สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 11 'คืนชีพ'
หลังจากหม่าโฮ่วเต๋อกดกริ่งประตูไม่นาน กู้เฟิงก็มาเปิดประตูต้อนรับ
กู้เฟิงคิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นนายตำรวจหม่า “นายตำรวจหม่า นี่คุณ?”
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากถามอะไรสักหน่อย สะดวกไหมครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มถาม
กู้เฟิงพยักหน้าให้หม่าโฮ่วเต๋อเดินเข้ามา พอพวกเขาเพิ่งนั่งลง กู้เฟิงก็พูดขึ้นว่า “ภรรยาผมเพิ่งหลับไป พวกเราคุยกันเสียงเบาหน่อยนะครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “ภรรยาของคุณเป็นยังไงบ้างครับ?”
กู้เฟิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “จะเป็นยังไงได้ล่ะครับ? หลายวันมานี้ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ตอนนี้ร่างกายเริ่มล้าแล้วถึงได้หลับไป”
“อย่าเศร้าไปเลยครับ”
กู้เฟิงบีบหว่างคิ้ว สีหน้าก็ดูเหนื่อยอ่อน “นายตำรวจหม่า คุณบอกมีเรื่องจะถามผม เรื่องอะไรกันแน่ครับ? อีกอย่าง ผมจะไปรับศพลูกชายคืนได้เมื่อไรครับ?”
ทว่าหม่าโฮ่วเต๋อกลับพูดว่า “ดูท่าคุณกู้เฟิงรีบร้อนอยากจะรับศพกู้จยาเจี๋ยกลับมานะครับ?”
กู้เฟิงอึ้ง ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “นายตำรวจหม่า ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร ยังไงผมก็ปล่อยให้ลูกชายผมนอนหนาวอยู่ในที่แบบนั้นไม่ได้หรอก”
“รายงานของนิติเวชออกมาแล้วนะครับ” หม่าโฮ่วเต๋อพูดเนิบนาบ “พอมารวมกับร่องรอยที่พวกเราเก็บได้จากดาดฟ้าตึกของพวกคุณแล้ว ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า ลูกชายของคุณฆ่าตัวตายครับ”
กู้เฟิงถอนหายใจ นิ่งเงียบไม่พูดจา
ทว่าหม่าโฮ่วเต๋อกลับพูดอีกว่า “แต่…พวกเราพบบาดแผลบนตัวลูกชายคุณเต็มไปหมด มีบางจุดเป็นแผลถลอก ทั้งแผลเก่าแผลใหม่ แล้วยังมีรอยแผลจากอาวุธด้วย ไม่ทราบว่าคุณกู้รู้อะไรบ้างหรือเปล่าครับ?”
กู้เฟิงชะงักไป พูดด้วยหน้าตาประหลาดใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ? ทำไมลูกชายผมถึงมีรอยบาดแผลบนตัวได้?”
“ผมถึงลองแวะมาถามคุณไงครับ คุณกู้” หม่าโฮ่วเต๋อถามต่อเสียงเรียบเฉย “หรือว่าผู้ปกครองอย่างพวกคุณจะไม่รู้ไม่เห็นเลยสักนิด?”
กู้เฟิงส่ายหน้า “ผมไม่รู้จริงๆ ครับ บางทีเขาอาจจะไปต่อยตีกับคนข้างนอกแล้วไม่กล้าบอกพวกเรามั้งครับ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…คิดดูแล้ว ลูกชายคนนี้มีเรื่องปิดบังพวกเราเยอะจริงๆ ทำไมเขาถึงฆ่าตัวตายล่ะ? บางทีที่ผ่านมา…พวกเราคงไม่เคยเข้าใจเขาเลย”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดเสียงเรียบเฉยว่า “ลูกชายเพิ่งจะตายไป แต่คุณกู้ดูใจเย็นจังนะครับ คุณเข้มแข็งจริงๆ”
กู้เฟิงถอนหายใจ “ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ตอนนี้ภรรยาผมก็เป็นแบบนี้ ถ้าผมเอาแต่หมดอาลัยตายอยาก ครอบครัวนี้ก็คงพังไปแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อกลับยิ้มเยาะแล้วถามอีกว่า “งั้นเหรอ…ไม่ใช่ว่าคุณกู้ยังมีอีกครอบครัวเหรอครับ?”
กู้เฟิงอึ้ง พูดเสียงแข็งทันที “นายตำรวจหม่า คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
เดิมหม่าโฮ่วเต๋อคิดจะทำเสียงเยาะเย้ย แต่พอคิดได้ว่าในบ้านยังมีผู้เป็นแม่ที่เศร้าเสียใจนอนหลับอยู่คนหนึ่ง จึงลดเสียงเบาลงพูดว่า “คุณยังมีอีกครอบครัวหนึ่งข้างนอก ก็คือชู้นั่นแหละครับ แถมเพิ่งมีลูกชายให้คุณคนหนึ่งเสียด้วย ยังไม่สามขวบดีเลย…ไม่ใช่เหรอครับ?”
“คุณ…” กู้เฟิงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “พวกคุณ…”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดขัด “คุณกู้ครับ เดี๋ยวนี้ข้อมูลพลเมืองเพียบพร้อมมากนะครับ พวกเราอยากรู้อะไรก็ใช้เวลาไม่นาน คุณเป็นคนกรอกชื่อรับรองฐานะบุตรของลูกชายคนนั้นเอง เรื่องพวกนี้ค้นหาในฐานข้อมูลของพวกเราได้สบายเลยครับ”
“บะ เบาๆ หน่อย ภรรยาผมไม่รู้เรื่องนี้” กู้เฟิงสีหน้าเคร่งเครียด มองไปที่ประตูห้องอย่างหวาดผวาเล็กน้อย “นายตำรวจหม่า ถึงแม้ว่าผมจะมีผู้หญิงอื่นข้างนอก แล้วยังไงล่ะ พวกเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน น่าจะเข้าใจนะครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “กู้จยาเจี๋ยก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณนี่ครับ เขาเป็นแค่ลูกติดภรรยาคนปัจจุบันของคุณ หลายปีมานี้ เธอไม่เคยมีลูกให้คุณเลยสักคน คุณก็เลยหาผู้หญิงอื่นข้างนอกแทน ใช่หรือเปล่าครับ?”
“นายตำรวจหม่า!” กู้เฟิงเริ่มมีโทสะ พูดเสียงเข้มว่า “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของผม หรือว่าต้องให้ตำรวจอย่างพวกคุณมายุ่งด้วย?”
“ทำไมครับ เห็นว่าเป็นคดีทางแพ่ง ตำรวจเลยยุ่งไม่ได้สินะครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อพูดต่อเสียงเรียบเฉยว่า “แล้วถ้านี่ไม่ใช่คดีทางแพ่ง…แต่เป็นคดีอาญาล่ะครับ?”
“คุณพูดเรื่องอะไร” กู้เฟิงแค่นเสียงพูด
ตอนนี้เองหม่าโฮ่วเต๋อก็พูดเสียงเข้ม “คุณกู้เฟิง ตอนนี้ผมสงสัยว่าคุณอาจมีพฤติกรรมชอบทุบตีกู้จยาเจี๋ย จนสภาพจิตใจของเขาแปรปรวน แล้วนำไปสู่การฆ่าตัวตาย จึงอยากขอความร่วมมือกลับไปให้การกับพวกเราด้วยครับ”
“คุณ…” กู้เฟิงลุกพรวด แล้วพูดตะโกนเสียงดัง “พวกคุณใส่ร้ายผม!”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณกู้เฟิงครับ ปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีทันสมัยมาร่วมกับการพิสูจน์หลักฐานด้วยนะครับ ขอเพียงเราหามีดที่ลักษณะตรงกับบาดแผลของศพเจอที่นี่ พวกเราก็มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าที่นี่มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว แน่นอนว่าผมได้หมายค้นมาแล้วด้วยครับ”
“อย่า…” กู้เฟิงเริ่มลนลาน “นายตำรวจหม่า…พวกคุณ พวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ผมแค่อยากฟังความจริง…” หม่าโฮ่วเต๋อจ้องอีกฝ่าย เขาสอบสวนผู้กระทำความผิดมาจนชินแล้ว จึงมีท่าทางราวกับพระโพธิสัตว์อจละนาถ*ก็มิปาน “ขอความจริงทั้งหมด”
กู้เฟิงตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก เขาก้มหน้า “ผม…ผมยอมรับ ผมเคยตีเขาจริงๆ แต่ แต่ว่าผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะฆ่าตัวตาย! พวกคุณคงไม่ได้สงสัยผมหรอกนะ?”
“ลองเล่ามาสิครับ ทำไมคุณต้องตีเขา?”
กู้เฟิงถอนหายใจแล้วเริ่มเล่าว่า “นายตำรวจหม่า คุณก็รู้นี่ว่า เขาไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของผม บางครั้งผมก็เจอแรงกดดันในที่ทำงานจนเผลอลงไม้ลงมือกับเขาไปบ้าง แต่ผมรับประกันว่า ผมยั้งมือนะครับ ถึงตีก็แค่เบาๆ ไม่กี่ที แป๊บเดียวก็หยุดแล้ว…ผมก็สำนึกผิดเหมือนกัน เลยซื้อของให้เขาหลายอย่าง”
“เบาๆ? ใช้มีดฟัน นี่ยังเรียกว่าเบาอีกเหรอครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มเยาะไม่หยุด
กู้เฟิงตกใจกลัวพูดว่า “ครั้งนั้นเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น ก็ผมคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะตอบโต้ผม พอผมโกรธถึงได้…แต่ยังดีที่เป็นแค่แผลเล็กๆ…”
“ยังดีที่เป็นแผลเล็กๆ?” หม่าโฮ่วเต๋อพูดด้วยโกรธขึ้ง “คุณใช้มีดกับเด็กเลยนะ! คุณยังกล้าบอกว่าแค่แผลเล็กๆ อีกเหรอ? หรือว่าพอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณก็ไม่ใช่ลูกชายของคุณแล้ว? คุณมันไอ้กากเดนสังคม!”
“นายตำรวจหม่า ที่คุณพูดเมื่อครู่ ผมแจ้งความคุณได้นะ” กู้เฟิงหรี่ตาลง
“เชิญแจ้งความตามสบายเลย” หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะเยาะ “ยังไงทุกวันนี้ผมก็มีคำร้องเรียนเต็มโต๊ะอยู่แล้ว คุณกู้เฟิง ในเมื่อคุณยอมรับแล้วว่าชอบทุบตีลูกชายตัวเอง งั้นรบกวนคุณกลับไปกับผมเดี๋ยวนี้เลย! ด้วยข้อหาใช้ความรุนแรงในครอบครัวมานาน จนเป็นเหตุให้ลูกชายของคุณฆ่าตัวตาย”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแก้วแตกดังเพล้ง…พอหันกลับไป ก็เห็นเฉินเหมยห่วนยืนนิ่งอยู่ตรงประตูห้องราวกับรูปปั้น ไม่รู้ว่าตื่นมาตั้งแต่เมื่อไร
“เหมย เหมยห่วน …” กู้เฟิงตกใจอย่างยิ่ง
แล้วเฉินเหมยห่วนก็ถามอย่างลังเลว่า “ที่…ที่พวกคุณ พวกคุณพูดเมื่อกี้เป็นความจริงเหรอ?”
กู้เฟิงรีบปฏิเสธทันควัน “เหมยห่วน คุณฟังผมนะ! เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด! คุณอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของตำรวจคนนี้นะ!”
“ฉันได้ยินหมดแล้ว…” เฉินเหมยห่วนพุ่งเข้ามาทางเขาทันที “ฉันได้ยินหมดแล้ว! แก ไอ้สารเลว!! แกทำอะไรลูกชายฉัน!! แกไอ้สัตว์นรก!! ไอ้เดรัจฉาน!! แกคืนลูกชายฉันมานะ!! แกต้องชดใช้ให้ลูกชายฉัน!! ไอ้เดรัจฉาน!! ไอ้ชาติชั่ว!!”
กู้เฟิงเห็นเฉินเหมยห่วนเอาแต่ทุบตีตนเองไม่หยุด จึงผลักเธอออกไปทันที เขาสูดเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป พอเห็นว่าแขนตัวเองมีรอยเล็บข่วน ก็พูดอย่างดุดันว่า “นี่คุณบ้าไปแล้วหรือไง! ผมแค่ตีเขาแล้วจะทำไม? หรือว่าผมเป็นพ่อของเขาแล้วจะตีเขาไม่ได้เหรอ? หลายปีมานี้ ใครเลี้ยงดูพวกคุณกัน! พวกคุณต้องการอะไร ผมก็หาให้! งานของคุณ ผมก็เป็นคนหาให้! ถ้าไม่ใช่เพราะผม คุณคงได้แต่ทำนาในชนบทเท่านั้นแหละ! แต่หลายปีมานี้คุณก็ยังมีลูกให้ผมไม่ได้สักคน! คุณเคยทำหน้าที่ของภรรยาบ้างไหม?!”
หม่าโฮ่วเต๋อไม่อยากดูเรื่องทะเลาะในครอบครัวต่อ จึงยื่นมือไปคว้าแขนกู้เฟิงไว้ แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “คุณกู้ รบกวนคุณไปกับผมด้วยครับ”
“ไม่ต้องมาดึงผม!” กู้เฟิงมองอย่างโกรธเคืองครู่หนึ่ง “หึ ผมเดินเองได้! ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นจริงๆ!”
…
…
หลังจากผ่านมานาน เฉินเหมยห่วนถึงได้เริ่มขยับตัวเล็กน้อย เธอไม่รู้ตัวเลยว่ากู้เฟิงถูกนำตัวไปตั้งแต่เมื่อไร เธอได้แต่นั่งเหม่อลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกประตู จึงรีบพุ่งไปเปิดประตูทันที “จยาเจี๋ย ลูกกลับมา…”
ที่หน้าประตูมีใครที่ไหนกัน?
“จยาเจี๋ย ลูกอยู่ที่ไหน…ลูกหายไปไหน!”
เฉินเหมยห่วนเดินออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก เธอเดินลงมาข้างล่างตึก กำลังมองดูเมืองเล็กๆ ด้วยคิดอยู่ตลอดว่าลูกชายของตนคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง แค่ยังไม่กลับมาเท่านั้น
เฉินเหมยห่วนเดินเท้าเปล่าออกจากที่พัก แล้วเดินไปบนถนนเพียงลำพัง
เธอเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เข้าไปในสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง…เป็นสถานที่ที่ทั้งเงียบสงบ ทั้งมืดมิด และหนาวเย็น จากนั้นคนสวมหน้ากากตัวตลกคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับ
“คุณลูกค้าครับ คุณต้องการอะไรหรือเปล่าครับ? ผมบันดาลให้ได้ทุกอย่างเลยครับ”
เฉินเหมยห่วนเหม่อลอยเป็นพักๆ แล้วก็เผลอพูดไปตามความรู้สึกว่า “ลูกชาย…คืนลูกชายฉันมา…คืนมาให้ฉัน…”
“คุณลูกค้าครับ คืนชีพคนตายต้องจ่ายสูงลิ่ว คุณต้องการแบบนี้จริงๆ หรือครับ?” แล้วคนนั้นก็พูดต่อ “อีกอย่าง ดูจากสิ่งที่คุณพอจะจ่ายได้…ถึงคืนชีพให้ลูกชายได้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นลูกชายที่คุณรู้จักนะครับ”
“ฉันไม่สน! ฉันให้ได้หมด! ขอเพียงลูกชายฉันกลับมา! ขอแค่ให้เขากลับมาก็พอ!”
“ได้ตามที่คุณปรารถนาครับ” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ
…
…
“จยาเจี๋ย! จยาเจี๋ย!”
ฉับพลันนั้นเฉินเหมยห่วนก็สะดุ้งตื่น
ตอนนี้เธอยังอยู่ในห้องรับแขก…ราวกับว่าเมื่อกี้แค่ฝันไป
เฉินเหมยห่วนหัวเราะเจื่อน บางทีเธอคงคิดถึงมากจนเก็บไปฝันเสียแล้ว
เธอเดินเข้าไปในห้องนอนของลูกชายตนเองอีกครั้ง เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างไร แล้วน้ำตาก็ไหลพรากไม่หยุด
แต่วินาทีที่เปิดประตูห้องของลูกชาย เธอกลับอึ้งจนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
ลูกชายกลับมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังนั่งนิ่งอยู่บนขอบเตียง…ใช่ เขานั่งอยู่ตรงนี้!
แถมยังกะพริบตาได้ด้วย!
คน…คนเป็นๆ
“นี่เป็น…ความจริง!”
เฉินเหมยห่วนพุ่งมาคว้าตัวลูกชายเข้าไปกอดแน่น แต่เธอกลับพบว่าตัวเขาเย็นเฉียบ
เขาพูดไม่ได้
*พระโพธิสัตว์อจละนาถ* เป็นวิทยราชองค์หนึ่งในศาสนาพุทธฝ่ายวัชรยาน หรือนิกายชินงนของศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น ทรงเป็นปางสำแดงของพระพุทธเจ้าไวโรจนะและคอยถ่ายทอดคำสอน แม้จะมีใบหน้าดุร้ายแสดงความโกรธเกรี้ยวต่อความชั่วร้าย แต่เปี่ยมด้วยเมตตา ทรงถือบ่วงบาศเพื่อคล้องจับกิเลส และใช้ดาบในอีกพระหัตถ์หนึ่งสำหรับตัดทำลายภาพลวงตาและอวิชชา ส่วนเปลวไฟด้านหลังเป็นสิ่งที่คอยเผาผลาญความชั่วร้าย