สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 14 เจอหลงอีกครั้ง
“ข่าวลือเรื่อง ‘อาจารย์’ หมายถึง?” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วทันที
เริ่นจื่อหลิงตอบ “เขาว่ากันอย่างนี้ ในบรรดาอาจารย์มากมายของสถาบันสอนพิเศษ มีอาจารย์คนหนึ่งเก่งมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าคนที่คะแนนแย่ขนาดไหน ขอแค่หาคนคนนี้พบ ก็ทำให้คะแนนเพิ่มได้ทุกคน”
เริ่นจื่อหลิงก้มหน้ามองถนนข้างล่างตึก “เล่ากันว่า มีนักเรียนหลายคนที่ช่วยยังไงคะแนนก็ฉุดไม่ขึ้น แต่คะแนนรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วก็เพราะอาจารย์คนนี้”
หม่าโฮ่วเต๋อได้ยินก็ถามอย่างงงงัน “ในเมื่อมาที่สถาบันสอนพิเศษนี้แล้ว คะแนนก็ควรจะเพิ่มขึ้นบ้างไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ ได้ยินมาว่าคนที่ไม่ได้มีพรสวรรค์แต่กำเนิด หรือเรียนตามชาวบ้านเขาไม่ทัน มักจะถูกผู้ปกครองบังคับให้มาเรียนที่นี่” เริ่นจื่อหลิงคิดสักพักแล้วพูดต่อ “ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจกับข่าวลือนี้เหมือนกัน”
“อืม…” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “ทางผมจะลองไปตรวจสอบผลการเรียนของผู้ตายทั้งหมดดูก่อน”
“ส่วนฉันไปสืบหาอาจารย์ของสถาบันสอนพิเศษคนนั้นแล้วกัน” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าเห็นด้วย
“ไว้ติดต่อกันเป็นระยะๆ นะครับ” หม่าโฮ่วเต๋อก็พยักหน้าเห็นด้วย
แต่แล้วเริ่นจื่อหลิงกลับล้วงแบบเรียนกองหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยัดใส่มือของหม่าโฮ่วเต๋อทันที จนเซอร์หม่าถึงกับมึนงง จึงเอ่ยถามไปว่า “อะไรครับเนี่ย?”
“การบ้านไง!” เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างจริงจัง “ช่วยฉันทำการบ้านทีสิ! ฉันยังต้องมาเข้าเรียนที่นี่ต่อนะ สหาย!”
“เดี๋ยว ทำไมเป็นผมล่ะ??”
“ไม่ใช่นาย แล้วคิดว่าฉันทำได้เหรอ?”
ประโยคนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน??
“เอาแบบนี้แล้วกัน! ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ฉันต้องกลับล่ะนะ เดี๋ยวเจ้านายฉันจะบ่นน่ารำคาญอีก! นายไม่รู้หรอก เจ้านายฉันนี่จุกจิกมาก!”
…
“เธอกลับไปก่อน ฉันจะลองดูว่าผู้หญิงคนนี้มีที่มายังไง”
พอเห็นอีกสองคนที่ดาดฟ้าฝั่งตรงข้ามเดินจากไป หลงซีรั่วก็มองไปทางลั่วเพียนเซียน พร้อมพูดสั่งเบาๆ ปีศาจผีเสื้อน้อยที่ได้เคยเห็นความสามารถของพี่หลงคนนี้จึงรีบพยักหน้า แล้วบินหายไปท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี
แล้วหลงซีรั่วถึงได้เบนสายตาไปพูดพึมพำว่า “สถาบันสอนพิเศษนี่ยังไงกัน?”
เธอส่ายหัวสะบัดความคิดในหัว แล้วลอยลงมากลางซอยเล็กๆ ของตึกสูงนี้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นาน หลงซีรั่วก็เห็นรถสีแดงคันหนึ่งขับออกไป
จากนั้นท่านหลงแห่งโลกมารคนนี้ก็กระโดดขึ้นบนหลังคารถสีแดงคันนี้แบบไม่คิดเลย…ทั้งเบา ทั้งไร้สุ้มเสียง
ทั้งที่เธอหายตัวไปบนถนนกะทันหัน แต่คนที่กำลังขับรถ หรือแม้กระทั่งคนเดินถนนกลับไม่สังเกตเห็นตัวเธอ ด้วยเพราะเธอบิดเบือนสายตาของคนได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
“ผู้หญิงคนนี้…ขับรถเร็วใช้ได้”
หลงซีรั่วมองรถที่ถูกแซงอยู่ข้างกายไม่หยุด เธอค่อยๆ ย่อตัวลง แล้วยื่นมือออกมายันหลังคารถเอาไว้ ฉับพลันก็เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด
อันดับแรกเธอไม่คิดว่าปีศาจผีเสื้อน้อยจะโกหกตัวเอง ซึ่งก็หมายความว่าผู้หญิงที่ขับรถคนนี้เคยข่มขู่ ลั่วเพียนเซียนจริงๆ อีกทั้งยังมองเห็นตัวตนจริงๆ ของเธอได้ในพริบตา
แต่…ผู้หญิงคนนี้เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
“ในตัวมีพลังวิญญาณเบาบางอยู่ก็จริง แต่ก็แค่สัญญาณของสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น” หลงซีรั่วยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
แทนที่จะบอกว่าผู้หญิงคนนี้ฝึกฝนพลังวิญญาณเอง ไม่สู้บอกว่าเคยไปได้รับมาจากที่ไหน ตัวอย่างเช่น ห้อยพวกอาวุธศักดิ์สิทธิ์หยกขาวเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณบางอย่างเอาไว้เป็นเวลานาน
“เป็นคนหรือผี ทดสอบหน่อยก็รู้แล้วมั้ง”
เธอเชื่อว่า ปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณบางอย่างไม่อาจหนีพ้นสายตาของเธอเด็ดขาด หลงซีรั่วจึงเริ่มลองยื่นนิ้วไปแตะบนรถสีแดงคันนี้เบาๆ
ในตอนนี้เอง เริ่นจื่อหลิงก็เห็นว่ามีไฟแดงข้างหน้า เธอกำลังคิดว่าตัวเองอยู่บนถนนหลวงที่มีรถมากมาย จะเร่งความเร็วไปก็ไม่เหมาะ …จึงเหยียบเบรกทันที
บางทีก็ต้องเคารพกฎจราจรบ้างซะแล้ว จู่ๆ รองบรรณาธิการเริ่นก็ยิ้มแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมา ด้วยคิดจะอาศัยช่วงที่ติดไฟแดงโทรศัพท์ …ไฟแดงหนึ่งร้อยยี่สิบวินาทีเลยเหรอเนี่ย! บ้าบอจริงๆ!
แต่ไม่นานเธอก็รู้ว่าบางอย่างแปลกไป…เหมือนระบบเบรกขัดข้องเสียแล้ว รถที่เหยียบเบรกไม่ได้ลดความเร็วลงเลย แถมยังแล่นตะบึงทะลุสี่แยกไปแล้วด้วย!
…
…
หลังออกจากบ้านหลังนั้นไปแล้ว เฉินเหมยห่วนก็ไม่รู้ว่าควรจะพาลูกชายของเธอไปที่ไหน เธอเคยคิดจะไปจากที่แห่งนี้ หาที่ที่ไม่มีใครรู้จักสักที่ แล้วดูแลลูกชายที่มีสภาพแบบนี้ให้ดีๆ
แต่เธอก็กังวล ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองจะกลายเป็นศพเย็นชืดอีกเมื่อไร แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าสถานที่ลึกลับแห่งนั้นจะต้องอยู่สักมุมหนึ่งของเมืองนี้
ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น สถานที่อะไรนั่นจะไม่ช่วยเธออีกครั้งเลยเหรอ? เฉินเหมยห่วนอดนึกถึงสัญญาประหลาดนั้นไม่ได้
แต่เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลังเลย
เฉินเหมยห่วนสูดหายใจลึกๆ แล้วผลักเปิดประตูโรงแรม เธอฟาดกู้เฟิงสลบไปแล้ว อีกทั้งยังไม่อยากเห็นผู้ชายที่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนผู้นั้นอีก ตอนนี้เลยทำได้แค่เลือกเช่าห้องพักห้องหนึ่งเอาไว้อยู่ข้างนอกชั่วคราว
แต่พอเธอเพิ่งเปิดประตู ก็พบผู้หญิงใส่เดรสสีดำคนหนึ่งเดินออกมา เหมือนเธอกำลังจะคิดออกไปข้างนอก
จากนั้นลุงตรงหน้าเคาน์เตอร์โรงแรมคนนี้ก็วิ่งมาทางผู้หญิงใส่เดรสสีดำอย่างกระตือรือร้น แล้วพูดอย่างเอาใจใส่ว่า “คุณเฮยสุ่ยจะออกไปซื้อของกินอีกแล้วหรือครับ?”
แต่เฉินเหมยห่วนไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก จึงเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
แต่บทสนทนาของผู้หญิงเดรสดำกับคุณลุงที่โรงแรมยังคงดำเนินต่อไป ทันใดนั้นผู้หญิงเดรสสีดำก็พูดถามฉับพลัน “เถ้าแก่คะ ผู้หญิงคนนี้เข้ามาพักตอนไหน?”
“ครับ? ตอนห้าหกโมงเย็นล่ะมั้งครับ” คุณลุงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามด้วยสงสัย “ทำไมครับ? คุณเฮยสุ่ยรู้จักเธอหรือครับ?”
“ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
ผู้หญิงเดรสดำตอบเรียบๆ แล้วเธอก็แหงนหน้ามองฝ้าเพดานของห้องโถงโรงแรม พึมพำในใจ ‘แต่ในตัวเหมือนมีกลิ่นศพจางๆ ปนอยู่ด้วยนะ’
มีสถานการณ์มากมายที่บนตัวของคนคนหนึ่งจะแปดเปื้อนกลิ่นศพอยู่บ้าง เธอผู้ที่สวมเดรสสีดำไม่แน่ใจภูมิหลังของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้ว …ดูเหมือนที่นี่คงพักได้อีกไม่นานแล้ว
พอดีกับตอนที่เฮยสุ่ยผู้ที่ดูแลปีศาจน้อยจำนวนมากกำลังคิดว่าจะย้ายออกจากที่แห่งนี้ดีหรือไม่ เธอก็เห็นผู้หญิงที่เพิ่งขึ้นบันไดไปวิ่งลงมาอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนพุ่งไปตรงหน้าลุง เธอจับแขนของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตึงเครียดแล้วพูดถามว่า “เถ้าแก่! เห็นลูกชายฉันไหมคะ?”
“ลูกชายคุณ?” ลุงอึ้งไป พร้อมกับมองตาขวางแล้วถามว่า “คุณนาย คุณกับผมก็เพิ่งเจอกันครั้งเดียวเมื่อตอนบ่าย ผมจะรู้จักลูกชายคุณได้ยังไงครับ?”
“ฉันหมายถึงคนที่มากับฉันเมื่อตอนบ่าย!” เฉินเหมยห่วนเริ่มถามอย่างร้อนรน
ลุงตกตะลึง แล้วจึงพูดออกจากปากว่า “เป็นลูกชายคุณเหรอ! ผมยังนึกว่า …โอ้ ไม่มีอะไร คนที่คุณพูดถึง เหมือนผมเพิ่งเห็นเขาเดินออกไปพอดี ผมถามเขาว่าจะไปไหน แต่เขาไม่ตอบผมสักคำ”
“ขอบคุณค่ะ” เฉินเหมยห่วนปล่อยมือเขา แล้วรีบพุ่งออกไปนอกโรงแรมทันที
ลุงเจ้าของโรงแรมกุมหัวเหมือนไม่เข้าใจ แต่กลับพบว่าเฮยสุ่ยหายตัวไปแล้ว
…
…
เจ้าของร้านลั่วหมุนข้อมูลของลูกค้าหลายใบในมือเล่น แต่ก็ไม่ได้อ่านข้อมูลข้างในทันที
การ์ดข้อมูลลอยหมุนอยู่เหนือฝ่ามือของเขาช้าๆ ทันใดนั้นเอง ลั่วชิวก็วางมันลง เขาลุกขึ้นมาโบกมือเล็กน้อย แล้วสมุดบัญชีก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก่อนตกลงบนโซฟาที่อยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของสมาคม
ลั่วชิวอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าของร้านคนก่อนใช้เกณฑ์อะไรเลือกสถานที่เปิดใช้ประตูมิติกันแน่ จุดพวกนี้เหมือนจะบ่งบอกอะไรบางอย่างได้
อย่างนั้นจะมีสถานที่ที่เจ้าของร้านคนก่อนตั้งใจไม่เปิดอยู่ด้วยหรือเปล่า และทำไมเขาถึงตั้งใจไม่เปิดในสถานที่พวกนั้นล่ะ?
ด้วยเหตุนี้ ลั่วชิวจึงคิดสืบหาเบาะแสร่องรอยบางอย่างจากประวัติการแลกเปลี่ยนที่มีมานับไม่ถ้วน
แต่ตอนที่เขาคิดจะเปิดสักหน้า นิ้วมือของเขากลับหยุดชะงัก
หน้าหนังสือยังไม่เปิดออกทั้งหมด เจ้าของร้านลั่วก็เงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนหายวับไปจากสมาคมแห่งนี้
ลางไม่ดีอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้เขาต้องทำแบบนี้
วินาทีต่อมา ลั่วชิวก็มายืนอยู่บนสะพานลอยข้ามถนนบางแห่งในเมือง เขากำลังมองดูรถสีแดงที่กำลังวิ่งพุ่งมาจากทางด้านล่างของเขา
แล้วลั่วชิวก็มองเห็นคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคารถคันนี้อย่างชัดเจน
“หลงซีรั่ว…”