสวน ส่วนอีกสามคนก็คือเยฟิม และคนร้ายชิงตัวเยฟิมก่อนหน้านี้อีกสองคน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หนูน้อยเยียร์เกอร์ งงจนหน้าซีดเผือด…
…
“คุณดีขึ้นแล้วเหรอ?”
วิคก้าพยุงเวร่าไปยังต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปจากคฤหาสน์ จนเจอลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง จึงให้เธอนั่งพักผ่อนข้างๆ ที่จริงแล้วเขาเหนื่อยมาก สำหรับนักรบที่มีอาวุธเป็นคีย์บอร์ดและรหัส การใช้แรงงานแทบจะเป็นเรื่องห่วยที่สุด
“ก็พอไหว”
เวร่าพยักหน้าเล็กน้อย ตอนนี้เธอเริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว
วิคก้าถอนหายใจ สักพักก็นั่งลงบนทุ่งหญ้า “เมื่อกี้เหมือนผมได้ยินเสียงนกหวีด ตำรวจคงมาแล้วสินะ ยังดีที่พวกเราหนีเร็ว ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ!”
“ลำบากนายเลย ต้องเพิ่มเงินเดือนให้นายแล้ว” เวร่าหัวเราะแล้วยื่นกำปั้นออกไป
วิคก้าก็ยื่นกำปั้นออกไปชนกับกำปั้นของเวร่าเบาๆ สองคนมองตากันแล้วก็หัวเราะ
“จริงสิ หาน้ำให้ฉันหน่อย ฉันอยากล้างหน้า เมื่อกี้เลอะสีเต็มหน้าไปหมด”เวร่าพูดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
แม้จะรู้ว่า โดยเนื้อแท้แล้วเจ้านายตัวเองเป็นหญิงสาวรักสวยรักงามมาก แต่วิคก้าก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณผู้หญิง หน้าคุณมีสีตั้งแต่เมื่อไรกัน อย่างมากก็แค่เปื้อนฝุ่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ไม่มีเหรอ?” เวร่าอึ้งไป
เธอลูบหน้าตัวเองอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่ายังรู้สึกหยาบกระด้างไม่สบายตัวเหมือนมีสีติดอยู่ตรงนี้ “หน้าฉันไม่มีสีจริงๆ เหรอ? ฉันหมายถึงสีขาวน่ะ!”
“ไม่มีนะ!”
เวร่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยืนยืดเส้นยืดสาย จู่ๆ เธอก็หรี่ตาลงพลางพูดอย่างมีความสุขว่า “ฮ่า ฉันว่าฉันพอรู้แล้ว ว่าพวกเขาใช้ทริคอะไรขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ออกจากแกลเลอรีได้อย่างไร้ร่องรอย”
“หา? คุณยังคิดเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ?”
วิคก้ามองค้อนใส่เธอทันที