สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 20 ฉันชื่อจูลี่ แต่เรียกฉันหลีจื่อก็ได้
“เซอร์หม่า นี่เป็นข้อมูลพนักงานในสถาบันสอนพิเศษที่ท่านต้องการครับ”
ถึงแม้จะบอกว่าไอ้พวกลูกหมาในที่ทำงานพวกนี้ไม่ถนัดเรื่องเอกสาร แต่พอให้ไปตรวจสอบเบื้องหลังของคนคนหนึ่งกลับทำได้เร็วมาก
นายตำรวจหนุ่มผู้น้อยกำลังมองนายตำรวจหม่าที่ยิ้มตาหยีคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“เซอร์หม่า?”
“อ้อ…ผมฟังอยู่” หม่าโฮ่วเต๋อไอแห้งๆ สองครั้ง “ลองว่ามาสิ”
“สถาบันสอนพิเศษแห่งนี้มีพนักงานทั้งหมดสิบเจ็ดคน รวมพนักงาน เจ้าของและอาจารย์เกษียณที่ได้เชิญกลับมาทำงานอีกครั้ง”
“ลองบอกข้อมูลของพนักงานพวกนี้…แล้วก็เจ้าของสถาบันให้ฟังหน่อย”
“เจ้าของชื่อไต้โหย่วไฉ อายุสี่สิบเจ็ดปีครับ เมื่อก่อนเคยดำรงตำแหน่งในกระทรวงศึกษาธิการ หลังจากลาออกมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็เริ่มทำธุรกิจ ดูเหมือนว่าธุรกิจราบรื่นมาก ปีนี้ยังไปลงทุนทำสถาบันสอนพิเศษอีกแห่งหนึ่งครับ” นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยพูดรายงาน “แต่นอกจากเข้าประชุมเป็นบางครั้งแล้ว ปกติเขาก็ไม่ค่อยมาที่สถาบันสอนพิเศษสักเท่าไร ธุรกิจโดยทั่วไปจะมอบให้สวีจ้าวผู้ช่วยส่วนตัวของเขาดูแลครับ อ้อ ผู้ช่วยคนนี้เป็นผู้จัดการสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ด้วยนะครับ”
ตั้งแต่ผู้จัดการจนถึงฝ่ายบัญชีและฝ่ายจัดซื้อ แม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่หน้าเคาน์เตอร์ ข้อมูลพวกนี้กองรวมอยู่ตรงหน้าหม่าโฮ่วเต๋ออย่างละเอียดยิบ
ในเมื่อได้ข้อมูลหน้าที่ของบุคลากรต่างๆ มาแล้ว หม่าโฮ่วเต๋อก็ระบุตัวเป้าหมายที่ควรเน้นตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว
เขาวงกลมรายชื่อของคนจำนวนหนึ่งในสมุดอย่างรวดเร็ว พลางพูดว่า “การฆ่าตัวตายของนักเรียนเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งเดือนกว่า สถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ก็เปิดมาได้เกือบสองเดือนแล้ว แต่ช่วงก่อนปิดเทอมฤดูร้อนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
เขาส่งรายชื่อที่วงไว้ให้ แล้วสั่งกำชับว่า “คนพวกนี้เพิ่งเข้ามาทำงานช่วงหลังปิดเทอมฤดูร้อน ช่วยจับตาดูว่าพวกเขาแอบไปตีสนิทกับนักเรียนในสถาบันบ้างหรือเปล่า แล้วก็เจ้าของไต้โหย่วไฉกับผู้ช่วยสวีจ้าวด้วยล่ะ”
“รับทราบครับ!”
นายตำรวจหนุ่มยืดตัวตรงรับคำ
“จริงสิ หาตัวเฉินเหมยห่วนเจอแล้วหรือยัง?” หม่าโฮ่วเต๋อถามทันที
“ยังครับ ตอนฟ้าสางพวกเราโทรศัพท์ไปถามกู้เฟิงแล้ว เขาบอกว่าเฉินเหมยห่วนยังไม่ได้กลับบ้าน และไม่ได้ติดต่อมาด้วยครับ”
“สามวันแล้วสินะ” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “เกินสี่สิบแปดชั่วโมงแล้ว…นายเรียกระดมกำลังค้นหาตามสถานที่ที่เธอน่าจะไปดูแล้วกัน”
“ครับ!”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง
หม่าโฮ่วเต๋อก็พบว่าลูกน้องคนนี้ยังยืนอยู่ที่เดิม จึงอดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
นายตำรวจหนุ่มถึงได้เปิดปากพูด “เซอร์หม่าครับ วันนี้ยังต้องทำการบ้านให้ท่านต่อหรือเปล่าครับ?”
เซอร์หม่านิ่งอึ้ง แล้วตะคอกใส่ทันที “ยังไม่ไสหัวออกไปทำงานอีก!!”
“รับทราบครับ…”
…
…
ไต้โหย่วไฉอายุสี่สิบเจ็ดปีแล้ว พูดจริงๆ แล้ว เขาก็ยังอยู่ในช่วงวัยกลางคน เพียงแต่เป็นวัยกลางคนระยะสุดท้ายเท่านั้นเอง
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังมีความทะเยอทะยานอีกมาก
ในช่วงอายุเกินสี่สิบปีมาตั้งนานแบบนี้ คงไม่มีทางไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุดของหน่วยงานได้อีก
ก่อนลาออก เขาเป็นแค่หัวหน้าต๊อกต๋อยในหน่วยงานแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่กว่าจะได้ถึงขั้นนั้นก็ต้องใช้เวลาไปสิบกว่าปีเลยทีเดียว
ทว่าคนที่ไม่มีใครหนุนหลังในหน่วยงานก็มาได้เท่านี้ เขาไม่ใช่คนหนุ่มไฟแรงที่ทำอะไรได้ราบรื่น แล้วโชคดีถีบตัวเองขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นได้
‘ในเมื่อเส้นทางนี้ไร้อนาคต งั้นก็เลือกเส้นทางอื่นไปเลยแล้วกัน’
เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปี รายได้ของเขาก็เพิ่มทวีคูณอย่างที่เมื่อก่อนไม่มีทางจินตนาการได้ ขอเพียงทำลายขนบธรรมเนียมเก่า แล้วรีบคว้าโอกาสได้อยู่หมัดละก็…
คนขับจอดรถอยู่ใต้ตึกใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันสอนพิเศษ ไต้โหย่วไฉจัดแขนเสื้อของตนเองอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงเดินลงจากรถเงยหน้ามองตึกแวบหนึ่ง
ใครบอกว่าไต้โหย่วไฉเช่าพื้นที่ทั้งชั้นในสถานที่ราคาสูงลิ่วนี้ไม่ได้? อีกทั้งตึกใหญ่ฝั่งตรงข้ามก็ยังเป็นคอนโดตกแต่งพร้อมอยู่ของเขาด้วยเหมือนกัน
“คุณไต้ คุณมาแล้ว!”
ตรงเคาน์เตอร์สถาบันสอนพิเศษ หลังจากพนักงานต้อนรับสองคนเห็นเจ้าของสถาบันมาถึงก็รีบยืนขึ้นทักทาย ไต้โหย่วไฉพยักหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “สวีจ้าวอยู่ไหม?”
“ผู้จัดการสวีอยู่ในห้องทำงานค่ะ” พนักงานต้อนรับรีบตอบ “คุณไต้ ฉันจะไปบอกเขาให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันเข้าไปเอง” ไต้โหย่วไฉโบกมือปฏิเสธเล็กน้อย
ก่อนที่เขาจะเดินไป ก็หันไปมองพนักงานต้อนรับอีกคนหนึ่ง ก่อนยกนิ้วไปแตะเบาๆ บนหน้าอกตัวเอง พนักงานต้อนรับคนนั้นนิ่งอึ้ง แล้วก้มหน้าลงไปมองทันที…ที่แท้ป้ายชื่อบนหน้าอกของเธอก็เอียงไปนี่เอง
“ครั้งหน้าระวังด้วยล่ะ”
“ฉันทราบแล้วค่ะ! ขอโทษค่ะคุณไต้ จะไม่มีครั้งหน้าอีกค่ะ”
ก็เท่านี้แหละ ไต้โหย่วไฉเอามือไพล่หลัง แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานเพียงลำพัง พนักงานต้อนรับที่เพิ่งถูกจับผิดเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่จึงถอนหายใจ แล้วพูดอย่างขลาดกลัว “พี่จ้าว งานนี้จบเห่แน่ เจ้าของต้องไม่พอใจฉันแน่นอน”
“เสี่ยวหลิว เขาเป็นคนใจดีอยู่นะ อย่าคิดมากไปเลย” พนักงานสาวที่ถูกเรียกว่าพี่จ้าวยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อ “เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวเขาก็ลืมแล้ว”
“หวังว่านะคะ” เสี่ยวหลิวส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นก็เบนสายตากลับไปมองตามทางที่ไต้โหย่วไฉเดินจากไป แล้วถึงได้พูดขึ้นว่า “แต่แววตาของเขาน่ากลัวจริงๆ นะคะ!”
“เอาล่ะ เงียบก่อน มีคนมาแน่ะ” พี่จ้าวชี้ไปที่หน้าประตู
ตอนนี้สาวน้อยสวมชุดสบายตัวคนหนึ่งกำลังด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตู
เธอมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ท่าทางปราดเปรียว ตอนนี้กำลังถือขนมกินอยู่ด้วย หลังจากเด็กสาวมองอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่ง ถึงได้ผลักประตูเดินตรงเข้ามาถามหน้าเคาน์เตอร์
“มีเรื่องให้ช่วยหรือเปล่าคะ?” พี่จ้าวเผยรอยยิ้มน้อยๆ ตามหน้าที่
เด็กสาวถึงได้ร้อง ‘อ้อ’ คำหนึ่ง แล้วพูดว่า “อืม สมัครเรียนที่นี่ได้เมื่อไรคะ? ฉันอยากสมัครสักสองสามคอร์สน่ะค่ะ”
“ได้ตลอดเวลาทำการเลยค่ะ” พี่จ้าวพูดพลางหยิบแบบฟอร์มข้อมูลออกมา พร้อมกับพูดว่า “กรอกข้อมูลชุดนี้ก่อนนะคะ”
เด็กสาวกรอกข้อมูลอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กรอกเสร็จ เมื่อส่งไปถึงมือพี่จ้าว เธอก็อ่านเช็กครู่หนึ่ง แล้วมองสาวน้อยคนนี้อีกแวบหนึ่ง ก่อนถามยิ้มๆ ว่า “คุณจูลี่ใช่ไหมคะ?”
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ” เด็กสาวยิ้มแล้วพูดว่า “แต่เรียกฉันว่าหลีจื่อก็ได้นะคะ”
“รับทราบค่ะ” พี่จ้าวพูดเบาๆ “แบบฟอร์มนี้ไม่มีปัญหาค่ะ ครั้งหน้าคุณเตรียมค่าเรียน แล้วก็บัตรประจำตัวนักเรียนของคุณมาสมัครด้วยนะคะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หลีจื่อพยักหน้า จิ้มลูกชิ้นปลาหมึกลูกสุดท้ายในถุงที่เพิ่งซื้อจากข้างทางเข้าไปในปาก แล้วถึงได้เดินออกไป
…
ตอนที่ไต้โหย่วไฉกำลังคิดจะเคาะประตูนั้น ประตูห้องทำงานก็เปิดออกเสียก่อน แล้วผู้หญิงที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งก็เดินออกมาจากข้างใน
ท่าทางเธอดูรีบร้อน ก้มหน้าก้มตากล่าวทักทายอย่างรวดเร็ว แล้วก็สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ไต้โหย่วไฉจึงขมวดคิ้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน
ในห้องทำงาน สวีจ้าวอายุประมาณสามสิบสี่สามสิบห้าปีในชุดสูทรองเท้าหนัง ก็รีบลุกขึ้นมาทันที “เถ้าแก่ มาแล้วเหรอครับ!”
ไต้โหย่วไฉกลับพูดสบถเบาๆ “ฉันให้นายมาช่วยฉันดูแลธุรกิจที่นี่ ไม่ได้ให้นายมาเจ๊าะแจ๊ะผู้หญิงที่นี่”
“เถ้าแก่…ผม ผมมีเรื่องต้องพูดกับเธอเท่านั้นเองครับ”
“พอได้แล้ว” ไต้โหย่วไฉพูดอย่างเยือกเย็น “คิดว่าฉันไม่รู้จักนิสัยนายเหรอ? ถ้าไม่ได้เห็นแก่ที่พ่อนายเคยช่วยฉันไว้ละก็ ฉันก็คงไม่เรียกใช้คนอย่างนายหรอก!”
สวีจ้าวนิ่งเงียบอย่างว่าง่าย ไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก
ไต้โหย่วไฉทิ้งตัวนั่งลง สวีจ้าวเห็นก็รีบไปรินน้ำใส่แก้วมา เขาไม่กล้านั่งลง จึงยืนถามอยู่ข้างๆ ไต้โหย่วไฉ “เถ้าแก่ ทำไมวันนี้ถึงเข้ามากะทันหันล่ะครับ? มีประชุมเหรอครับ?”
“นายเป็นผู้จัดการประสาอะไร? มีประชุมหรือเปล่า นายยังไม่รู้เลยเหรอ?” ไต้โหย่วไฉปั้นหน้าจ้องเขาเขม็งแวบหนึ่ง
สวีจ้าวก้มหน้ายิ้มเก้อ
ไต้โหย่วไฉส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วถึงบอกว่า “วันนี้ฉันนัดอาจารย์สองสามคนกินข้าว เลยแวะเข้ามานั่งสักหน่อย ถือโอกาสเยี่ยมดูที่นี่ไปด้วย แล้วก็ขอเตือนนายหน่อยนะ ฉันไปรู้ข่าวมาจากเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่สนิทกับผู้ใหญ่ในสถานีตำรวจ ตอนที่พวกเขากินข้าวกัน ได้พูดคุยกันถึงเรื่องนักเรียนห้าคนนั้น บอกว่าตั้งคดีแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจสอบกันอยู่”
สวีจ้าวถามอย่างสงสัย “ไม่ได้ฆ่าตัวตายเหรอครับ? ยังจะตั้งคดีขึ้นมาตรวจสอบอีกทำไมกัน?”
ไต้โหย่วไฉพูดเรียบเฉย “ผู้ตายเป็นคนในสถาบันของพวกเรา หรือว่านายไม่รู้?”
สวีจ้าวเอ่ยถามอย่างหวาดหวั่น “แต่…แต่นี่…เถ้าแก่ครับ หรือว่ามีใครอยากแกล้งคุณหรือเปล่าครับ? ยังไงพวกเราก็…”
ไต้โหย่วไฉจ้องสวีจ้าวอย่างดุดันแวบหนึ่ง เขาจึงรีบหุบปากทันที