สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 16-1 ตัวเม่น
หลายวันมานี้ตอนเย็นจะเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งมาส่งเริ่นจื่อหลิงกลับบ้าน
ตอนที่เดินผ่านร้านขายของชำที่ลูกค้ากลุ่มหนึ่งนั่งตากลมอยู่ตอนกลางคืน…ก็ได้ยินเพื่อนบ้านเก่าแก่ในเขตเมืองเก่าหลายคนเริ่มทยอยกันซุบซิบนินทาเรื่องของเริ่นจื่อหลิง
ลั่วชิวก็เคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง ที่ชั้นล่างของตึกเก่าๆ…ทั้งพูดคุยทั้งหัวเราะกัน
เป็นใครกันล่ะ?
เขาไม่รู้ว่าความอึดอัดได้ก่อตัวขึ้นในใจตั้งแต่เมื่อไร…บางทีคงเหมือนอย่างที่เพื่อนบ้านเก่าแก่พูดกันจริงๆ
เธอยังสาวแบบนี้ กำลังเป็นช่วงวัยที่ดีที่สุด และกำลังเป็นช่วงที่ต้องการคนปลอบประโลมมากที่สุด แล้วจะเต็มใจเลี้ยงลูกชายที่ใกล้วัยผู้ใหญ่แล้วได้ยังไง?
แถมไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองอีกต่างหาก
ชายหนุ่มที่มาส่งเธอบ่อยๆ เป็นใครกันแน่? ลั่วชิวไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น แต่เขากลับรู้สึกใจร้อนอย่างบอกไม่ถูก
มันก็เหมือนกับปีศาจร้ายตนหนึ่ง มันอาจมีตัวตนอยู่ในใจเขามาโดยตลอด แล้วมันก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นหลังจากช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่พ่อเสียชีวิตในหน้าที่
ในที่สุด…ก็ได้เห็นชายหนุ่มคนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว วันนี้เขาตั้งใจลากับโรงเรียนไว้ล่วงหน้า แล้วกลับมาถึงบ้านในเขตเมืองเก่าเร็วขึ้น แม้ว่าใกล้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว โรงเรียนไม่มีทางปล่อยใครกลับไปง่ายๆ ก็ตาม
แต่ครูรู้เรื่องของเด็กคนนี้ดี ว่าเด็กที่เพิ่งสูญเสียพ่อไปลำบากเพียงใด จึงผ่อนผันให้สักหน่อย
ลั่วชิวซ่อนตัวอยู่ในห้อง เขาค่อยๆ ดึงผ้าม่านแง้มให้เป็นช่อง…ก่อนมองไปที่ชั้นล่างอยู่เงียบๆ
นั่นก็ไม่ใช่รถหรูสักเท่าไร ส่วนผู้ชายที่เดินลงมาก็น่าจะมีอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้น แต่ขับรถแบบนี้ได้ก็คงมีฐานะทีเดียว
แล้วเขาก็เห็นเริ่นจื่อหลิงก้าวตามลงมาจากรถ…ดูเหมือนว่าเธอจะใจลอยไปเล็กน้อย แต่ลั่วชิวก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
ทว่าพวกเขาพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำก็จบแล้ว หลังจากผู้ชายคนนั้นพยักหน้าก่อนขับรถออกไป
เริ่นจื่อหลิงกลับไม่ได้เดินขึ้นมาทันที แต่ยืนพิงผนังชั้นล่างคนเดียว แล้วจุดบุหรี่มวนหนึ่ง…นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วชิวเห็นเธอสูบบุหรี่
สูบไปสูบมา เธอก็นั่งยองๆ ลง แล้วเอามือปิดตาตัวเองไว้ บ่าทั้งสองข้างสั่นระริก เขารู้ว่าเธอกำลังร้องไห้…อยู่กันมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอเสียใจขนาดนี้
เธอนั่งยองๆ สะอึกสะอื้นที่ชั้นล่างของบ้านเพียงลำพัง
เธอต้องทุกข์ทรมานและสิ้นหวังขนาดไหนถึงเป็นขนาดนี้ได้? ลั่วชิวไม่รู้หรอก…แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดบางอย่างได้ บางทีสิ่งที่เพื่อนบ้านเก่าแก่พวกนั้นพูดก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว
เขาได้แต่มองดูอยู่แบบนี้…เกือบสิบกว่านาทีได้ เริ่นจื่อหลิงถึงได้ลุกขึ้นใหม่ แล้วรีบเอาน้ำดื่มล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็ว ก่อนตบหน้าตนเองเบาๆ แล้วถึงเปิดประตูเดินขึ้นมาชั้นบน
ลั่วชิวได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอดังมาจากด้านหน้าประตูห้อง เธอเคาะประตูเบาๆ ถามเขาว่ากินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยหรือเปล่า…เป็นคำพูดธรรมดาที่ได้ยินทุกวัน
แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะไปเปิดประตู และไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ เขาแค่ปิดไฟแล้วนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ เธอจึงนึกว่าเขาหลับไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเธอจะพาเขากลับมาที่นี่แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกถึงบรรยากาศเย็นเยียบตลอดเวลา
…
“จริงๆ นะ! ฉันเห็นกับตาเลย ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าโรงแรมไปกับพ่อหนุ่มคนหนึ่งล่ะ!”
“ผู้หญิงคนไหน?”
“ยังจะมีคนไหนอีกล่ะ? ถ้าไม่ใช่หญิงม่ายคนนั้น! ฉันว่าแล้ว ยังสาวขนาดนั้น ต้องอดไม่ไหวแน่ๆ!”
“เดี๋ยวก่อนนะ…เมื่อกี้นี้มีใครเดินผ่านไปหรือเปล่า?”
“ใครเหรอ?”
“เหมือนเป็นลูกชายของเหล่าลั่ว ฉันตาฝาดเหรอ?”
…
ลั่วชิวคิดว่าตัวเองไม่น่ามาเลย…แต่เขาก็ยังเดินมาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว
มีอะไรบางอย่างชักนำเขามา เขาควบคุมตนเองไม่ค่อยได้เลยจริงๆ สภาพแบบนี้ไม่ดีเลย…แต่เขาก็เห็นรถคันนั้นที่เคยมาส่งเธอกลับจริงๆ เหมือนกัน จอดอยู่ใต้โรงแรมนั่นแหละ
โรงแรมไม่ได้สูงนัก โรงแรมในเขตเมืองเก่าก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น…บางทีเรียกว่าภัตตาคารน่าจะเหมาะกว่า ทันใดนั้นลั่วชิวก็รู้สึกอยากหัวเราะเยาะตัวเอง ถึงแม้ว่าเขามาแล้ว แล้วจะทำอะไรได้? ควรจะทำอะไรบ้างหรือเปล่า?
ตอนที่เขากำลังลังเลอยู่ว่า ควรจะหลบไปดีกว่าหรือเปล่า…ด้วยเพราะมีบางเรื่องที่ไม่พูดออกไปคงดีกับทั้งสองฝ่าย
ถึงแม้เขาต้องใช้ชีวิตเพียงคนเดียวก็คงไม่แย่มากหรอก…งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน
แต่เขากลับเห็นชายคนนั้นเมื่อเดินผ่านห้องโถงของโรงแรม ลั่วชิวจึงชะงักฝีเท้า เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเดินเข้าไปต่อ แต่ว่า…มีบางอย่างกำลังชักนำเขาอยู่จริงๆ
เขาเดินตามหลังชายคนนี้ไปเงียบๆ แต่กลับไม่เห็นเขาเดินเข้าไปในชั้นห้องพักเลย ทว่าเดินเข้าไปในห้องอาหารพิเศษที่ชั้นสองเท่านั้น
ด้านใน…ดูเหมือนจะคึกคักมาก
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเปิดแง้มช่องประตูเงียบๆ ก่อนหน้านี้เขายังได้ยินเสียงของเริ่นจื่อหลิงด้วย
เสียงดังแบบนี้เลย
“ไม่มีทาง! ฉันจะไม่ปล่อยให้สิทธิ์เลี้ยงดูลั่วชิวหลุดมือไปเด็ดขาด!!”
“สิทธิ์เลี้ยงดูอะไรกัน นั่นเป็นลูกแท้ๆ ของเธอหรือไง?”
เสียงพูดอีกเสียงหนึ่ง…เป็นเสียงของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ลั่วชิวคิดว่าตัวเองรู้ที่มาของเสียงนี้ ‘คนที่ตอบเริ่นจื่อหลิงด้วยเสียงเย็นชาคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ใช้แซ่เดียวกับเขา หรือก็คือ ‘ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของพ่อเขาเอง’
ด้านในคนแน่นขนัด ต่างก็เป็นคนตระกูลลั่วที่รีบมาจากเมืองอื่นกันทั้งนั้น…ตอนแรกพ่อของลั่วชิวแยกตัวมาทำงานที่เมืองนี้ ต่อมาก็ปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
“จะบอกว่าสนิท! ใครจะสนิทกว่ากันแน่! สิ่งที่พวกเรามีอยู่เป็นเลือดเนื้อของบรรพบุรุษทั้งนั้น! ส่วนเธอ ถ้าเป็นแม่แท้ๆ พวกเราจะไม่ว่าเลยสักคำ! แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่มาทีหลัง! เธอจะทำตัวหวังดีดูแลเขาอย่างนี้เหรอ? เธอเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว? เธอดูแลเขาได้หรือไง?”
ช่างเป็นเสียงพูดที่ดูเหยียดหยามอะไรขนาดนี้
“ฉันเคยบอกหลายครั้งแล้ว! รบกวนพวกคุณอย่ามาตื๊อฉันอีก! ฉันจะไม่ยอมสละสิทธิ์การดูแลหรอก!”
เธอ…ต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้มาตั้งกี่ครั้งกี่หนกัน?
“ฮึ! ฉันว่า เธอก็แค่โลภอยากได้เงินเท่านั้นแหละ! โลภสมบัติของลูกพี่ลูกน้องที่น่าสงสารของฉันก็เท่านั้น! เสียเวลาพูดมาก็เพราะเรื่องแค่นี้!”
ฉับพลันเริ่นจื่อหลิงก็ไม่โต้เถียงสักแอะ แต่กลับโยนเอกสารปึกหนึ่งลงบนโต๊ะเต็มแรง เธอมองคนที่นั่งอยู่รอบๆ โต๊ะในที่นี้ แล้วพูดอย่างเด็ดขาดว่า “พวกนี้! เป็นทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้หลังสามีฉันเสียชีวิต แล้วยังมีเงินบำเหน็จที่ได้มาอีก แล้วก็โฉนดบ้าน! แล้วยังมีมรดกที่เขาแบ่งให้ฉันหลังเขาเสียชีวิตอีก! ทั้งหมดนี้ฉันฝากให้ทนายจัดการให้เป็นชื่อลั่วชิวทั้งหมดแล้ว! พอเขาบรรลุนิติภาวะ ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเขา! แต่ก่อนหน้านั้นฉันจะไม่แตะต้องมรดกพวกนี้แม้เพียงน้อยนิด!”
“สวัสดีครับทุกคน ผมคือทนายตัวแทนจากสำนักทนายความชิ่งหยวน นี่เป็นนามบัตรของผมครับ” แล้วชายหนุ่มก็พูดต่อเสียงเรียบเฉย “คุณเริ่นได้ดำเนินการขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับทางเราเรียบร้อยแล้วครับ ผมรับรองว่าทั้งหมดนี้มีผลตามกฎหมาย ถ้าหากทุกท่านไม่เชื่อ เอาสำเนาเอกสารพวกนี้ไปให้หน่วยตรวจสอบหลักฐานที่ไหนตรวจสอบดูก็ได้นะครับ หากมีข้อสงสัย ผมก็อธิบายให้ทุกท่านฟังได้เช่นกัน”
ทนายความ…ที่แท้ชายหนุ่มคนนี้ก็คือทนายความหรอกเหรอ…
“แล้วพวกคุณให้อะไรเด็กคนนี้ได้บ้าง? ใช่ค่ะ! ฉันไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา แต่อย่างน้อยพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี! แล้วพวกคุณล่ะ? พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าเด็กคนนี้ชอบกินอะไร? ชอบใส่ชุดอะไร? ชอบฟังเพลงอะไร? เขาเกิดวันที่เท่าไร? เขาชอบเล่นเกมอะไร? ช่วงเทศกาลพวกคุณเคยโทรศัพท์หาเขาบ้างหรือเปล่า? พวกคุณต้องการสิทธิ์การเลี้ยงดูงั้นเหรอ? ถ้าได้สิทธิ์พวกนี้ไปแล้ว เขาต้องการให้พวกคุณดูแลหรือเปล่า? พวกคุณให้อะไรเขาได้บ้าง? หรือว่าพวกคุณก็ต้องการมรดกพวกนี้เหมือนกัน?”
“ใน ในเมื่อเธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น แล้วเธอจะให้อะไรเขาได้ล่ะ?”
เสียงดูโกรธขึ้ง
“ฉัน!”
เริ่นจื่อหลิงชี้ไปที่หน้าตนเอง พูดเสียงดังราวกับกล่าวคำปฏิญาณว่า “เป็นครอบครัวให้เขาได้ค่ะ!”
ทำไมเธอต้องทำตัวให้เข้มแข็งด้วย…ก็เพราะเธอรู้ว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับคำพูดร้ายกาจพวกนี้ แล้วยังต้องปกป้องเด็กที่เพิ่งสูญเสียพ่อไป
หากเธออ่อนแอ หากเธอไม่มีหนามแหลมคมทั่วตัวเหมือนตัวเม่น เธอจะดูแลเด็กคนนั้นไปตลอดได้อย่างไร
…
ลั่วชิวปิดประตูมิติเบาๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่นั่นมา
แต่มีคนรู้ว่า วันนั้นเขาตบหน้าหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งแถวๆ ร้านค้าเล็กอย่างแรง
…
…