สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 21 ใจหวิว
บนม้านั่งตัวยาวของสวนสาธารณะริมน้ำ เฉินเหมยห่วนกำลังเล่าเรื่องเมื่อก่อนให้ลูกชายเธอฟัง
เมื่อนานมาแล้ว หลังกินข้าวเสร็จ เธอจะพาลูกชายมาเดินเล่นที่นี่ เพื่อดูวิวยาวค่ำคืนของเมืองนี้
แน่นอน ช่วงเวลานั้นกู้เฟิงก็อยู่ข้างกายเธอตลอด
ถึงแม้เธอจะไม่อยากพูดเรื่องของผู้ชายคนนี้อีก แต่ที่น่าขำก็คือ พอย้อนคิดถึงช่วงนั้นแล้ว กลับเป็นช่วงเวลาครอบครัวที่มีความสุขมากที่สุดหลังจากเธอแต่งงานใหม่อีกครั้ง
แต่ลมแรงกว่าที่คิดไว้ไปบ้าง หมวกกันแดดที่เฉินเหมยห่วนใส่ไว้ปิดบังใบหน้าตัวเองก็ถูกลมพัดไปไกลทันที
“ลูกรอแม่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ” เฉินเหมยห่วนพูดพลางลุกขึ้น
แล้วด็กหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่บนม้านั่งยาวตัวนี้ก็พยักหน้า เขายังนิ่งเงียบ แต่เริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้บ้างแล้ว
เขาสามารถเข้าใจความหมายที่เธอพูด นี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ?
นาทีที่เฉินเหมยห่วนเพิ่งเดินจากไปนี้เอง ที่นั่งว่างบนม้านั่งก็มีคนหนึ่งมานั่งแทน …คนที่เหมือนไร้ตัวตน
เจ้าของสมาคมนั่นเอง
“คุณคิดอะไรอยู่ครับ?” เจ้าของสมาคมเหมือนพูดกับตัวเอง พร้อมกับมองวิวแม่น้ำด้านหน้า
แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มที่นั่งตรงนี้ไม่สามารถตอบโต้คำพูดของใครได้ทั้งนั้น แต่เจ้าของสมาคมก็ไม่ได้เค้นถามต่อ
ลั่วชิวคิดอยากจะรับรู้ความคิดในใจของเขา โดยการมองตามสายตาของเขาไป ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจกว่าใครก็ตามว่า เด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่คนจริงๆ ด้วยซ้ำ
เขาตกลงมาจากตึกสูง ถูกส่งไปยังห้องเก็บศพเป็นเวลานานมากแล้ว
ถึงแม้จะเป็นคำขอร้องของเฉินเหมยห่วน แต่สิ่งที่เธอพอจะจ่ายได้ก็แค่ทำให้เขาตอบสนองผ่านร่างกายได้เท่านั้น อาจมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็เล็กน้อยมาก
“ยังมีห่วงอยู่ไหมครับ …หรือเกลียดแม่คุณหรือเปล่า?”
ลั่วชิวเพ่งมองเขาแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าเปลือกตาของเขาขยับเล็กน้อย …ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบของเขาหรือเปล่า
แต่ลั่วชิวก็พยักหน้า พร้อมกับยืนขึ้น ด้วยเพราะต้องการจากไปแล้ว
เฉินเหมยห่วนเก็บหมวกแล้วก็กลับมา ส่วนเขาก็แค่ผ่านมาดูคนที่ควรตายไปแล้วเท่านั้น
เฉินเหมยห่วนมองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ ลูกชายของเธอ เธอที่รีบเดินกลับมาก็แหงนหน้ามองสีของท้องฟ้า ก่อนดึงลูกชายให้ลุกขึ้นมา และเตรียมจะจากไปเช่นกัน
ลั่วชิวมองดูเงาเบื้องหลังแม่ลูกนี้จากไปไกลอยู่เงียบๆ แล้วเขาที่เอามือไพล่หลังไว้ก็มองไปยังอีกมุมหนึ่งทันที ที่นั่นมีสายตาคู่หนึ่งกำลังดูเบื้องหลังของแม่ลูกคู่นี้อยู่เงียบๆ เหมือนกัน
ใส่ผ้าปิดปากกับหมวก แล้วยังมีแว่นตาดำ จึงมองหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดนัก แต่รู้ได้ว่าเขากำลังตามหลังเฉินเหมยห่วนไปอย่างเงียบเชียบ
เขาก้มหน้าลง ท่าทางมีพิรุธ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่?
พอรู้ว่าคนที่ท่าทางน่าสงสัยคนนี้จากไปแล้ว เจ้าของสมาคมถึงได้กลับตัวเดินหายไปในคลื่นฝูงชน…ส่วนมีใครรู้ว่าเขาเคยมาที่นี่หรือเปล่า?
คำตอบคือ ‘ไม่มี’
…
…
หลีจื่อยู่ปากวางดินสอไว้ระหว่างริมฝีปากกับจมูก ทำให้ดินสอจัดสมดุลได้อย่างดี นี่เป็นของเล่นเพียงอย่างเดียวให้เธอฆ่าเวลาในห้องเรียนแสนน่าเบื่อแบบนี้ได้
ไม่อย่างนั้น เธอคิดว่าตัวเธอคงต้องฟุบหลับไปบนโต๊ะแล้วแน่ๆ ยังไงนั่งเบื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นน่าสนใจเท่าการได้กินอาหารชั้นเลิศเลยด้วยซ้ำ
ความจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่ภารกิจที่พี่เริ่นมอบหมายให้ทำ หลีจื่อก็ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าตัวเองจะมานั่งอยู่ในห้องเรียนแบบนี้ได้ ครั้งล่าสุดเหมือนจะเป็นเมื่อปีโชวะที่สามสิบเอ็ดล่ะมั้ง?
“ผ่านไปหกสิบปีแล้วเหรอเนี่ย?”
หลีจื่อกำลังปลงว่าเวลาผ่านไปไวจริงๆ
แต่ถึงแม้ว่าการเข้าเรียนแบบนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อที่สุด แต่เธอก็แอบสนใจเบื้องหลังของเรื่องนี้เหมือนกัน
แผนของพี่เริ่นปรึกษากับหม่าโฮ่วเต๋อเป็นเรื่องง่ายมาก
ถึงแม้จะลดขอบเขตของอาจารย์ผู้ลึกลับคนนี้ได้แล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ลงมือบ้างเลย อย่างนั้นก็ต้องเริ่มคิดหนักแล้ว แน่นอนว่าหม่าโฮ่วเต๋อไม่คิดจะล้มเลิกการสืบหาผู้ต้องสงสัยเลย แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็วางแผนเป็นฝ่ายรุกล่อเสือออกจากถ้ำ
ดูจากผู้ตายทั้งห้าคนแล้ว เป็นนักเรียนมัธยมปลายทั้งสิ้น เกรงว่าเริ่นจื่อหลิงกับหม่าโฮ่วเต๋อที่อยู่ในคลาสเรียนของผู้ใหญ่คงจะดึงดูดความสนใจของ ‘อาจารย์’ คนนี้ได้ยาก
แต่การล่อเสือออกจากถ้ำก็ต้องการเหยื่อล่ออยู่ดี
ดังนั้นหลีจื่อที่หน้าเด็ก ดูอย่างไรก็ดูไม่เหมือนอายุยี่สิบสามปีตามบัตรประชาชน ก็ดึงดูดความสนใจของเริ่นจื่อหลิง
ส่วนเรื่องนี้จะมีอันตรายหรือเปล่านั้น?
พอเริ่นจื่อหลิงคิดหน้าคิดหลังแล้ว ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากทางหม่าโฮ่วเต๋อ เธอก็คาดการณ์ว่าอาจารย์ลึกลับของสถาบันสอนพิเศษคนนี้จะไม่เจอหน้านักเรียนตรงๆ แต่จะติดต่ออีกฝ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ไม่อย่างนั้นมีอย่างที่ไหนที่นักเรียนจะไม่รู้จักหน้าค่าตาที่แท้จริงของอาจารย์ ‘ลึกลับ’ คนนี้
ดังนั้น ถ้ามีข้อความแปลกๆ ส่งมาที่โทรศัพท์ของหลีจื่อปุ๊บ ก็จะแจ้งตำรวจทันที แล้วหลังจากนั้นทางฝั่งตำรวจก็จะรับช่วงติดต่อกับ ‘อาจารย์’ ลึกลับคนนี้เอง
แน่นอนว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของหลีจื่อให้ได้มากที่สุด จึงจัดตำรวจนอกเครื่องแบบมาคุ้มกันหลีจื่อที่นี่อีกสองนาย
“ความจริงไม่ต้องคุ้มกันก็ได้นะ”
หลีจื่อแอบคิดเงียบๆ …เธอไม่คิดเลยว่าคนธรรมดาจะทำอะไรเธอได้ แต่แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธความหวังดี
“อย่างที่คิดไว้เลย ทำงานกันพี่เริ่นมีแต่เรื่องสนุกทั้งนั้นเลย”
หลีจื่อเริ่มรอคอยขึ้นมาบ้างแล้ว อาจารย์ลึกลับคนนี้เป็นใครกันแน่ …แล้วจะอร่อยไหม?
แต่หลังจากเชื่อมโยงสถานการณ์และภูมิหลังของผู้ตาย จนกระทั่งปลอมแปลงข้อมูลของหลีจื่อเข้ามาเรียนที่นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้ว แต่กลับไม่พบลาดเลาอะไรเลย
“น่าเบื่อจังเลย…” หลีจื่อท้าวคางพึมพำ หาวหวอดไปครั้งหนึ่ง ก่อนหนีไปแอบกินขนมอยู่ในห้องน้ำ
แล้วก็มีเด็กสาวสองคนเดินเข้ามาที่นี่อีก หลีจื่อไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็ยังเงี่ยหูฟังหัวข้อสนทนาที่เด็กสาวสองคนนี้ถกกันอย่างเบื่อหน่าย …เรื่องพวกเสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ
เธอพบว่านักเรียนที่นี่เป็นประเภทได้เงินค่าขนมเยอะ …กระเป๋าที่พวกเธอใช้ก็เป็นแบรนด์เนมทั้งนั้น บางคนยังใส่เครื่องประดับราคาแพง ส่วนหลังเลิกเรียน เด็กหนุ่มก็มักจะถกกันเรื่องค่าใช้จ่ายเงินสูงลิ่ว
“สี่พันห้าน่ะ…แพงเกินไป ฉันซื้อไม่ไหวหรอก เดือนนี้ใกล้จะกินแกลบแล้ว!”
“ไปขอให้อาจารย์สวีช่วยอีกไหมล่ะ?”
ทันใดนั้นเนื้อหาสนทนาก็ดูแปลกไป …หลีจื่อพลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแหม่งๆ อาจารย์สวีคนนั้นคงเป็นผู้จัดการสวีจ้าวของสถาบันที่มีเรื่องชู้สาวไปทั่วสินะ?
ทั้งสถาบันสอนพิเศษก็มีเขาที่แซ่สวีคนเดียว
แต่ซื้อไม่ไหว …เงินไม่พอ…ไปหาสวีจ้าว?
ฉับพลันการแลกเปลี่ยนผิดศีลธรรมก็ลอยเข้ามาในหัวของหลีจื่อ
“คงไม่ได้แอบกินตับนักเรียนด้วยหรอกนะ?”
หลีจื่อแอบดูถูกเล็กน้อย ย้อนนึกถึงท่าทีของเจ้านั่นในชุดสูทบนระเบียงทางเดินตลอดสามวันมานี้ …หมอนั่นมันเลวจริงๆ
แต่ว่าเด็กสาวสองคนนี้ใช้คำว่า ‘อีกครั้ง’ แสดงว่าคงเคยพบปะกันมาก่อนแล้วสินะ?
คนที่ยินดีกระโดดลงมาเอง
หลีจื่อส่ายหัว แล้วไม่สนใจฟังอีก แต่เด็กสาวที่บอกว่ากินแกลบเมื่อกี้กลับถามว่า “นี่…เธอไม่กลัวเลยเหรอ?”
“เธอหมายถึง …เรื่องที่หลายคนกระโดดตึก?” เสียงเด็กสาวอีกคนพลันทุ้มต่ำลงเล็กน้อย
“ใช่น่ะสิ…พวกเขาก็มีส่วนร่วมด้วยนี่ เธอว่า…”
“คงไม่ใช่หรอกมั้ง …”
“ยังไงฉันก็ไม่อยากทำแล้ว ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด …”
พวกเธอคิดจะพูดอะไรอีก แต่ก็หยุดบทสนทนาไปทันที ตอนนี้มีคนเดินมาเข้าห้องน้ำอีกแล้ว หลีจื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงปิดประตู แต่ไม่ได้ยินเสียงของผู้หญิงสองคนนี้แล้ว
หลีจื่อขมวดคิ้ว ยัดของว่างเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วล้วงโทรศัพท์ออกมา “ฮัลโหลๆ พี่เริ่น ทางนี้เหมือนมีเรื่องบางอย่าง คืออย่างนี้นะ เมื่อกี้…”
…
เฮยสุ่ยหิ้วถุงขนาดใหญ่ใบหนึ่งกลับมาในโรงแรมอีกแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณลุงเจ้าของโรงแรมเห็นหญิงสาวบอบบางคนนี้หิ้วของเยอะขนาดนี้
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าหิ้วด้วยท่าทางสบายมาก
โดยทั่วไปแล้ว เฮยสุ่ยจะไม่หยุดคุยกับใคร แต่วันนี้เธอกลับเดินไปหน้าเคาน์เตอร์อย่างผิดวิสัยอยู่บ้าง คุณลุงจึงประหลาดใจทันที
แต่เฮยสุ่ยกลับถามอย่างเฉยชาว่า “แม่ลูกชั้นสามคู่นั้นเช็กเอาท์หรือยัง?”
“อ้อ ครับ เพิ่งเช็กเอาท์วันนี้ …ทำไมครับ คุณเฮยสุ่ยมีธุระกับคุณผู้หญิงคนนั้นหรือครับ?” คุณลุงพยายามชวนคุย
เฮยสุ่ยแค่พยักหน้า แล้วเดินขึ้นบันไดไป …ก็ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่ากลิ่นศพที่นี่ดูจางลงมากแล้ว
ดูท่าเฉินเหมยห่วนคงไม่คิดจะมาหาเธอล่ะมั้ง?
เฮยสุ่ยเปิดประตูห้อง หมูที่ปากตะกละมากที่สุดในบรรดาปีศาจน้อยก็พุ่งเข้ามาหา…ถุงของเธอทันที เฮยสุ่ยยิ้ม พร้อมกับเริ่มแบ่งอาหารให้เด็กๆ พวกนี้
เฮยสุ่ยมองดูท่าทางไร้เดียงสาของเด็กๆ แล้วก็นึกไปถึงวันหนึ่งที่เด็กๆ พวกนี้จากเธอไปแม้เพียงตัวเดียว เธอก็คงไม่ต่างจากเฉินเหมยห่วนเท่าไรล่ะมั้ง
นาทีที่คิดไม่ตกนั้น เฮยสุ่ยก็เรียกสติคืนมาทันที …เธอตามเฉินเหมยห่วนมาช่วงหนึ่งแล้ว จึงยืนยันได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
คนธรรมดาไม่มีทางฟื้นชีพคนตายให้อยู่ในสภาพแบบนี้ได้ …ส่วนการกลั่นศพโดยทั่วไปแล้ว เป็นการดื้อรั้นของพวกทางเซียงซี* แต่ด้วยการสืบทอดของพวกเขามาสู่ยุคปัจจุบัน ดูจากเทคนิคที่เหลือเพียงผิวเผินแล้ว อยากจะทำให้มีสภาพประหลาดแบบนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้
“คงไม่ใช่…”
เธอนึกถึงร้านลึกลับที่เดินทางไปทั่วโลกร้านนั้นทันที รวมถึงเจ้าของร้านที่เจอหน้ากันเพียงครั้งเดียวด้วย
ถ้าเป็นสถานที่ที่เรียกขานกันว่าหาซื้อได้ทุกอย่างแล้วละก็ …เรื่องลูกชายของ เฉินเหมยห่วนก็ไม่แปลกอีกแล้ว!
“พี่เฮยสุ่ย ไม่กินเหรอ?”
ปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิงเดินมาข้างๆ เฮยสุ่ย แล้วเบิกตากลมสีแดงพูดถามว่า “พี่คิดอะไรอีกแล้วเหรอ?”
เฮยสุ่ยก้มหน้า พลางลูบหัวของหลิงหลิง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “พี่จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเธอได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย …และจะไม่ยอมแยกจากพวกเธอด้วย”
รวมถึงจะไม่ไปเหยียบสถานที่แห่งนั้น …และพบเจอเจ้าของร้านคนนั้นอีก
*เซียงซี ชื่อเมืองในมณฑลหูหนานของจีน