สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 16-2 ตัวเม่น
เพี๊ยะ!
นิ้วเรียวยาวตบไปบนหน้าเรียวรูปไข่ดูบอบบางอย่างจัง เสียงดังชัดเจนมาก
ไม่รู้ว่ามันแรงขนาดไหน แต่ไม่นานใบหน้ารูปไข่ที่งดงามก็ปรากฏรอยฝ่ามือเด่นชัด
หลงซีรั่วโดนตบหน้าไปทีหนึ่ง ในหัวของเธอพลันว่างเปล่าไปทันที
เธอไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร…ไม่ใช่สิ น่าจะบอกว่าหลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย ครั้งล่าสุดก็เมื่อไรกันแน่? เมื่อหลายพันปีก่อน? หมื่นปีก่อน? ตอนเด็กๆ?
เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเป็นพักๆ อีกทั้งยังถูกบีบคอไว้แน่น แต่ก็ไม่ได้ขาดอากาศเสียทีเดียว เพียงแต่ความเจ็บปวดบนใบหน้านั้นกลับทำให้เธอรู้สึกถึงความอัปยศที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลงซีรั่วค่อยๆ ก้มหน้าลง ถึงแม้ว่าจะถูกบีบคอยกตัวลอยขึ้นมา เธอกลับไม่ร้อนรนเลย ดวงตาประกายสีทองดูหมองลงเล็กน้อย กลายเป็นสีทองหม่น…แต่ก็ดูจริงจังขึ้นมาบ้างแล้ว
“คุณ…คิดจะประกาศสงครามกับฉันที่นี่งั้นเหรอ?”
ลั่วชิวรู้สึกได้ถึงโทสะรุนแรงที่ซ่อนแฝงเร้นในตัวหลงซีรั่ว ทว่าแม้ต้องเผชิญหน้ากับไฟโทสะที่เป็นเหมือนคลื่นโหมกระหน่ำนี้ ลั่วชิวกลับไม่ได้หลบหน้า และไม่หวาดหวั่นเลยแม้เพียงนิดเดียว
“ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจในบางเรื่อง”
ฉับพลันลั่วชิวก็คลายมือออก แล้วเท้าของหลงซีรั่วก็ได้แตะพื้นเสียที จากนั้นเขาถึงพูดว่า “พวกเราไม่ใช่ปีศาจคืนชีพ พวกเราก็ไม่ได้ถูกกลุ่มชาวตะวันตกบ้าระห่ำที่คุณพูดถึงบังคับให้หายตัวเข้ากลีบเมฆ พวกเราแค่…พวกเราวนเวียนอยู่ในโลกนี้มาตลอด”
ในชั่วพริบตานั้นเอง ประตูเก่าแก่และแปลกประหลาดบานหนึ่งก็ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังเจ้าของสมาคม พร้อมกับเสียงดังสนั่น
มันค่อยๆ แง้มเปิดออกเล็กน้อย
แค่ช่องเล็กๆ ขนาดเท่าเส้นผม ก็เผยให้เห็นบางสิ่งบางอย่างข้างในนั้น
หลงซีรั่วถอยหลังยาวๆ ก้าวหนึ่ง หน้าผากของเธอเริ่มเปียกชื้น คล้ายกับว่าดวงตาสีทองหม่นได้กลับมาเป็นสีดำขาวตามปกติแล้ว อีกทั้งตัวยังสั่นเทาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เธอคล้ายได้ยินเสียงร้องเศร้าโศกดังระงม และเสียงกระซิบแผ่วเบาที่เหมือนมาจากทั่วทุกมุมโลก ตรงหน้าของเธอมีเพียงความเงียบสนิทที่วังเวงและไร้ที่สิ้นสุด
เหมือนว่าเธอยืนอยู่กลางพื้นแห้งแล้งไร้วันสิ้นสุด โลกเกิดกลับตาลปัตร…ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย โลกคล้ายจะกลับสู่ความว่างเปล่าในช่วงวินาทีนั้น
เธอปกปักรักษามังกรสายพันธุ์แท้ในแผ่นดินใหญ่ผืนนี้…แต่ก็เพียงแค่แผ่นดินใหญ่ผืนนี้เท่านั้น
ทว่าบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่นี้…
เขาพูดถูก…ลำพังแค่ยุคนี้ ยุคหลังกึ่งพุทธกาล*…จะมีคนต่อต้านสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร?
ครืน!
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้องดังอยู่ในหัวของหลงซีรั่ว ทำให้เธอลืมความเจ็บปวดบริเวณลำคอ ลืมความอัปยศที่ถูกตบหน้านั่นไปเลย หัวของเธอว่างเปล่าอีกครั้ง…ด้วยเพราะเสียงปิดประตูน่าหวาดกลัวบานนั้น
หนักหนาอะไรขนาดนี้…ไม่ไหวแล้ว
ด้านหลังมีรถราบนท้องถนนแผดเสียงดังแหวกผ่านไป เกิดเป็นลมพัดฉิวผ่านแผ่นหลังของหลงซีรั่ว ความเย็นสดชื่นทำให้เธอเรียกสติกลับมาได้บ้าง
เธอกับเจ้าของสมาคมคนใหม่ยังอยู่ที่นี่ แต่ทุกอย่างในเมืองแห่งนี้จะกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว
“ขอโทษนะครับ ปกติผมไม่ทำร้ายใคร แต่บางครั้งก็เผลอวู่วามไปบ้าง”
เธอได้ยินเสียงบางเบาแบบนี้…แทนที่จะบอกว่าขอโทษ ไม่สู้บอกว่ากำลังอธิบายเรื่องบางอย่างยังจะดีกว่า
“คุณไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ”
ลั่วชิวเข้ามาประชิดตัวหลงซีรั่ว นิ้วมือของเขาไล้เบาๆ ไปที่รอยนิ้วมือบนหน้าเธอ แล้วรอยแดงๆ ก็จางหายไปในชั่วพริบตา
หลงซีรั่วก้าวถอยหลังไปอีกก้าวทันที เธอเปี่ยมด้วยหวาดผวาและหวาดกลัวอย่างที่ตัวเธอไม่อยากยอมรับ เธอไม่อาจโต้ตอบได้ในสถานการณ์ที่คล้ายโดนแกล้งแบบนี้
“นายท่าน!”
ฉับพลันนั้นเอง เสียงคุณสาวใช้ก็ดังขึ้นด้านหลังลั่วชิว ราวกับว่าคุณสาวใช้เดินแหวกมาจากอากาศ
หลงซีรั่วเห็นแววตาสีฟ้าของผู้หญิงคนนี้ลึกล้ำกว่าเดิมอย่างชัดเจน สองมือของเธอค่อยๆ มีเปลวไฟสีดำดูร้ายกาจผุดขึ้นมา สถานการณ์ใกล้จะเข้าสู่ภาวะสงคราม ท่าทางเตรียมพร้อมบุกตลอดเวลา
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
หลงซีรั่วก่นด่าคำหนึ่งทันที พอหมุนตัว ก็กระโดดขึ้นไปบนยอดตึกข้างๆ ไม่นานก็หายไปในความมืดของเมือง
เธอกล้ำกลืนความอัปยศที่ถูกตบหน้า แต่กลับไม่คิดเอาเรื่องกับเขาให้ถึงที่สุด…ความโอหังอวดดีพังทลายอยู่ตรงหน้าประตูบานนั้นหมดแล้ว กลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่ากองหนึ่งเท่านั้น
…
“นายท่าน เมื่อครู่…”
พอเห็นหลงซีรั่วจากไปแล้ว คุณสาวใช้ก็ดับเปลวไฟสีดำในมือตนเอง แล้วเดินมายืนข้างๆ ลั่วชิว
ลั่วชิวถอนหายใจ หลังจากแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถึงได้พูดเบาๆ ว่า “คนที่พูดง่ายจะถูกรังแกง่าย แต่ถ้าเป็นคนบ้าหรือพวกอารมณ์แปรปรวน น่าจะทำให้รู้สึกหวาดผวาได้บ้าง ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ฉันแค่จะเตือนเธอนิดหน่อยเท่านั้นเอง…เธอกลับไปก่อนเถอะ”
โยวเย่พยักหน้า แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นเริ่นจื่อหลิงพิงประตูรถอยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง จึงเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว
…
…
เธอยังคงผวากับเหตุการณ์นั้นอยู่บ้าง…หากรถกลับมาอยู่ในสภาพปกติไม่ทันเวลาละก็ ไม่ใช่ว่าเธอจะได้ไปนอนอยู่โรงพยาบาลแล้วเหรอ?
เริ่นจื่อหลิงเงยหน้ามองตึกใหญ่ที่อาศัยอยู่ตอนนี้แวบหนึ่ง เธอไม่ได้คิดจะเดินขึ้นไปทั้งแบบนี้
ทว่าเธอกลับล้วงกระจกแต่งหน้าออกมา แล้วมองดูใบหน้าตนเองอย่างละเอียด…เธอไม่อยากให้ลั่วชิวมองเห็นความผิดปกติอะไรจากสีหน้าของเธอ
เจ้าเด็กนี่มีสายตาแหลมคม ได้ฝีมือถ่ายทอดมาจากเขาคนนั้นที่เคยเป็นนายตำรวจมาเยอะจริงๆ
เธอคิดว่าจะรอให้สูบบุหรี่มวนนี้หมดก่อน ค่อยเดินขึ้นตึกไป
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บุหรี่เข้าปากไปไม่นาน เธอก็นั่งยอง ดวงตาเปียกชื้นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้…ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเหลือเกิน
แต่เธอให้ใครเห็นด้านอ่อนแอของเธอไม่ได้
‘นาทีเดียว ร้องไห้แค่นาทีเดียวก็พอแล้ว เข้าใจไหมเริ่นจื่อหลิง’
เธอพึมพำอยู่คนเดียว
“คุณมานั่งทำอะไรตรงนี้?”
ครบหนึ่งนาทีพอดี เริ่นจื่อหลิงก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยมากดังขึ้น…เป็นเสียงของลั่วชิว
เริ่นจื่อหลิงตาแดงเล็กน้อย คีบบุหรี่ทั้งท่านั่งยอง เงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง ก็เห็นลั่วชิวยืนอยู่ด้านหน้าเธอ จึงเผลออ้าปากค้างเล็กน้อย
“โอ๊ย…”
หลังจากร้องโอดโอยจากไฟก้นบุหรี่ร่วงมาลวก เธอถึงรู้สึกตัว รีบโยนก้นบุหรี่ในมือทิ้งไป ก่อนลุกขึ้นมา ขยี้ตาตัวเองอย่างรวดเร็ว “มีฝุ่นเข้าตาน่ะ แล้ว…แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ? ไม่สิ ข้างบนก็เปิดไฟอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอถึงมาอยู่ข้างล่าง?”
ลั่วชิวชูถุงชอปปิงในมือขึ้นมาพร้อมพูดว่า “ของใช้จำเป็นไม่เอาแล้วเหรอ? คุณคงลืมไปแล้วสินะ”
เริ่นจื่อหลิงหัวเราะแหะๆ
“กินข้าวหรือยังครับ?”
“ยัง…ไม่ได้…” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้า
“กลับกันเถอะครับ เดี๋ยวผมจะทำกับข้าวให้” ลั่วชิวพูดไม่ให้มีพิรุธ “เพิ่งซื้อลูกชิ้นมา ทำลูกชิ้นเหล้าหมักแล้วกัน”
พูดไป ลั่วชิวก็เดินขึ้นข้างบนไปเลย เริ่นจื่อหลิงนิ่งอึ้ง แล้วรีบเดินตามขึ้นไป สองมือของเธอดันหลังลั่วชิวให้เดินเร็วขึ้น “โอ๊ย! หิวจะตายอยู่แล้ว! เจ้าเด็กนี่นิ เดินเร็วๆ หน่อยสิ!!”
“โยนกล่องบุหรี่ในกระเป๋าก่อนเข้าบ้านด้วยนะครับ” ลั่วชิวพูดโดยไม่เหลียวหลัง
รองบรรณาธิการเริ่นได้แต่รับคำอย่างสลดใจ “รู้แล้วน่า!”
ตอนที่เริ่นจื่อหลิงเข้าประตูไป ถึงเธอจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ยังโยนซองบุหรี่ทิ้งไปในขยะตรงทางเดิน ทว่าลั่วชิวที่ยืนอยู่หน้าประตูก็หันมาอีกครั้ง
เขาพูดเสียงเรียบเฉยว่า “แล้วก็ที่ซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าทั้งหมดด้วยนะครับ”
“…ก็ได้” รองบรรณาธิการเริ่นคอตกไร้เรี่ยวแรง
“ถ้างั้น…ขอต้อนรับกลับบ้านครับ”
เริ่นจื่อหลิงชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นทันที แล้วก็เห็นลั่วชิวเดินเข้าไปก่อนแล้ว
เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทันที หลังจากร้องไห้ไปหนึ่งนาที ตาเธอก็แดงขึ้นมาอีกแล้ว
…
…
เฉินเหมยห่วนมองหาตัวลูกชายตามท้องถนนเพียงลำพัง…เขาจะเดินไปที่ไหนได้? หรือว่าเริ่มรู้สึกตัวแล้ว?
คำถามโผล่ขึ้นมาในหัวของเธอไม่หยุด เธอยังกังวลว่า ด้วยสภาพของลูกชายเธอตอนนี้ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า
เธอโทษตัวเอง ‘ไม่น่าชะล่าใจออกมาซื้อของข้างนอกเลย’
นานหลายชั่วโมงแล้ว เธอก็ยังหาลูกชายของเธอไม่พบ นี่ทำให้เฉินเหมยห่วนแทบจะเป็นบ้า
กว่าเธอจะได้ลูกชายกลับคืนมาก็ไม่ง่าย ได้โปรดอย่าพรากเขาไปจากเธออีกเลย…เธออธิษฐานอยู่ในใจตลอด
อาจด้วยเบื้องบนได้ยินคำอธิษฐานของเธอแล้ว เฉินเหมยห่วนจึงหาลูกชายพบในที่สุด
เขากำลังยืนมองป้ายสวนสนุกแห่งหนึ่งอยู่หน้าทางเข้าเงียบๆ เพียงลำพัง
*ยุคกึ่งพุทธกาล คือช่วงเวลา 2,500 ปี เป็นช่วงกลางของยุคพุทธศาสนา ซึ่งพุทธศาสนามีอายุ 5,000 ปี