สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 18 อาการป่วยที่หายไป
ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว
แต่ประตูโรงพยาบาลสัตว์ยังไม่ได้ปิด แสงไฟยังคงสว่างไสว ปีศาจผีเสื้อน้อยที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวนวลนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์กำลังมองไปที่ประตูโรงพยาบาลสัตว์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมพี่หลงยังไม่กลับมาอีก
ลั่วเพียนเซียนฟุบลงไปบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย กลิ้งขวดน้ำผึ้งเปล่าใบเล็กที่ล้างสะอาดแล้วไปมา
เธอยังผูกริบบิ้นสีฟ้าเส้นหนึ่งไว้ตรงปากขวดด้วย…เธอก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่รู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วมีความสุขมาก
ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ในที่สุดปีศาจผีเสื้อน้อยก็ทนไม่ไหว เธอเงยหน้ามองพี่ซูจื่อจวินครึ่งผีดิบที่นั่งอยู่ไม่ไกล “พี่ซูคะ พี่ว่าเกิดเรื่องอะไรกับพี่หลงหรือเปล่าคะ?”
ซูจื่อจวินกลับหาวหวอดใหญ่ มือซีดขาวป้องปากพูดว่า “ฉันว่านะ ยัยเฒ่านั่นต่างหากที่เป็นต้นเหตุของปัญหา เธอไม่ไปหาเรื่องใครก็นับว่าดีแล้ว วางใจเถอะ อย่างน้อยฉันก็คิดว่ายุคนี้ไม่มีใครชนะยัยนั่นได้หรอก ตายยากจะตาย คำพังเพยก็ว่าไว้ไม่ใช่เหรอ ‘ความชั่วอยู่ยืนยง’ น่ะ?”
ลั่วเพียนเซียนยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ฉับพลันประตูอัตโนมัติของโรงพยาบาลก็เปิดออก คนที่เดินเข้ามา…คือหลงซีรั่วไม่ผิดแน่ เธอเดินเข้ามาด้วยแววตาไร้อารมณ์
ซูจื่อจวินเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสาย แล้วมองลั่วเพียนเซียนพลางพูดอย่างขอไปที “ดูสิ พูดถึงก็มาพอดี ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ายัยเฒ่านี่ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ ฉันง่วงแล้ว นี่ก็เลยเวลานอนมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยื้อให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนละก็ ฉันคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
ลั่วเพียนเซียนก็ยังคิดในใจว่า ‘แล้วฉันยังพูดอะไรได้อีกล่ะ?’
เห็นๆ อยู่ว่าพี่นั่งอยู่ตรงนี้เอง…
จะว่าไป เวลานอนของพี่เป็นตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ…
ปีศาจผีเสื้อน้อยคิดว่าเธอคงเหงาแน่นอน
แต่ในเมื่อพี่หลงกลับมาแล้ว งั้นก็คงไม่เหงาแล้วแหละ ทุกวันเธอต้องปวดหัวกับคำพูดแรงๆ ปากไม่ตรงกับใจของพี่ซูจื่อจวิน บอกได้เลยว่าจะต้องหาเรื่องทะเลาะกับพี่หลงอีกแน่ๆ
แต่หลงซีรั่วคล้ายว่าไม่ได้ยิน เธอเดินเข้าไปข้างในโดยไม่พูดสักคำ ทำราวกับว่าคำยั่วโมโหของซูจื่อจวินเป็นเพียงอากาศธาตุ
ซูจื่อจวินมองหลงซีรั่วเดินเข้ามาใกล้แล้ว จึงส่งเสียงพูดด้วยท่าทางตกใจ “ยัยเฒ่า กางเกงเธอหลุดแล้ว!”
“ฮะ? เธอว่าไงนะ?” หลงซีรั่วหันมาด้วยท่าทางสงสัย
“ประหลาดแฮะ…สมองยัยเฒ่านี่จะต้องถูกประตูหนีบมาแน่ๆ เลย” ซูจื่อจวินจ้องหลงซีรั่วอย่างเหลือเชื่อ เธอขมวดคิ้ว จับสังเกตได้เลยยิงคำถามถามบางอย่าง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร แค่อยากนอนเท่านั้นเอง” หลงซีรั่วส่ายหน้า “เธอคิดว่าทุกคนจะเหมือนเธอเหรอ? ครึ่งค่อนคืนแล้วยังสดชื่นอยู่ได้”
เชอะ!
ปีศาจผีเสื้อน้อยเห็นพี่ซูจื่อจวินเริ่มยิ้มน่ากลัว เธอจึงรีบเดินออกมาจากตรงเคาน์เตอร์ แล้วฝืนหัวเราะฮาๆ พลางพูดว่า “จริงสิ! พี่หลงต้องเหนื่อยมากแน่ๆ เลยใช่ไหมคะ? ฉันไปเตรียมน้ำร้อนให้พี่แล้วกัน! พี่ซูคะ พี่หิวแล้วหรือยัง? ไอติมแท่งรสเลือดกรุปบีที่ฉันทำไว้เมื่อวานน่าจะได้ที่แล้ว! ฉันไปเอามาให้พี่นะ…อย่าทะเลาะกันล่ะ…”
ตอนที่พี่ซูจื่อจวินเริ่มอยากหาเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ หลงซีรั่วกลับพูดโพล่งขึ้นมาทันที “เพียนเซียน สองสามวันนี้ฉันมีธุระนิดหน่อย ต้องออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
“อ้อค่ะ พี่หลงจะไปเก็บยาเหรอคะ?”
“ไม่ใช่หรอก ฉันต้องออกเดินทางไกลน่ะ” แล้วหลงซีรั่วก็พูดกำชับช้าๆ ว่า “ถ้ามีผู้ป่วยมา เธอก็อ่านบันทึกของฉัน แล้วเอายาให้พวกเขาก็พอแล้ว ยังไงก็เป็นโรคเก่ากันทั้งนั้นแหละ ของในโกดังเพียงพอให้เธอใช้ไปอีกนานเลย”
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ!”
หลงซีรั่วพยักหน้า สุดท้ายพูดขึ้นว่า “จริงสิ ช่วงสองสามวันนี้เธอยังไม่ต้องไปเรียนพิเศษนะ รอฉันกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ถึงแม้ปีศาจผีเสื้อน้อยจะเสียดายอยู่บ้าง แต่เธอยังพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่ได้ถามอะไร
พูดไป หลงซีรั่วที่เพิ่งบอกว่าจะไปนอนก็เหมือนจะลืมเรื่องนี้ไป แล้วเดินออกประตูไปทันที
ตอนที่เดินออกไป ปีศาจผีเสื้อน้อยสังเกตได้ว่าพี่หลงเผลอลูบไปที่คออยู่ครู่หนึ่ง…ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกเหมือนพี่หลงกำลังหวาดกลัวบางเรื่อง
เข้าใจผิดหรือเปล่า?
…
…
ในสถานีตำรวจ พวกชายหนุ่มสูงล่ำกลุ่มหนึ่งกำลังเกาหัวไม่หยุด และถกกันเรื่องที่เซอร์หม่าสั่งการลงมา เกี่ยวกับข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยสองชุดในระดับที่เรียกได้ว่าน่ากลัวทีเดียว
ไม่มีใครรู้ว่านายตำรวจหม่าไปเจออะไรมากันแน่…ตามหลักแล้ว นี่ไม่ใช่ข้อสอบของลูกเขาแน่นอน สองปีก่อนลูกชายเขาไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วไม่ใช่เหรอ แค่อายุก็ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง?
ตอนนี้นายตำรวจหนุ่มหนึ่งเดียวที่รู้ความจริงก็ไม่กล้าเล่าความจริงว่า ‘นี่เป็นการบ้านของเซอร์หม่าที่พวกนายเคารพและนับถือได้มาจากสถาบันสอนพิเศษ’
แน่นอนว่า เพราะมีลูกน้องที่ช่วย ‘ลดความยุ่งยาก’ ได้บ้างขนาดนี้ ตอนนี้เซอร์หม่าจึงเก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน เรียกได้ว่ากำลังดื่มชาที่ชงไว้ก่อนทำงานอย่างสบายอกสบายใจ ตอนที่คดีหยุดชะงักไป เขาก็จำเป็นต้องผ่อนคลายสมองตนเองให้เต็มที่นะ
“เซอร์หม่าครับ! หัวหน้านิติเวชฉินมาพบท่านครับ!”
แต่หม่าโฮ่วเต๋อยังไม่ทันได้ดื่มก็เกือบถูกน้ำร้อนลวกลิ้น เขารีบพุ่งตรงไปยังโต๊ะของตนเอง คว้าปากกาขึ้นมา ก้มหน้าอ่านเอกสารด้วยสีหน้าจริงจัง
“เลิกสร้างภาพเถอะ ของบนโต๊ะชงชาประจานคุณไปหมดแล้ว แล้วยังมีน้ำที่เพิ่งต้มอีก เท่านี้ก็พิสูจน์สิ่งที่คุณทำก่อนหน้านี้ได้แล้ว”
แล้วเหล่าฉินก็นั่งลง
หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะแหะๆ…หัวเราะแห้งๆ พลางพูดว่า “เหล่าฉิน ผมยื่นเรื่องขอให้ผู้กำกับส่งคุณมาร่วมสืบสวนคดีกับพวกเราดีไหม! คุณนี่ช่างสังเกตจริงๆ ไม่ตามพวกเราไปไขคดีข้างนอกหน่อยเหรอ เสียของชะมัดเลย!”
“งานด้านนิติเวชก็ช่วยคดีของพวกคุณอยู่แล้ว” เหล่าฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าแม้แต่การสืบสวนคดียังจะให้นิติเวชอย่างพวกเราไปทำ งั้นจะมีพวกคุณไว้ทำอะไรล่ะ? จะให้ที่นี่เหลือแค่ฝ่ายนิติเวชฝ่ายเดียวเหรอ?”
“ผมก็แค่พูดเล่นเอง…” หม่าโฮ่วเต๋อกระแอมสองที วางมาดขรึมพลางพูดว่า “เช้าขนาดนี้ มาหาผมมีเรื่องอะไร?”
“พวกเราแจ้งครอบครัวของกู้จยาเจี๋ยให้มารับศพเขาไปแล้วนะ แต่สองวันมานี้ยังไม่เห็นใครมารับเลย”
“ยังไม่มา?” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้ง พูดว่า “ท่าทางแม่เขาไม่น่าจะปล่อยให้ศพลูกชายอยู่ที่นี่ได้เลยนี่? ผมจะลองช่วยไปถามให้คุณแล้วกัน”
เหล่าฉินพยักหน้า พูดต่อทันที “อีกอย่าง มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องแปลกอะไร?”
เหล่าฉินพูดอย่างขอไปที “คุณยังจำจุดเกิดเหตุที่กู้จยาเจี๋ยตกตึกได้ไหม?”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าพูดว่า “จำได้ติดตาเลย ร่วงลงมาจากที่สูงจนหัวเละขนาดนั้น จะลืมง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ”
“ตอนแรกพวกเราเจอก้อนอะไรบางอย่างในสมองของกู้จยาเจี๋ย เลยเอาไปตรวจสอบดูสักหน่อย แล้วก็เพิ่งได้รายงานผลมา” เหล่าฉินมองหม่าโฮ่วเต๋อพลางพูดว่า “เป็นกลุ่มเซลล์ผิดปกติ เกรงว่าเขาจะมีมะเร็งในสมอง”
“คุณหมายความว่า เขาป่วยตาย ไม่ใช่ตกลงมาตาย?” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้งถาม
“อันที่จริงแล้วเขาตกลงมาตาย” เหล่าฉินพูดด้วยแววตาเฉยชา
“งั้นคุณหมายความว่า…เขารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งสมอง ถึงได้ฆ่าตัวตาย?” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้ง “ไม่ใช่สิ ทำไมพวกเราถึงไม่รู้ประวัติป่วยกู้จยาเจี๋ยเลยล่ะ? เป็นไปได้ไงที่คนในครอบครัวจะไม่รู้เรื่องนี้? เขาคงไม่ได้แอบไปตรวจเองที่โรงพยาบาล แล้วก็แอบปิดบังไว้หรอกนะ? เขาคนเดียวรับไหวเหรอ?”
“ผมแค่บอกข้อมูลคุณ ไม่ขอออกความเห็น” เหล่าฉินส่ายหัวเล็กน้อย “แต่น่าแปลก พวกเราหากลุ่มเซลล์ผิดปกติในตัวผู้ตายไม่พบแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหัวเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจ”
เหล่าฉินได้แต่พูดว่า “ที่ผมจะบอกก็คือ เมื่อคืนผมตรวจสอบดูอีกครั้ง ผมถึงได้รู้ว่าเซลล์มะเร็งในสมองของผู้ตายหายไปแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วถามว่า “งั้นจะเป็นได้หรือเปล่าว่าผู้ตายไม่ได้ป่วยตั้งแต่แรก?”
เหล่าฉินมองหม่าโฮ่วเต๋อเหมือนมองไอ้งั่งพลางพูดว่า “งั้นคุณคิดว่า ถ้าเซลล์พวกนั้นไม่ได้มาจากผู้ตายแล้วมาจากไหนกันล่ะ?”
“ผมรู้แล้ว! ศพมีปัญหา! เป็นของปลอม!”
“ใช้หัวหน่อย”
“…” ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อเริ่มไม่พอใจแล้ว “งั้นคุณก็อธิบายให้ชัดสิ อยู่ๆ มันหายไปได้ยังไง? หรือว่าตายแล้ว เซลล์มะเร็งก็หายไปได้เองเหรอ?”
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงมาหาคุณ” เหล่าฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ทางพวกเราผิดพลาดได้ในกรณีเดียว นั่นก็คือข้อมูลตกหล่นไป แต่ไม่มีทางตรวจสอบผิดแน่”
“งั้นก็แปลกแล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อคิ้วขมวดแน่น
ตอนนี้เอง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น…พอหม่าโฮ่วเต๋อรับโทรศัพท์ เขาก็ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “เมื่อกี้คนจากศูนย์รับแจ้งความบอกว่า เฉินเหมยห่วนฟาดกู้เฟิงจนสลบไปแล้ว เธอก็หายตัวไป ตอนที่ออกไปไม่ได้เอากุญแจไปด้วย และไม่ได้กลับไปที่บริษัท โทรศัพท์ก็ไม่รับ กู้เฟิงก็เลยแจ้งความ…”