สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 60-1 ‘แอนนา’
ยูริรู้สึกปวดหัวตุบๆ
ส่วนสาเหตุของอาการปวดหัวนั้น เขาคิดว่าคงจะเป็นเพราะเมื่อคืนวานตัวเองดื่มเหล้ามากเกินไป…ดูเหมือนช่วงนี้เขาเอาแต่พึ่งแอลกฮอล์มากขึ้นทุกวัน
เขางัวเงียเอามือนวดขมับตัวเองเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นเหม็นฟุ้งลอยมาเตะจมูก
เขาได้เงินเดือนจากแกลเลอรีน้อยมาก ทั้งส่วนมากยังใช้ไปกับการซื้อสี กระดาษวาดรูปและของอื่นๆ จนแทบไม่เหลือ เขาจึงทำได้แค่เช่าห้องใต้ดินที่ทั้งมืดทั้งอึดอัดแบบนี้อยู่
“สายขนาดนี้แล้วเหรอ?”
ยูริแหงนหน้าขึ้นไปดูนาฬิกาปลุกที่วางไว้บนหัวนอนแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องรีบดีดตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับควานหาเสื้อผ้าจากบนพื้น
เสื้อผ้าวางระเกะระกะบนพื้นเหมือนขยะ…ชีวิตชายโสดก็คงเป็นแบบนี้แหละ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายที่ทั้งโสดและจนแบบเขาเลย
เขาหาเสื้อผ้าที่ดมแล้วเหม็นน้อยที่สุดขึ้นมาสวมแบบขอไปที ก่อนเปิดประตูห้องใต้ดินนี้ออกไปทำงาน
“หนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ กาแฟหนึ่งแก้ว แซนด์วิชหนึ่งชิ้น ทั้งหมดเป็น…”
“นี่”
ยูริเคี้ยวอาหารเช้าพร้อมๆ กับนั่งรถเมล์ไปทำงานที่แกลเลอรีตามปกติ นับเป็นเรื่องโชคดีที่เขาหาที่นั่งในเวลาเร่งด่วนแบบนี้ได้
[…วันนี้ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่หายไปถูกนำไปแขวนใหม่อย่างเป็นทางการ แกลเลอรีก็เปิดตามปกติ]
ยูริพลิกหน้าถัดไปของหนังสือพิมพ์ ก็มองเห็นพาดหัวข่าวแปลกๆ เขาแปลกใจกับเนื้อหาของข่าวนี้ เหมือนเป็นฝันยาวนานตื่นหนึ่ง
วันที่บนหนังสือพิมพ์ก็วันนี้นี่
เขาเผลอกัดริมฝีปากของตัวเอง…อืม รู้สึกเจ็บ คงไม่ได้ฝันไปสินะ
แต่ว่า
ในฐานะที่เขาเป็นพนักงานของแกลเลอรี…แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่คนดูแลทำความสะอาดนอกกำแพงก็ตาม แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ถูกขโมยไปล่ะ?
อีกทั้ง…ยังเกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนอีก?
“ผีหลอกแล้ว!”
ยูริอ่านเนื้อหาบนหนังสือพิมพ์นี้มาตลอดทาง คาดไม่ถึงเลยว่าส.ส.ในเมืองชื่อดังจะขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ออกมาได้
ทางตำรวจคลำจนพบเงื่อนงำ จึงบุกไปค้นเจอภาพวาดที่นั่น แต่ยังไม่มีรายงานวิธีการขโมย
ต่อมาทางฝั่งตำรวจจึงจับกุมตัวส.ส.คนนี้ แต่ระหว่างการส่งตัว ส.ส.ผู้นี้กลับสถานีตำรวจก็มีคนมาชิงตัวไป ในระหว่างที่หลบหนี ผู้กระทำผิดและคนร้ายได้บุกรุกเข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตชานเมือง แล้วเกิดการปะทะกับเจ้าของคฤหาสน์แห่งนั้น
เจ้าของคฤหาสน์ให้เหตุผลป้องกันตัวเอง จึงยิงผู้กระทำความผิดรวมถึงส.ส.เยฟิม รวมทั้งหมดสามคนตายคาที่ ส่วนภาพที่หายไปก็ได้ส่งคืนให้แกลเลอรีไปแล้ว พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวชื่นชมกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการในวันนี้…
“ผีหลอก…”
ยูริรู้สึกว่าเนื้อหาในหนังสือพิมพ์นี้ช่างไร้สาระสิ้นดี…เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ
เขารู้สึกปวดหัวตึบๆ และเริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปจนความทรงจำช่วงหนึ่งในหัวขาดหายไปหรือเปล่า
แต่จะว่าไปก็แปลก ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ก็ไม่น่าลืมได้นี่
เขาบีบขมับครุ่นคิดในใจ
หลังตื่นขึ้นเขายังคงรู้สึกทรมานจากอาการเมาค้างอยู่ตลอด จนมาถึงป้ายรถเมล์แล้วก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร พอยูริลงจากรถเมล์มาแล้ว ก็เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากกว่าเมื่อก่อนยืนรอประตูแกลเลอรีเปิดให้เข้าชม
“ข่าวหนังสือพิมพ์…เป็นเรื่องจริงทั้งหมดเหรอ??”
ยูริพึมพำกับตัวเอง ก่อนมองเวลาถึงแวบหนึ่งก็พบว่าเลยเวลาเข้างานมาแล้ว…ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเรื่องที่มักทำบ่อยๆ เวลาเข้างานไม่ทันแบบนี้ นั่นก็คือมุดเข้าจากท่อน้ำทิ้งตรงถนนด้านนอกแกลเลอรี
ตรงนี้สามารถผ่านเข้าไปถึงจุดหนึ่งในแกลเลอรีได้พอดี แน่นอนว่าทางออกฝั่งนั้นถูกปิดตายไปนานแล้ว แต่ด้วยเขาทำความสะอาดที่นี่มาพอนานสมควรแล้ว จึงพบทางนี้โดยบังเอิญ ดังนั้น…
หลังจากเขาค้นพบทางเส้นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะมาไม่ทันเวลาเข้างาน แต่กลับไม่มีใครจับได้ว่าเขามาสายอยู่เสมอ
เหมือนใกล้จะถึงเวลาเปิดประตูแล้ว
ยังไม่ทันที่ยูริจะเดินไปเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานที่ห้องพนักงาน ก็ถูกนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาชนอัดจนต้องแอบไปหลบอยู่ข้างๆ ก่อน
“ยูริ! นายมาอยู่ตรงนี้อีกแล้วนะ!”
ในตอนนี้เอง ยูริก็ได้ยินเสียงพนักงานคนหนึ่งเรียกชื่อตัวเอง เหมือนจะชื่อว่า…ลืมไปแล้ว ยังไงเขาก็ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างอยู่แล้ว
“เอ่อ…ฉันกำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่นายดูทางนี้สิ” ยูริชี้ไปทางพวกนักท่องเที่ยวแล้วพูดว่า “แบบนี้ฉันก็เข้าไปไม่ได้น่ะสิ แต่ฉันมาทันเวลาจริงๆ นะ นายดูสิฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว”
แต่พนักงานคนนี้กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ฉันไม่สนว่านายมาสายหรือเปล่า หรือถึงแม้นายมาสายฉันก็ไม่สน! นายคงไม่ได้ลืมไปหรอกนะว่าตัวเองถูกไล่ออกไปสักพักหนึ่งแล้ว?!”
“อะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า! นายถูกไล่ออกแล้ว! ยูริ ฉันจะบอกให้นะ ถ้านายเข้ามาอย่างถูกต้องละก็ พวกเราจะไม่สนใจนายหรอก! แต่ถ้าครั้งหน้านายยังปะปนเข้ามาแบบนี้อีก พวกเราจะต้องแจ้งตำรวจมาจัดการแล้ว!” พนักงานคนนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ออกไปเดี๋ยวนี้! อย่าให้ฉันหมดความอดทน”
“ฉันไม่เข้าใจ! ไล่ออกอะไร? ใครไล่ออก? เมื่อวานฉันยังทำงานอยู่แท้ๆ เลย! ทำไมถึงถูกไล่ออก?” ยูริพุ่งเข้ามาถามเขาอย่างเสียไม่ได้
พนักงานก็รีบถอยหลังทำหน้าแหย “เหม็นชะมัด…แกดื่มเหล้าไปเท่าไรกันแน่? ขอร้องล่ะ พอหัวโล่งก็ออกไปได้แล้วนะ!”
“อธิบายมาสิ!”
พอพนักงานคนนี้โบกมือ พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนก็บุกเข้ามาขนาบข้างเขาทันที แล้วลากตัวยูริออกไปจากแกลเลอดื้อๆ
“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!!”
ยูริถูกผลักออกมาหน้าประตูแกลเลอรีอย่างแรง แล้วพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็พูดว่า “ไปซะๆ อย่าให้พวกเราเห็นแกอีก! แกว่าเดือนนี้ครั้งที่เท่าไรแล้ว? ชอบมายืนเนียนอยู่หน้าภาพมีชื่อเสียงพวกนั้น นึกว่าตัวเองเป็นจิตรกรงั้นเหรอ? ใครจะไปดูภาพขยะที่แกวาดกันวะ!”
“แกพูดว่าไงนะ?!”
“แกจะไปไหม? อย่าหาว่าไม่เตือน!”
พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนยืดอกขึ้นพร้อมกัน ยูริชะงักกึก พร้อมกับถ่มน้ำลายอย่างโกรธเคือง “พวกแกไล่คนออกแบบนี้ไม่ได้! ฉันจะไปฟ้องพวกแกที่กรมแรงงานแน่ๆ! รอดูได้เลย! ถุย!”
ยูริสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหมุนตัวจากไปอย่างแค้นเคือง แต่ก็ยังรู้สึกแปลก
สุดท้ายก่อนเดินออกจากแกลเลอรี ยูริยังหันกลับไปมองแกลเลอรีอีกครั้ง ก่อนมองหนังสือพิมพ์ในมือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า
ฉับพลันนั้นเขาก็ขยำหนังสือพิมพ์ให้เป็นก้อน แล้วเขวี้ยงลงไปที่หน้าประตูแกลเลอรีอย่างแรง พร้อมกับตวาดเสียงดัง “ฟังไว้นะ! สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องเอารูปของฉันไปแขวนข้างในนั้น!!”
…
“ยังไหว อืม…อืมงานตอนนี้ยังไหวอยู่ วางใจได้ผมสบายดี แฟนเหรอครับ? ยังไม่ได้คิดเลยครับ อืม ผมรู้แล้วครับแม่”
ไม่ได้ส่งจดหมายให้แม่ที่บ้านเกิดมาสักพักแล้วสินะ?
ยูริยืนอยู่ใต้ตึกเก่าๆ ตึกหนึ่งเพียงลำพัง ฟังแม่พูดจ้ออยู่เงียบๆ “…เอาล่ะ แค่นี้ก่อนนะ ผมจะเริ่มงานแล้ว ผมรักแม่นะครับ”
ยูริยัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าคาดเอว…บอกว่าจะไปฟ้องแกลเลอรีที่กรมแรงงาน แต่ความจริงแล้วเรื่องทำนองนี้เป็นแค่เรื่องเสียเวลาเปล่า
แทนที่จะทำแบบนี้ สู้หางานใหม่ดีกว่า…นี่ยังไม่ได้จ่ายค่าห้องเดือนนี้เลยด้วย