สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 13 หน้าด้านไร้ยางอาย
หลังจากลั่วชิวรับข้อมูลลูกค้าของภูตดำหมายเลขสิบแปดมาแล้ว ก็วางไว้บนโต๊ะก่อน
ภูตดำหมายเลขสิบแปด รอคำสั่งอยู่เงียบๆ แบบนี้โดยไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเลย เธอยังไม่มีแผลจะทำอะไร ตราบใดที่ยังไม่รู้จุดประสงค์ของนายท่านคนใหม่
ถึงจะบอกว่าลูกน้องในสมาคมทุกคนจะจริงใจกับเจ้าของร้านมากเหมือนกัน แต่ทูตภูตดำกับคุณสาวใช้ต่างก็มีวิธีการจงรักภักดีต่างกัน
จะให้พูดแบบจริงจังละก็ …ในสมาคมไม่เคยกำหนดเรื่องนี้เอาไว้อย่างเป็นทางการ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นที่รู้กันว่าเจ้าของสมาคมมีอำนาจที่สุด แต่ผู้น้อย…เรื่องนี้พูดยาก
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?” ลั่วชิวเอ่ยถามเสียงเบา
“ไม่ ไม่มีแล้วค่ะ” ภูตดำหมายเลขสิบแปดตอบโดยพลัน จากนั้นก็มองนายท่านคนใหม่ผู้นี้ด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย “แต่ว่านายท่าน ตอนนี้ข้าน้อยควร …”
“วางข้อมูลไว้ตรงนี้ก็พอแล้ว” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยชา “ไว้ฉันจะเรียกใช้เธอเมื่อถึงเวลา ส่วนโยวเย่จะจดผลงานของเธอเอาไว้ อืม…”
เขาสังเกตภูตดำหมายเลขสิบแปดตนนี้แวบหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “เธออยากกลับไปเขตที่ดูแลเลยก็ได้ หรือถ้าอยากพักผ่อนก่อน ก็เดินเล่นได้ตามใจชอบ”
“นี่…” ภูตดำหมายเลขสิบแปดไม่เข้าใจนายท่านคนใหม่เลยจริงๆ …นี่ไม่ได้สบายเกินไปหน่อยหรือ?
“นายท่านหมายความว่าทำตัวตามสบาย” แล้วคุณสาวใช้ก็พูดเนิบๆ “ภูตดำหมายเลขสิบแปด หรือว่าหลายปีขนาดนี้ยังลืมสิทธิ์ที่สมาคมมอบให้เธอ?”
“ข้าน้อยไม่ได้หมายความแบบนี้” ภูตดำหมายเลขสิบแปดรีบก้มหัว เธอกำลังพินิจพิเคราะห์หาคำพูดที่เหมาะสม “เช่นนั้น ข้าน้อยขอไปเดินเที่ยวแถวนี้ก่อน ข้าน้อยไม่กล้าทำตัวตามสบาย จะต้องจำสถานะของตัวเองไว้ตลอดเวลา หากมีลูกค้าที่เหมาะสม ข้าน้อยจะต้องนำข้อมูลมาส่งทันที”
พูดจบภูตดำหมายเลขสิบแปดจึงค่อยๆ ถอยหลังไป โดยที่ใบหน้ายังจ้องตรงไปที่เจ้าของ จนกระทั่งไกลไปเรื่อยๆ จนพ้นจากประตูสมาคม ถึงได้หันตัวจากออกไปในที่สุด
ลั่วชิวเห็นภาพนี้ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากถาม “โยวเย่ ทูตภูตดำที่เหลือเป็นแบบนี้กันหมดเหรอ?”
“ก่อนที่ภูตดำหมายเลขสิบแปดจะกลายร่าง เธอเป็นแม่มดในยุคกลางค่ะ ”คุณสาวใช้รู้ว่านายท่านของตนสงสัยอะไร ด้วยเหตุนี้จึงพูดคลายความสงสัยเบาๆ ว่า “ก็เลยรักษาความเคยชินบางอย่างเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ”
ลั่วชิวยิ้ม เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แบบนี้…ถ้าฉันอยู่ในยุคกลาง คงเป็นกษัตริย์ประเภทไม่เอาไหนมากที่สุดเลยสินะ”
“ฉันเคยได้ยินเจ้าของร้านคนก่อนบอกว่า เขาใช้เวลาถึงร้อยปีกว่าจะเปิดประตูมิติได้นะคะ” แล้วคุณสาวใช้ก็พูดต่ออย่างเฉยเมย “แต่นายท่านใช้เวลาแค่ไม่ถึงห้าเดือนเท่านั้น”
“น่าจะ…โชคเข้าข้างล่ะมั้ง” ลั่วชิวส่ายหัวเล็กน้อย เขาถือโอกาสหยิบข้อมูลลูกค้าบนโต๊ะขึ้นมา แล้วจึงเดินขึ้นบันไดไป
คุณสาวใช้กลับไปทำงานประจำของตัวเอง ส่วนฉินชูอวี่ยังคงนั่งเข้าฌาณ ไม่พูดไม่จา ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก
“ข้าล่ะ!! ข้าล่ะ!! ไม่มีใครคิดจะปล่อยข้าลงเลยหรือ?”
อ้อ จริงสิ นอกจากนี้ยังมีไท่อินจื่อที่พยายามดิ้นสุดแรง ด้วยหวังว่าจะมีใครตอบรับคำขอร้องของเขาได้อยู่ตรงนี้ด้วย
…
…
สรุป…ตัวเองก็ยังต้องไป
ตัวเองให้ท้ายไอ้คนชั่วกลุ่มนี้มากเกินไปหรือเปล่า? หม่าโฮ่วเต๋อเหล่ตาจ้องประกาศรับสมัครของสถาบันสอนพิเศษเฉาหยางอันใหญ่เหนือหัว เขาทิ้งบุหรี่ที่คาบเอาไว้ลงไปบนพื้นแล้วเหยียบให้ดับแบบไม่ลังเล จากนั้นจึงสูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกับเดินขึ้นไปบนตึกสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ ด้วยท่าทางทอดถอนใจคล้ายไม่อยากทำก็ต้องจำยอม
เซอร์หม่าใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่และหมวกเป็นสีกากีเข้าชุด ขณะกำลังเรียนแบบท่าทางของน้องชายที่แสนดีคนหนึ่ง
“ที่นี่มีคลาสติวให้ผู้ใหญ่ใช่ไหมครับ? ผม…” หม่าโฮ่วเต๋อมองข้างหลังแวบหนึ่งแบบลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงด้านหน้าเคาน์เตอร์ แล้วถึงได้หันหน้ามาพูดว่า “…เห็นจากป้ายโฆษณาข้างล่างตึกมาครับ”
“คุณผู้ชาย คุณคือ …” พนักงานต้อนรับมองคุณลุงคนนี้อย่างประหลาดใจเล็กน้อย เหมือนเธอนึกอะไรออก จึงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “คุณคิดจะมาสมัครคลาสผู้ใหญ่ใช่ไหมคะ?”
“ชู่ว์! เบาเสียงหน่อย” หม่าโฮ่วเต๋อทำมือบอกให้เงียบ
“ความจริงคุณทำตัวตามสบายหน่อยจะดีกว่านะคะ” พนักงานต้อนรับยังคงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ค่ะ ถึงคุณอายุขนาดนี้ก็ยังพยายามสอบเข้า! ฉันเริ่มจะนับถือคุณแล้ว! คุณจะต้องเป็นคนเก่งมากแน่นอน!”
“จริง จริงเหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อกระแอมกระไอ เขารู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้ช่างพูดจริงๆ จึงแขม่วพุงพลุ้ยที่มีมานานหลายปี แล้วยืดกล้ามเนื้อหน้าอกที่ไม่ได้มีมานานแล้ว “อืม หลายคนก็พูดกับผมแบบนี้แหละ”
“แน่นอนค่ะ!”
สาวพนักงานต้อนรับคารมคมคาย หลังจากนั้นนายตำรวจเซอร์หม่าก็จ่ายค่าเรียนไปอย่างมึนงง พอได้สติอีกทีก็มานั่งอยู่ในห้องเรียนห้องหนึ่งของสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้แล้ว
น่าประหลาด…
หม่าโฮ่วเต๋อมองคนที่นั่งด้านหน้าและซ้ายขวาสองด้าน บางคนก็อายุยี่สิบกว่า บางคนก็อายุสามสิบกว่า …แต่ก็มองเห็นคนที่อายุไล่เลี่ยกับเขาจริงๆ
เซอร์หม่าถือโอกาสเปิดหนังสือที่ได้มา ยังไม่ถึงสามนาทีก็ปิดไป…มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังอ่านอะไรกันแน่?
X คืออะไร? แล้ว Y ล่ะ? Z ก็ด้วย?
ขณะที่เซอร์หม่าทำหน้าสับสนฟังชายสูงวัยบนแท่นยกระดับพูดถึงตัวหนังสือที่เขียนและจำยากอยู่นั้น เขาก็รู้สึกว่าด้านหลังถูกจิ้มเบาๆ
“ใครน่ะ?”
หม่าโฮ่วเต๋อที่เสียงแหบพร่ารีบหันหน้าไปอย่างหมดความอดทน แต่แล้วก็ได้เห็นผู้หญิงสวมแว่นกันแดดและผ้าโพกหัวคนหนึ่ง จึงถามอย่างตกตะลึงว่า “คุณคือ…”
อีกฝ่ายลดแว่นดำของตัวเองลงเล็กน้อย อีกทั้งยังยักคิ้วหลิ่วตามาทางเขา
นายตำรวจหม่าเซอร์หม่าตกใจจนเกือบจะลุกพรวดขึ้นมา แม้แต่หนังสือก็เกือบหล่นพื้นเช่นกัน “พี่สะ…สะใภ้…”
แต่ในตอนนี้เอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังกลับเอามือปิดปากเขาเอาไว้ เธอทำท่าจุ๊ปาก แล้วลดเสียงพูดให้ต่ำลง “กับผีสิ! เสียงเบาหน่อย!”
หม่าโฮ่วเต๋อเบิกตาโพลง แล้วพยักหน้า อีกฝ่ายถึงได้ปล่อยมือ ‘แปลกจริง ทำไมเริ่นจื่อหลิงมาอยู่ที่นี่ได้?’
เขามองกลับไปดูชายสูงวัยบนเวทีแวบหนึ่ง แล้วตอนนี้ถึงได้นั่งยืดตัวพิงไปข้างหลัง ก่อนยกหนังสือแบบเรียนขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาไว้ “คุณมาตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมผมไม่รู้?”
“ฉันมาตั้งแต่เมื่อไร? มาก่อนนายแล้วกัน แต่ที่นายมองไม่เห็นคงเป็นเพราะตาแก่บางคนมัวแต่หลงระเริงกับคำเยินยอของพนักงานสาวน่ะสิ ใช่ไหม?”
“ผม…ผมกำลังสังเกตการณ์ต่างหาก! สืบสวนน่ะ! เข้าใจไหม! อย่าพูดเหลวไหล…เดี๋ยวนะ สรุปคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“แล้วนายมาที่นี่ทำไมล่ะ?”
“พูดมาตรงๆ เถอะ…พี่สะใภ้ คุณสืบเจออะไรแล้วใช่ไหม?”
หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจ คนที่นั่งหลังเขาเป็นใคร? นั่นคือคนที่เลื่องชื่อว่าเป็นเนื้อร้ายของตำรวจ หรือก็คือพี่สะใภ้ของเขาเอง เขาคิดไม่ถึงว่าเริ่นจื่อหลิงจะมาอยู่ที่นี่ได้ แต่พอลองคิดดู ก็เหมือนจะเหมาะกับนิสัยของเธอดี
ส่วนเหตุผลที่มาอยู่ที่นี่ หม่าโฮ่วเต๋อไม่ต้องเดาก็รู้แล้ว
“ฉันมาที่นี่สองวันแล้ว ไม่เจออะไรเลย แม่งเอ๊ย! ค่าเรียนนี่มันต้มตุ๋นกันชัดๆ!” เริ่นจื่อหลิงส่ายหัวเล็กน้อย “กลับไปจะต้องเบิกค่าเรียนของฉันกับสายตำรวจ! ไม่งั้นเดือนนี้ฉันต้องกินแกลบแล้ว! นายรู้ไหม? ไม่สำคัญว่าฉันเลี้ยงปากท้องตัวเองได้หรือเปล่า แต่นายฝืนใจเห็นลูกรักฉันทนหิวได้เหรอ? บ้านฉันก็มีฉันหาเงินเลี้ยงครอบครัวคนเดียวนะ พี่หม่า ~”
“ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยเจอใครหน้าด้านหน้าทนเท่าคุณเลย!”
ด้วยเหตุนี้ครูบนเวทีเลยตีไม้บรรทัดที่ถือไว้ในมือ แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “คนไว้หนวดเสื้อคลุมสีกากีตรงนั้นเงียบหน่อย!! โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้กฎห้องเรียนอีกหรือไง!”
ตอนนี้เซอร์หม่าหวนนึกถึงความอัปยศสมัยสิบกว่าปีที่แล้วทันที
…
“สูบน้อยๆ หน่อยสิ”
แม้ว่าเป็นเวลาเลิกเรียนของสถาบันสอนพิเศษแล้ว แต่หม่าโฮ่วเต๋อกับเริ่นจื่อหลิงยังไม่ได้ออกไป แต่กลับมาบนดาดฟ้าของตึกนี้
หม่าโฮ่วเต๋อเตือนไปหนึ่งประโยค ก็พบว่าการเตือนของเขาเหมือนไร้ประโยชน์ แม้แต่โรคติดบุหรี่ของตัวเองก็กำเริบแล้ว จึงจุดสูบเป็นเพื่อนเธอมวนหนึ่ง
“แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นไง?” จู่ๆ เริ่นจื่อหลิงก็พูดเสนอ “นายบอกก่อน”
หม่าโฮ่วเต๋อมองตาค้อน แล้วถึงได้พูดว่า “พวกเราพบว่า ในมือถือของผู้ตายคนที่ห้าเคยนัดคนคนหนึ่งที่เขาเรียกว่าอาจารย์มาที่นี่ก่อนโดดตึก ผมสงสัยว่าอาจจะเป็นอาจารย์ของสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้”
“บังเอิญขนาดนี้เลย?” เริ่นจื่อหลิงอึ้ง “ฉันก็ตีสนิทชวนพวกไม่มีสมองสองคนคุยแล้ว และก็ได้ยินว่าเหมือนจะมี ‘อาจารย์’ ที่ลึกลับมากคนหนึ่งอยู่ด้วย”
“ตีสนิท?”
“ไม่ต้องสนใจรายละเอียดพวกนั้นหรอก” เริ่นจื่อหลิงกะพริบตา “ไม่คิดว่า ฉันยังเสน่ห์แรงอยู่สินะ?”
“…”
…
“พี่หลง พี่สาวคนนี้ไงคะที่ฉันเจอวันนั้น”
หลงซีรั่วคาบบุหรี่หันหน้าไปทางดาดฟ้า แล้วหรี่ตามองคนตรงนั้น