สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 19 ‘ยอดนักสืบ’ ลั่วชิว
เริ่นจื่อหลิงติดต่อกับหม่าโฮ่วเต๋อบนดาดฟ้าของสถาบันสอนพิเศษอีกครั้ง
‘แลกเปลี่ยนข้อมูล’
หม่าโฮ่วเต๋อไม่ได้เล่าเรื่องแปลกๆ ที่เหล่าฉินสถาบันนิติเวชวิทยาค้นพบ แค่เล่าเรื่องคร่าวๆ ว่าเฉินเหมยห่วนขาดการติดต่อไปหลังจากฟาดหัวกู้เฟิงสลบ
“ไม่ได้บอกว่าผู้ชายคนนั้นเลี้ยงเมียน้อยอยู่ข้างนอกหรือไง แล้วไหนจะชอบทำร้ายร่างกายลูกชายอีก ถ้าเป็นฉันไม่ได้เอามีดแทงก็บุญแล้ว!” เริ่นจื่อหลิงพูดส่งๆ ไปว่า “คงไม่อยากเห็นเจ้านี่อีกล่ะมั้ง”
“ก็คงได้แต่คิดไปในแง่นี้เท่านั้นแล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อยักไหล่แล้วพูดว่า “แต่มีคนแจ้งความแล้ว พวกเราก็ได้แต่ทำตามขั้นตอน ส่งคนไปลองหาดูเท่านั้น …เรื่องในครอบครัวก็ต้องมาลำบากตำรวจอีก”
เริ่นจื่อหลิงอดล้อไม่ได้ “ทำไม หรือนายอยากให้มีคดีใหญ่ทุกวันเหรอ? เหล่าหม่า ที่แท้นายก็มีปณิธานยิ่งใหญ่นะเนี่ย!”
“ไปๆๆ! แค่คดีนี้ก็ทำผมปวดหัวพอแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจพูดว่า “ผมอุตส่าห์บากหน้าไปขอร้องหัวหน้าเรื่องรื้อคดีขึ้นมาใหม่เลยนะเนี่ย ตอนนี้ผ่านมาหลายวันแล้ว ต้นสายปลายเหตุอะไรก็ไม่มี …เรื่องนี้ยุ่งยากจริงๆ ถ้ายังหาหลักฐานไม่ได้อีก ก็มีแต่ต้องปิดคดีแล้ว”
“ฉันก็หา ‘อาจารย์’ ในข่าวลือที่ว่านั่นไม่เจอเหมือนกัน”
เริ่นจื่อหลิงก็พูดอย่างจนใจ “ข่าวลือนี้เหมือนโผล่ขึ้นมากะทันหัน ไม่นึกเลยว่าจะไม่มีคนรู้ว่าต้นตออยู่ที่ไหน แถมยังไม่มีคนรู้ว่าอาจารย์ลึกลับคนนี้คือใครกันแน่ ข้อมูลมันไม่ยุติธรรมกับฉันเลย อาจารย์ของสถาบันสอนพิเศษมีเยอะขนาดนี้ ระบุตัวไม่ได้เลยว่าเป็นใคร …อุ๊ย สายแล้ว ฉันต้องรีบหารถเมล์กลับแล้วล่ะ”
“รถคุณล่ะ?”
เริ่นจื่อหลิงตอบกลับทันที “ก่อนหน้านี้เกิดปัญหานิดหน่อย ฉันเลยส่งไปซ่อม”
“งั้นผมไปส่งพี่แล้วกัน” หม่าโฮ่วเต๋อคิดแล้วพูดว่า “ยังไงก็ไม่ได้เจอลั่วชิวมาพักหนึ่งแล้ว ถือโอกาสไปหาเขาหน่อยแล้วกัน”
“เยี่ยมเลย”
…
ด้วยเหตุนี้เจ้าของร้านลั่วที่ไม่ได้เตรียมตั้งรับก็ถูกเซอร์หม่ากอดแน่นๆ ไปครั้งหนึ่ง
“นั่งสิครับ เดี๋ยวผมชงชาให้” ลั่วชิวยิ้มพร้อมทักทาย
หม่าโฮ่วเต๋อนั่งลง แล้วพูดให้บรรยากาศผ่อนคลาย “โถ่เอ๊ย คนรู้จักทั้งนั้น ไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอก”
ห้องรับแขกของบ้านลั่วชิวเป็นไฟโทนสีอบอุ่นสบายตา หม่าโฮ่วเต๋อจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันที
“ช่วงนี้อาหม่าเจอแรงกดดันเยอะไหมครับ”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?” หม่าโฮ่วเต๋อนั่งยืดตัวตรงตัวตรง พลางพูดถามอย่างแปลกใจ
ลั่วชิวตอบไปว่า “คนปกติถ้าไม่มีเรื่องกดดัน ก็จะไม่ทำหน้าแบบอาหรอกครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดยิ้มๆ “ไม่เปลี่ยนเลยนะ จริงจังเหมือนพ่อเธอจริงๆ!”
“อืม!” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าเห็นด้วย เธอกำลังนั่งกอดหมอนอิงใบหนึ่งอยู่บนที่วางแขนของโซฟา “เหล่าหม่า จุดนี้ฉันเห็นด้วย! สายตาเจ้าเด็กนี่อย่างกับโจร! นายไม่รู้หรอกว่า เจ้าเด็กนี่มองฉันแค่แวบเดียว ก็รู้แล้วว่าฉันกินอะไรมา!”
“เพราะของที่คุณกินมีแต่รสจัดทั้งนั้นนี่ครับ” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยชา
เริ่นจื่อหลิงมองค้อน ทำท่าอยากตี
หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะด้วยท่าทางสบายใจ
พูดไปหัวเราะไปอยู่แบบนี้ ได้นั่งพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยตามประสาคนรู้จักก็ไม่เลวจริงๆ
หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจ ฉับพลันเขาก็คิดอะไรได้ จึงมองลั่วชิวแล้วเอ่ยถามว่า “ลั่วชิว ขอถามเธอสักเรื่องสิ”
“ว่ามาเลยครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “ช่วงนี้อาเจอคดีหนึ่ง อยากฟังความเห็นจากหลายๆ คน เผื่อได้ไอเดียอะไรบ้าง บางทีเธอก็พูดได้น่าขบคิด ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้นึกถึงเรื่องบางอย่างที่อามองข้ามไปได้”
เริ่นจื่อหลิงประคองโกโก้ร้อนแก้วหนึ่งที่เจ้าของร้านลั่วชงให้เธอโดยเฉพาะ เธอจิบคำเล็กๆ พร้อมกับรับฟัง เธอรู้ว่าคดีที่หม่าโฮ่วเต๋อพูดถึงหมายถึงอะไร
“…ก็เป็นแบบนี้แหละ” หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่า ‘อาจารย์’ ที่พูดถึงคือใครกันแน่ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะไประบุตัวคนคนนี้จากที่ไหน”
ลั่วชิวคิดอยู่สักพัก แล้วถามว่า “แล้วนักเรียนห้าคนนี้เป็นนักเรียนห้องเดียวกันหมดไหมครับ?”
“ไม่นะ คนละห้อง”
ลั่วชิวพูดขึ้นอีก “มีตารางเรียนของห้องเรียนพวกนี้ไหมครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อหยิบตารางเรียนออกมาจากกระเป๋าเอกสารอย่างรีบร้อน เขาขยายการสืบสวนมาที่สถาบันสอนพิเศษแห่งนี้มาหลายวันแล้ว ในมือย่อมมีเอกสารพวกนี้แน่นอน
“แล้วมีข้อมูลพวกนักเรียนที่ตายไปด้วยไหมครับ?” ลั่วชิวถามอีกครั้ง
หม่าโฮ่วเต๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ แล้วหยิบแฟลชไดรฟ์ตัวหนึ่งออกมา
ลั่วชิวดูข้อมูลส่วนตัวของผู้ตายจากโน้ตบุ๊ก พลางดูตารางเรียนของสถาบันสอนพิเศษในมือ เขานั่งเงียบๆ ไม่มีท่าทีอะไร
แล้วเขาก็เริ่มเอาปากกาออกมาอีกครั้ง แล้วเช็กตารางเรียนไม่หยุด จากนั้นก็สร้างตาราง Excel อีกอันหนึ่งไว้ในโน้ตบุ๊ก แล้วเติมบางอย่างลงไปเรื่อยๆ
หม่าโฮ่วเต๋อกับเริ่นจื่อหลิงมองหน้ากันอย่างสงสัย
“ลั่วชิวทำอะไรน่ะ?” เซอร์หม่าก้มหน้าถาม
“ใครจะไปรู้ล่ะ…พูดตามจริง บางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าพูดเบาๆ
“เสร็จแล้ว พวกอามานี่สิครับ” ลั่วชิวเงยหน้าขึ้นมาทันที
หม่าโฮ่วเต๋อกับเริ่นจื่อหลิงเห็นแบบนั้น ก็รีบเดินไปด้านหลังลั่วชิว ตอนนี้ลั่วชิวขยับจอโน้ตบุ๊กเล็กน้อย แล้วชี้ไปบนตารางที่ทำไว้เรียบร้อยแล้ว “ผมลิสต์วิชาเรียนของนักเรียนทั้งห้าคนนี้แยกออกมาต่างหากแล้ว มองเห็นไฮไลท์ช่องที่สีต่างกันนี่ไหมครับ?”
เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่ช่องหนึ่งในนั้น นั่นคือวิชาเรียนของผู้ตายคนที่หนึ่ง “อาจารย์คณิต อาจารย์อังกฤษ …เอ๊ะ อาจารย์ภาษาตรงนี้ไม่เหมือนกับผู้ตายคนที่สี่และคนที่สอง?”
หม่าโฮ่วเต๋อมองแล้วพูดว่า “อืม…อาจารย์วิชาการเมืองคนนี้เคยสอนแค่ผู้ตายคนที่สาม …แต่ว่านี่มีอะไรเชื่อมโยงกันเหรอ?”
ลั่วชิวพูดด้วยหน้าตาจริงจัง “ยังไม่เจอหรือครับ? ตรงนี้ไม่มีอาจารย์สักคนที่เคยใกล้ชิดกับนักเรียนห้าคนนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างมากอาจารย์คนหนึ่งก็แค่เคยสอนนักเรียนสองคนในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเอง”
“เพราะว่าวิชาที่นักเรียนลงเรียนไม่เหมือนกัน!” เริ่นจื่อหลิงฉุกคิดได้
ลั่วชิวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วครับ ในเมื่อเงื่อนงำที่อาหม่าได้มาคือผู้ตายหลายคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ‘อาจารย์’ ที่เล่ากันละก็ สันนิษฐานได้ว่า ‘อาจารย์’ คนนี้เป็นคนเดียวกัน ปัญหาก็จะชัดเจนขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ?”
“อ้อ…ได้เธอเตือนสติซะแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าพูด “สมมุติว่าอาจารย์คนนี้เกี่ยวข้องกับนักเรียนที่ฆ่าตัวตายพวกนี้ อย่างน้อยที่สุดอาจารย์คนนี้ก็ต้องรู้จักนักเรียนพวกนี้ แต่ว่าตามที่อาสังเกตการณ์มาหลายวันนี้ อาพบว่าหลังจากอาจารย์พวกนี้สอนเสร็จแล้ว โดยปกติก็จะเลิกงานทันที…แต่ผู้ตายเป็นนักเรียนคนละห้องกัน เวลาเรียนก็ไม่เหมือนกัน แถมยังไม่เคยเจอหน้ากันอีก”
ลั่วชิวอธิบายเสียงเรียบเฉย “อาก็ลองสมมุติว่าอาจารย์ลึกลับคนนี้แยกเด็กพวกนี้ออกจากกันไปคนละห้อง เพื่อไม่ให้โจ่งแจ้งจนเกินไป…แต่อาจารย์คนนี้ก็น่าจะต้องรู้จักนักเรียนพวกนี้จริงไหมครับ?”
นักเรียนกระโดดตึกต่อเนื่องกัน เรื่องนี้จะบอกว่าไม่แปลกได้เหรอ?
“อืม…แต่ถ้าสมมุติว่าไม่มีอาจารย์สักคนที่เคยใกล้ชิดกับนักเรียนห้าห้องนี้พร้อมกันละก็…” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้ง เหมือนเขาเดินเข้าไปในทางตันอีกครั้งทันที “แล้วอาจารย์คนนี้จะเป็นใครกัน?”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้ากครั้ง “ถึงแม้จะมีอาจารย์ที่สนิทกับนักเรียนพวกนี้อยู่จริง แต่เรายังไม่สามารถยืนยันได้นะว่าอีกฝ่ายจะเกี่ยวพันกับการฆ่าตัวตายต่อเนื่องพวกนี้”
“ข่าวลือว่าอะไรครับ?” ลั่วชิวพูดถามทันที
“อาจารย์ลึกลับคนนี้สามารถทำให้คะแนนของผู้เรียนพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้ …” หม่าโฮ่วเต๋อนึกขึ้นได้ จึงเริ่มดูข้อมูลของนักเรียนที่ฆ่าตัวตายพวกนี้อย่างรีบร้อน “หลังจากเข้าเรียนที่สถาบัน…คะแนนของพวกเขาก็ดีขึ้นจริงๆ ด้วย!”
“กลับมาที่จุดเดิม” เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างจนใจ “นี่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่มีอาจารย์สักคนที่ใกล้ชิดกับนักเรียนห้าคนนี้พร้อมกัน”
“ทางตัน!” หม่าโฮ่วเต๋อพูดพลางถอนหายใจ
แต่ลั่วชิวกลับพูดทันทีว่า “สถาบันสอนพิเศษใหญ่ขนาดนี้ หรือว่าจะไม่มีคนถือข้อมูลของนักเรียนทั้งหมดเลยเหรอครับ? แม้ว่าเป็นพนักงานที่ไม่ได้สอนอยู่ในโรงเรียน ปกตินักเรียนก็จะเรียกว่าอาจารย์ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ๆๆ!” หม่าโฮ่วเต๋อรีบพยักหน้าพูด “แม้อาจารย์สอนหนังสือจะดูแลแค่ห้องของตัวเอง แต่ยังมีคนที่สามารถเห็นข้อมูลทั้งหมดได้ เช่นประชาสัมพันธ์ หรือคนดูแลข้อมูล!”
เขามองเริ่นจื่อหลิงทันที แล้วพูดโพล่งว่า “ผมว่านะพี่สะใภ้ พวกเราน่าจะสืบสวนมาผิดทางแต่แรกแล้ว!”
“อืม…อาจไม่ใช่อาจารย์ที่สอนในห้อง” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า “แต่พอเป็นแบบนี้แล้ว ขอบเขตที่ต้องหาก็ลดลงแล้ว! คนของสถาบันสอนพิเศษที่สามารถรู้ข้อมูลทั้งหมดได้ ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น!”
“ช่วยได้เยอะเลย!” หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะฮาๆ แล้วตบหลังของลั่วชิวแรงๆ “ลูกน้องอาเยอะก็จริง แต่ไม่มีใครฉุกคิดเรื่องนี้ได้สักคน! ไม่เสียแรงที่เป็นลูกพี่ชายลั่วนะเนี่ย!”
ลั่วชิวคิดว่า แม้พ่อของเขาจะยังมีชีวิต ก็อาจจะไม่ใช้ตาราง Excel แบบนี้
พ่อของเขาเป็นตำรวจรุ่นเก่า มีประสบการณ์มากมาย แต่พูดตามจริงคงไม่ถนัดเทคโนโลยีใหม่ๆ พวกนี้ล่ะมั้ง?
หม่าโฮ่วเต๋อรีบเก็บเอกสารข้อมูลทั้งหมด แล้วรีบร้อนพูดว่า “มีเบาะแสสักที! อาต้องรีบลงมือสืบซะแล้ว! วันนี้ก็แค่นี้แล้วกัน! ว่างแล้วอาจะมาอีก! ลั่วชิว!! เด็กดี! ช่วยได้มากจริงๆ เลย! เสียดายที่อาไม่มีลูกสาว ไม่อย่างนั้นจะยกให้เธอแล้ว!”
“…”
เจ้าของร้านลั่วส่ายหน้า
หลังเริ่นจื่อหลิงส่งหม่าโฮ่วเต๋อออกจากบ้านไปแล้ว ก็เดินย่องกลับเข้ามาในห้องรับแขกเงียบๆ เธอมองลั่วชิวที่กำลังก้มหน้าเก็บชุดชงชาแวบหนึ่ง ก่อนแลบลิ้นปลิ้นตา แล้วเดินไปทางห้องของตัวเองอย่างเงียบเชียบ
“หยุดตรงนั้นเลยครับ”
คาดไม่ถึงว่าเสียงของลั่วชิวดังลอยขึ้นมาโดยพลัน
เริ่นจื่อหลิงพูดตกใจ “อุ๊ย วางของไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปเก็บเอง!”
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้หวังจะให้คุณทำงานบ้านด้วยครับ” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยชา “เมื่อกี้นี้อาหม่ามองคุณแล้วพูดว่า…พวกเรา?”
“พูดด้วยเหรอ? เธอฟังผิดไปแน่ๆ เลย …เฮ้อ ก็ได้ แม่ก็มีส่วนเอี่ยวด้วย …”
สุดท้ายรองบรรณาธิการเริ่นก็เอาชนะสายตาร้ายกาจนั่นไม่ได้ จึงยอมยกธงขาว คิดจะสารภาพเพื่อลดหย่อนผ่อนผัน
…
“…ฉันแค่ไปเข้าเรียน แล้วก็สืบเรื่องบางอย่างเท่านั้นเองนะ” เริ่นจื่อหลิงนั่งตัวตรง เธอสาบาน แม้สมัยเป็นนักเรียน ก็ยังไม่เคยนั่งตัวตรงเท่านี้เลย
“ไปอาบน้ำเถอะ แล้วก็รีบนอนหน่อยนะครับ” ลั่วชิวไม่ได้ตำหนิ
เริ่นจื่อหลิงถามอย่างไม่อยากเชื่อหู “เธอ…ไม่โกรธเหรอ?”
ลั่วชิวพูดอย่างเฉยชา “ผมโกรธแล้วมีประโยชน์เหรอครับ? ไม่โกรธหรอกครับ…อยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องสนใจผม กดดันตัวเองอยู่ตลอดจะไม่ดีกับคุณนะครับ”
แม้ไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการได้…ก็คงมีสิ่งที่ต้องการสินะ …
เริ่นจื่อหลิงอึ้งชะงักทันที! ตอนแรกคิดว่าจะถูกด่าสักรอบ คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับการสนับสนุน เธอนึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วเสียอีก!
หลังรองบรรณาธิการอึ้งไปครู่หนึ่งเต็มๆ ก็เหมือนว่าเธอจะเรียกสติคืนมาได้ จึงเดินไปด้านหลังลั่วชิว ยกสองมือไปวางบนไหล่ของเขา แล้วนวดเอาอกเอาใจ “ลูกคิดถูกแล้วล่ะ น่ารักจริงๆ เลย! มา แม่ให้รางวัลลูก! เมื่อกี้ใช้สมองไปเยอะแบบนั้น จะต้องเหนื่อยแน่เลยสินะ? นวดหัวให้ไหม?”
“…ช่างผมเถอะครับ”
เริ่นจื่อหลิงได้ยินก็กัดฟัน งอนิ้วมือ แล้วก็กดบีบลงไปบนหัวลั่วชิวอย่างแรง
…
…
ตอนกลางคืน บริเวณตึกทำงานรอบด้านมืดมิด แน่นอนว่ารวมไปถึงชั้นนี้ด้วย
ชั้นที่สถาบันสอนพิเศษอยู่ก็ไม่ได้เปิดไฟเช่นเดียวกัน แต่กลับมีแสงไฟน้อยๆ เล็ดลอดออกมาจากจอคอมพิวเตอร์
ตรงนี้มีคนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาหรี่ตาลง แล้วคลี่รอยยิ้มเย็นชาออกมาน้อยๆ