สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 61 ห้องทำงานที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
ณ สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง
เยียร์เกอร์กำลังนั่งสัปหงกบนเก้าอี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้นั่งว่างๆ ไม่มีงานทำ
แต่เป็นเพราะเขาอดหลับอดนอนเขียนรายงานทั้งคืน กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ทัน ก็เลยสวมชุดเมื่อวานทำงานต่อเสียเลย
ทันใดนั้นเองประตูห้องทำงานก็เปิดออก เยียร์เกอร์ตกใจรีบลุกขึ้นยืนทันที แถมยังยืนหลังตรงมากเป็นพิเศษด้วย “คุณวิคเตอร์! ผมไม่ได้แอบอู้งานนะครับ!”
“เอ่อคือ…ฉันไม่ใช่คุณวิคเตอร์ค่ะ”
เยียร์เกอร์อึ้งชะงักไป
เขารีบหันตัวกลับมาก็เห็นตำรวจหญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู จึงหน้าแตกไปทันที
ตำรวจหญิงอมยิ้มน้อยๆ “อืม คุณวิคเตอร์นั่งอยู่ร้านกาแฟข้างล่างค่ะ เขาบอกให้คุณลงไปหน่อย เหมือนเขาจะรอรับใครบางคน หน้าตาจริงจังมากเลย…อืม ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนะคะ”
“แขก?” เยียร์เกอร์ชะงักไป ก่อนออกจากห้องไปด้วยความมึนงง
เยียร์เกอร์รีบวิ่งลงบันไดไปด้วยความเร็ว หลังจากหาร้านกาแฟเจอแล้ว ก็เห็นวิคเตอร์นั่งหันหลังอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน พอเขาเดินเข้าไปหาก็เห็น ‘แขก’ที่ตำรวจหญิงพูดถึงแล้ว
ใบหน้าตามแบบคนตะวันออก ผมสีดำ แล้วยังสวมเสื้อตัวใหญ่สีดำ…อายุประมาณสามสิบปี?
พอเยียร์เกอร์เห็นสายตาของคนคนนี้ ก็ให้เขากดดันอย่างน่าประหลาด
และในตอนนี้เอง วิคเตอร์ก็หันตัวมามองทางเยียร์เกอร์ พลางพูดว่า “อย่ามัวแต่ยืนนิ่ง มานั่งสิ ผมจะแนะนำให้รู้จัก ท่านนี้คือคุณเยี่ยเหยียนที่มาจากลียงประเทศฝรั่งเศส เขามีเรื่องอยากถามคุณหน่อย คุณตอบไปตามจริงก็พอ”
พูดถึงลียง ประเทศฝรั่งเศส…เยียร์เกอร์ก็ฉุกคิดบางอย่างได้ทันที เขามองวิคเตอร์ แล้วก็มองเยี่ยเหยียนอย่างสงสัย “คุณวิคเตอร์ครับ นี่…”
“ยังจำเรื่องจับพ่อค้ายาชาวอิตาลีในมอสโกเมื่อสองปีก่อนได้ไหม?” วิคเตอร์ยิ้มแล้วพูดต่อ “ครั้งนั้นเป็นการร่วมมือทำภารกิจ ผมกับเขารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นน่ะ”
“อ๋อ…” เยียร์เกอร์ค่อยๆ นั่งลงอย่างระวัง แม้ว่าจะอยู่คนละหน่วยงาน แต่โดยพื้นฐานแล้วต่างก็ทำงานกวาดล้างผู้กระทำผิดเหมือนกัน คิดได้ดังนั้น เยียร์เกอร์ก็รีบปรับอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็ว “ไม่ทราบว่าคุณเยี่ยมีเรื่องอะไรจะถามผมเหรอครับ?”
“งั้นผมขอเข้าประเด็นเลยนะครับ” เยี่ยเหยียนยิ้ม…แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดภาษารัสเซีย
คงได้แต่ใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกันนะ
เขาคือเยี่ยเหยียนจริงๆ ด้วย เยี่ยเหยียนบินตรงจากฝรั่งเศสมาถึงมอสโกภายในคืนเดียว เพียงเพราะข่าวบางอย่างของวิคเตอร์ก็ทำให้เขาวู่วามได้ถึงขนาดนี้
“ผมอยากรู้เรื่อง ‘ศพ’ ร่างนั้น” เยี่ยเหยียนทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “รบกวนคุณเยียร์เกอร์ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ เรื่องทั้งหมดเป็นมายังไง คืออย่างนี้นะคุณเยียร์เกอร์ เรื่องนี้สำคัญกับผมมาก และยังสำคัญกับหน่วยงานของพวกเราทางนู้นมากด้วย หวังว่าคุณจะเล่าทั้งหมดโดยละเอียดนะครับ”
เยียร์เกอร์เผลอมองวิคเตอร์แวบหนึ่ง…ถึงตำรวจอาชญากรรมสากลจะดูเป็นอาชีพน่าเกรงขามมาก แต่ก็ไม่มีอำนาจมาขอข้อมูลโดยตรงจากหน่วยงานตำรวจพื้นที่อื่นนี่นา
เยียร์เกอร์กลับเห็นวิคเตอร์ลอบส่งสายตาอนุญาต เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นก็ได้ครับ คุณเยี่ย คุณถามผมมาได้เลย”
“ทำไมศพถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?”
เยียร์เกอร์หวนนึกถึงตอนนั้น แล้วก็ตอบว่า “ผมจำได้ว่า เขาเหมือนจะฉีดยาในเข็มที่พกติดตัวไปที่คอตัวเอง…”
สายตาของเยี่ยเหยียนเป็นประกายทันที “คุณแน่ใจนะ? ฉีดไปแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ครับ” เยียร์เกอร์พยักหน้าพูดว่า “แล้วหลังจากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น เรื่องนี้ผมกล้ายืนยันเลย”
เยี่ยเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย เขาถอนหายใจ แล้วหรี่ตาลง “ในที่สุด…ก็พบเงื่อนงำพวกนั้นบ้างแล้ว”
เยียร์เกอร์ก็ตะลึงจนตาค้างไป
…
หลังจากซักถามเหตุการณ์เดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่น้อยกว่าสิบครั้งแล้ว เยี่ยเหยียนถึงได้ยอมจากไปอย่างพึงพอใจ
บอกว่ายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการอีก
ตอนนี้เหลือเพียงเยียร์เกอร์และวิคเตอร์สองคน
เยียร์เกอร์สงสัยจนอดถามไม่ได้ “คุณวิคเตอร์ครับ…นี่ พวกเราเปิดเผยเรื่องนี้ไปโดยพลการ แบบนี้จะ…”
“ไม่ถือว่าเปิดเผยโดยพลการ” วิคเตอร์พูดเสียงนิ่งเฉย “สิ่งที่เกี่ยวพันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเยอะมาก ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็เล่าไม่หมดหรอก แต่เดี๋ยวต่อไปคุณก็จะค่อยๆ รู้เอง”
“หา?”
จู่ๆ วิคเตอร์ก็ล้วงตั๋วใบหนึ่งออกมาจากเสื้อสูท “นี่เป็นตั๋วเที่ยวบินไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้ แล้วก็ยังมีจดหมายโยกย้ายตำแหน่งของคุณด้วย”
“หา? คุณวิคเตอร์ ผมไม่เข้าใจ”
“ช่วงนี้ทางฝรั่งเศสกำลังหาคนเพิ่ม น่าจะประมาณหนึ่งเดือนก่อนล่ะมั้ง ตอนที่ผมกับเยี่ยเหยียนติดต่อกัน เขาก็ขอให้ผมช่วยแนะนำคนเจ๋งๆ สักคน ตอนนั้นผมเผลอพูดไม่คิด แล้วผมก็แนะนำคุณไปแล้ว”
“คุณ คุณวิคเตอร์!”
“ฟังนะ” วิคเตอร์พูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า “อย่ามาติดแหง็กอยู่กับผมเลย…ตามผมต้อยๆ แบบนี้ไม่ก้าวหน้าหรอก เพราะผมก็ไม่มีหลักแหล่งแน่นอนเหมือนกัน บางทีผมอาจหยุดตรงนี้ หรืออาจเดินเส้นทางนี้ต่อไป แต่ไม่ว่ายังไง คุณไปหาประสบการณ์ข้างนอกหน่อยก็เป็นเรื่องดี แน่นอนว่า คุณจะปฏิเสธก็ได้ ผมจะไม่บังคับคุณ แต่สมมติว่าคุณเลือกอยู่ต่อ ผมจะยื่นเรื่องย้ายคุณไปอยู่ที่กองพิสูจน์หลักฐาน”
นี่ก็เท่ากับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานี…เป็นการลดตำแหน่งกลายๆ เลยก็ว่าได้
“ผม…ผมขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ? ผมคงต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“อย่านานเกินไปล่ะ”
…
…
หลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ยาคอฟก็ได้กลับบ้านเสียที
เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาทันที พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อภรรยา แต่เรียกอยู่นานก็ไม่มีคนขานรับ จนเขาต้องมองไปรอบๆ อย่างอดสงสัยไม่ได้
ในวินาทีที่สายตาเขาเหลียวไปทางด้านหลัง ยาคอฟก็สะดุ้งโหยงทันที “คุณ…คุณเป็นใคร!”
“คุณหัวหน้าภัณฑารักษ์ ก่อนหน้านี้พวกคุณโยนความผิดเรื่องขโมยภาพวาดให้ฉัน ไม่ทันไรก็ลืมว่าฉันเป็นใครซะแล้ว?”
คนในชุดหนังสีดำคนนี้น่าจะเป็นผู้หญิง แต่สวมหน้ากากตัวตลกสีดำ ไม่เห็นหน้าตา
ยาคอฟขมวดคิ้วถามว่า “คุณ…คุณคือ F&C ตัวจริง?”
เขาก้าวถอยหลังไปช้าๆ พร้อมกับระมัดระวังตัว
“ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะอยู่นิ่งๆ…ไม่อย่างนั้นละก็ ฉันก็ไม่รับประกันว่าคนในบ้าน อ้อ ฉันหมายถึงภรรยาของคุณ แล้วก็ลูกๆ ของคุณน่ะ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับพวกเขาบ้าง”
“คุณคิดจะทำอะไร!” ยาคอฟตะลึงงัน ถามขึ้น ทั้งตกใจทั้งโมโห
“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของจริงอยู่ที่ไหน?”
“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ? ส่งคืนแกลเลอรี่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ยาคอฟกระวนกระวายจนเหงื่อแตกพลั่ก
“วันนี้หลังจากเปิดให้เข้าชมอีกครั้ง ฉันก็เข้าไปดูมาแล้ว” ใบหน้าของเวร่าเผยรอยยิ้มเยือกเย็นอยู่ใต้หน้ากากตัวตลก “แต่ฉันใช้เครื่องสแกนแบบพิเศษสแกนดูแล้ว…คุณก็รู้ สีชนิดนั้นของพวกคุณ ถ้าใช้รังสีฉายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ฉันใช้เวลาถึงสองวันเต็มๆ เพื่อทดสอบความเข้มของรังสีชนิดนี้เลยนะ”
“ผม ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร!” ยาคอฟเบือนหน้าหนี
“งั้นเหรอ?” เวร่ายังคงยิ้มเยาะต่อแล้วพูดว่า “งั้นจะให้ฉันลองฉายรังสีกับภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ในแกลเลอรีดูหน่อยไหมล่ะ? ฉันว่าต้องมีเรื่องสนุกๆ แน่เลย อ้อจริงสิ ฉันยังเจอสิ่งที่น่าสนใจในบ้านคุณด้วยนะ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารการใช้งบประมาณซ่อมแซมแกลเลอรี”
“คุณ…” ยาคอฟสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “อย่านะ พวกเรามาคุยกันดีๆ เถอะ คุณต้องการแค่ภาพวาดของจริงนั่นเท่านั้น แต่ผมบอกคุณได้ว่า มันไม่ได้อยู่ในมือผม คือ…คือเยฟิมบังคับผม ผมไม่มีทางเลือก! หลังจากเอาภาพออกมาได้ ผมก็เอาให้เขาไปเลย! เพราะงั้น ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าภาพวาดอยู่ที่ไหนเหมือนกัน! ถึงผมจะคิดว่าภาพวาดในแกลเลอรีอาจจะเป็นของปลอม แต่ผมก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้เหมือนกัน”
จู่ๆ เวร่าก็เดินมาตรงหน้ายาคอฟ พูดด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหูที่ผ่านเครื่องดัดแปลงเสียงว่า “คุณหัวหน้าภัณฑารักษ์ คุณก็รู้ว่าฉันมีชื่อเสียงด้านแย่ๆ ทั้งนั้น…เพราะงั้นฉันจะทำเรื่องอะไรบ้าง ตัวฉันเองก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกัน”
“ผมไม่รู้จริงๆ นะ!”
“งั้นเหรอ? แต่ทำไม…พอภาพวาดของจริงที่คุณพูดถึงตกอยู่ในมือของฉันแล้ว ถึงเป็นแค่ภาพ ‘made-in-china’ ล่ะ?”
“ผม ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร…”
เวร่าขี้เกียจพูดต่อ จึงจับตัวเขากดลงไปบนโต๊ะทันที แล้วล้วงมีดเล่มเล็กมาปักลงบนโต๊ะ เฉียดหน้าของหัวหน้าภัณฑารักษ์คนนี้ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ผมบอก ผมบอกแล้ว!อย่าฆ่าผม! ผมจะบอกทุกอย่างเลย!”
ยาคอฟตกใจมากจนหน้าเสีย เขารีบสารภาพทันทีว่า “ภาพวาด…ภาพวาดยังอยู่กับผมที่นี่! ผม ผมรู้ว่าเยฟิมเป็นคนที่ไม่แตะต้องแกลเลอรีเด็ดขาด และเขาก็จะคิดไม่ถึงว่าผมจะแอบสับเปลี่ยนภาพวาดให้เขา…ผมก็แค่เสี่ยงดูสักครั้งเหมือนกัน ผมติดหนี้มากมาย ได้แต่ลองเสี่ยงดูสักครั้ง คุณก็รู้ ครอบครัวนี้พึ่งรายได้ของผมคนเดียว…”
“ฉันไม่สนเรื่องครอบครัวของคุณ ภาพอยู่ที่ไหน?”
“ห้องหนังสือ…ด้านหลังชั้นหนังสือ”
เวร่านำตัวยาคอฟมาถึงในห้องหนังสือ ให้ยาคอฟผลักชั้นหนังสือออก แล้วก็พบภาพที่ใช้กระดาษน้ำมันห่อเอาไว้จริงๆ
หลังจากถูกเวร่าข่มขู่ ยาคอฟก็ได้แต่ฉีกกระดาษน้ำมันออก แล้วเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาโดยไม่บ่นสักคำ
แต่หลังจากฉีกกระดาษห่อภาพวาดนี้แล้ว ยาคอฟกลับหน้าซีดเผือด “ทำไมเป็นแบบนี้! ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้!”
แล้วเขาก็ทุบทำลายกรอบภาพวาดนี้จนหักต่อหน้าเวร่าทันที!
เวร่าตกใจกับการกระทำของหมอนี่…คงไม่ได้คิดจะทำลายหลักฐานหรอกนะ? แต่กล้าลงมือทำลายภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของจริงเลยเหรอเนี่ย?
แต่ไม่นานนัก เวร่าก็รู้ว่าทำไมยาคอฟถึงได้หน้าเสียแบบนี้
ด้านหลังของภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่เขาบอกว่าสลับมานี้ ก็มีคำว่า ‘made-in-china’ แสดงอยู่เหมือนกัน
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ภาพวาดของผมล่ะ? ภาพวาดของผมล่ะ!ภาพวาดของผมล่ะ?!! ใครขโมยภาพวาดของผมไป!!!” ยาคอฟอาละวาดพลิกตู้ในห้องหนังสือคว่ำอย่างบ้าคลั่ง
เวร่ามองอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้ว่าหมอนี่คงถูกเล่นงานด้วยเหมือนกัน…งั้นภาพของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่?
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”
คุณหนูใหญ่เวร่าทำหน้าเซ็งหมุนตัวจากไปทางหน้าต่างอย่างจนใจสุดๆ จึงได้เห็นภรรยาและลูกๆ ของยาคอฟขับรถกลับบ้านมาพอดี เธอจึงเผลอหลุดยิ้มเยาะ “ขนาดคนในครอบครัวตัวเองไปร่วมงานปาร์ตี้กันก็ยังไม่รู้เลย ยังกล้าพูดว่าทำเพื่อครอบครัวได้เต็มปาก แหวะ”
โทรศัพท์ของเวร่าดังขึ้นในตอนนี้เอง
“ลูกพี่เวร่า เจอข้อมูลของเจ้ามนุษย์หมาป่าที่คุณช่วยไว้ในคฤหาสน์แล้วนะ…ชื่อเยียร์เกอร์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนในมอสโก แต่ผมเช็กแล้ว เหมือนเขาจะซื้อตั๋วบินไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้แล้วครับ”
“ฝรั่งเศส?” เวร่าอึ้งไป หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดทันทีว่า “วิคก้า ช่วงนี้นายทำงานหนักเลยนะ พวกเราไปฝรั่งเศสกันเถอะ”
“…คุณแน่ใจเหรอว่าไปเที่ยวพักผ่อน??!!!”
“ได้ยินว่าหนุ่มๆ ฝรั่งเศสหล่อทั้งนั้นเลยนะ”
“…เที่ยวบินบ่ายสามโมงโอเคไหมครับ?”
…
…
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เสียงดังขึ้นตรงหน้าประตูสำนักงานรองบรรณาธิการนิตยสารซุบซิบที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองนี้
พอเริ่นจื่อหลิงได้ยินเสียงเคาะประตู ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาจากหมอนอิงที่หนุนอยู่ เช็ดน้ำลายที่มุมปากเล็กน้อย ก็เห็นหลีจื่อเดินเข้ามา จึงมองตาค้อน “เธอนี่เอง ฉันก็นึกว่าเป็นยัยบรรณาธิการเต่าซกมกล้านปีนั่นซะอีก”
หลีจื่อเดินเข้ามาด้วยท่าทางลำบากมาก
ทำไมถึงบอกว่าลำบากมากน่ะเหรอ?
ก็ที่นี่ยังกับสุสานรกๆ แถมยังมีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต่างๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วน่ะสิ
หลีจื่อมองดูโต๊ะทำงานรกสกปรกอย่างที่สุด ก่อนถอนหายใจพูดว่า “พี่เริ่น ทำไมลั่วชิวไม่อยู่หลายสัปดาห์มานี้ ชีวิตของพี่ถึงเหมือนตกอยู่ในนรกเลยล่ะ ทำโอทีทุกวันไม่ยอมกลับบ้าน แถมยังมาหลับตรงนี้อีก?”
เริ่นจื่อหลิงหาว “ที่บ้านฉันมีชุดที่ใส่ห้าวันยังไม่ได้ซัก เธอจะช่วยฉันซักไหมล่ะ?”
“ขอลาค่ะ!” หลีจื่อรีบบีบจมูกพลางโบกมือไปมา
เริ่นจื่อหลิงยื่นนิ้วกลางให้หลีจื่อ ก่อนยืดเส้นยืดสาย แล้วถามอย่างไม่สบอารมณ์ “มีธุระอะไร บอกมา!ไม่มีธุระก็ออกไป! ฉันจะนอนต่อ!บรรณาธิการมาก็บอกฉันล่วงหน้าด้วยล่ะ!”
“พี่เริ่น มีพัสดุด่วนถึงพี่แน่ะ!”
“พัสดุด่วน?”
“จริงด้วย” หลีจื่อพยักหน้าเล็กน้อย “ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดมั้งคะ? พัสดุด่วนจากต่างประเทศ ส่งมาจากมอสโก…น่าจะเป็นของขวัญที่ลั่วชิวส่งมานะ!”
“บ้าเอ๊ย…ส่งภาพวาดอะไรมาให้ฉันเนี่ย? กินไม่ได้สักหน่อย!”
“งั้น…งั้นฉันทิ้งมันไปเลยนะ?”
“ฉันจับเธอโยนทิ้งไปก่อนแล้วกัน!!”
…
เริ่นจื่อหลิงฉีกห่อพัสดุออก พบว่าเป็นภาพวาดสีน้ำมันภาพหนึ่ง
รองบรรณาธิการเริ่นดื่มกาแฟจนสดชื่นแล้วก็บิดคอคลายเส้น หลายวันมานี้เธอนอนอยู่ในสำนักงานตลอดจนปวดเมื่อยไปหมด…นอนที่บ้านทุกวันตื่นมาก็จะสดชื่นกระฉับกระเฉง ยังไงเตียงที่บ้านก็นอนสบายที่สุด!
เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วมองภาพวาดสีน้ำมันโดยละเอียด แต่ก็ดูอะไรไม่ออก จึงถือภาพวาดสีน้ำมันไปวางชิดผนังห้องทำงานด้านหนึ่ง
“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ? ชื่อแปลกอะไรแบบนี้นะ!”
เพียงพอลองคิดๆ ดูแล้วแกลเลอรีวิจิตรศิลป์ก็คงมีภาพแบบนี้ล่ะมั้ง?
แต่ตอนที่เธอมองห้องทำงานรกเหมือนกองขยะนี้ ก็รู้สึกว่าภาพวาดสีน้ำมันภาพนี้ไม่ได้ช่วยยกระดับห้องนี้เลยสักนิด
“พอดูดีๆ แล้ว นี่ก็แค่สินค้าพิเศษของสวนสนุกเท่านั้นไม่ใช่เหรอ จะไปมีราคาที่ไหนกัน?” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าพูดว่า “อาจจะ ‘made-in-china’ ก็ได้นี่!”