สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 26 เพียงลำพัง
ไท่อินจื่อยืนเงียบๆ อยู่ในห้องโถงสมาคม เขากำลังมองเจ้าของสมาคมหรือก็คือนายท่านในอนาคตอีกหลายร้อยปีของเขากำลังขยับแผ่นทองสัมฤทธิ์อันใหม่เล่น เขามีไหวพริบมากพอที่จะไม่ส่งเสียงดังแม้เพียงนิดเดียว
หลังจากลั่วชิวเล่นไปเกือบสิบนาที เขาก็หยุดมือ
“ไท่อินจื่อ ครั้งนี้นายทำได้ดีมาก ถึงจะสะเพร่าไปหน่อย แต่ผลลัพธ์ก็ดีมากทีเดียว”
ไท่อินจื่อรีบถ่อมตนขึ้นมาทันที…นับตั้งแต่เป็นภูตดำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมเชยจากนายท่านต่อหน้าแบบนี้
เขาจึงดีใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี
ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองจะไม่มีที่ยืนในสมาคมแห่งนี้แล้ว ขนาดสถานะของนังหญิงแพศยาฉินชูอวี่ก็ดูเหมือนจะสูงกว่าเขาอีก
ความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับนั้น ทำให้ไท่อินจื่ออดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่เขาเคยได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ต่อหน้าศิษย์พี่ศิษย์น้องมากมาย ตอนที่เขาเข้ามาหุบเขาช่วงแรกๆ เมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อน
บ้าไปแล้ว…หากไม่นับห้าร้อยปีที่ถูกจองจำ ตอนนั้นเขาก็นับเป็นคนบำเพ็ญเพียรมาหกสิบปีได้แล้ว จะมีจิตใจหลงใหลในสิ่งสมมติได้ที่ไหนล่ะ?
‘รีบเยินยอข้าเยอะๆ สิ!’
“นายท่าน! เมื่อนึกย้อนถึงความทุกข์ทรมานที่ผ่านมาระยะนี้แล้ว ข้าได้เข้าใจข้อบกพร่องของตนเองอย่างลึกซึ้งแล้ว นับตั้งแต่นี้ไป ข้าจะขยันให้มากขึ้นแน่นอนขอรับ จะอุทิศทุ่มเทเพื่อกิจการของสมาคม จะไม่ทรยศต่อความไว้วางใจและความคาดหวังของนายท่านเลยขอรับ!”
“อ้อ…ก็ดี” ลั่วชิวจ้องผีเฒ่าตนนี้แวบหนึ่ง
จะว่ายังไงดีล่ะ
ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเหมือนกัน…แต่เพียงเพื่อศึกษาขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของภูตดำ แล้วบังเอิญว่าภูตดำอย่างนายดันมาอยู่ข้างๆ ตัวพอดี
“อืม ฉันจะรอดูแล้วกัน” เจ้าของร้านลั่วพยักหน้า
ไท่อินจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหันไปคำนับคุณสาวใช้อย่างสุดซึ้ง พลางพูดด้วยความเคารพว่า “ขอบคุณคุณโยวเย่เป็นอย่างยิ่งขอรับ สำหรับคำแนะนำตลอดเวลาที่ผ่านมา ไท่อินจื่อจะจดจำไว้ในใจแน่นอนขอรับ!”
โยวเย่ตกใจหน้าเหวอไปเล็กน้อย แต่เธอก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางๆ โดยพลัน แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“นายท่าน ข้าจะรีบออกไปหาลูกค้าเดี๋ยวนี้! ครั้งหน้าจะต้องทำให้ท่านพอใจแน่ขอรับ!”
“ไปเถอะ” ลั่วชิวโบกมือ
ไท่อินจื่อกลายร่างเป็นควันสีดำกลุ่มหนึ่งลอยวนออกห้องโถงสมาคมไป ในตอนนี้กลับเห็นฉินชูอวี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แล้วพูดอย่างนิ่งสงบว่า “สันดานทรยศ มิอาจทำการใหญ่ได้”
พอพูดจบ นักพรตหญิงที่รู้จักแต่นั่งสมาธิตลอดทั้งวันคนนี้ ก็หลับตาลงไปอีกครั้ง
ลั่วชิวบังเอิญได้ยินคำพูดของเธอเข้า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก…ไท่อินจื่อจะทรยศจริงหรือไม่นั้น เดิมทีก็ไม่ได้สำคัญกับสมาคมเลย
เขาจะทรยศหรือไม่ ก็อยู่ในสายตาของลั่วชิวตลอดเหมือนกัน
“ตอนเย็นไม่ต้องทำอาหารให้ฉันแล้วนะ” ลั่วชิวส่งแผ่นสัมฤทธิ์ไปไว้ในมือโยวเย่ ให้เธอเอาไปเก็บไว้ในห้องใต้ดินชั้นหนึ่งชั่วคราวก่อน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ตอนกลางคืนฉันต้องไปทักทายแขกสักหน่อย”
…
…
แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงแขกของสมาคม แต่เป็นแขกของครอบครัวที่มีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น
แขกที่ว่าก็คือหลีจื่อ
เริ่นจื่อหลิงบอกว่า จะเชิญหลีจื่อมากินข้าวที่บ้านสักมื้อ
เริ่นจื่อหลิงเลี้ยงอาหารมื้อนี้เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของหลีจื่อในครั้งนี้
เริ่นจื่อหลิงชูแก้วไวน์ขึ้นบนโต๊ะอาหาร “เพื่อกำจัดเรื่องโสมมที่อยู่เบื้องหลังสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ ขุดรากถอนโคนเนื้อร้ายในสังคม ชนแก้ว~!”
ลั่วชิวไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้มานานมากแล้ว
ครั้งล่าสุดดูเหมือนจะเป็นเมื่อนานมาหลายปีแล้ว
ตอนนั้น เธอมักจะดีอกดีใจแบบนี้ทุกครั้งที่พ่อของเขาจับผู้ต้องหามาได้สักคน หรือไปต่อสู้กับความคนชั่วอะไรมา
“อืม แน่นอนค่ะ” หลีจื่อพยักหน้าหงึกๆ ในปากยัดเนื้อปลาดอลลี่ที่เพิ่งทอดเสร็จเข้าไปคำโต แต่เวลาพูดกลับยังพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ “แต่น่าเสียดาย สุดท้ายพวกเราก็ยังสืบเรื่องนักเรียนตกตึกไม่ได้เลย”
เริ่นจื่อหลิงเองก็พูดอย่างเสียดายว่า “จริงสิ สถาบันสอนพิเศษปิดทำการแล้ว อาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังคงซ่อนตัวได้อีกช่วงหนึ่งเลยสินะ”
“นายตำรวจหม่ากำลังตรวจสอบอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? คงหนีพ้นยากนะคะ ยังไงคนชั่วก็คงลอยนวลได้ไม่นานหรอกค่ะ” หลีจื่อพูดปลอบ
“ที่พูดมาก็จริง” เริ่นจื่อหลิงทำใจให้สงบลง “วันนี้ต้องฉลองสิ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเรามาคุยเรื่องสนุกกันดีกว่า! เจ้าเด็กนี่ เธอยังจำหลี่ว์อีอวิ๋นได้ไหม?”
“เด็กสาวในหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์ใช่ไหมครับ?” ลั่วชิวนิ่งอึ้ง
“ใช่แล้ว!” เริ่นจื่อหลิงยิ้มแล้วพูดต่อ “วันนี้เด็กคนนั้นส่งจดหมายมาให้ฉันฉบับหนึ่ง เธอบอกว่าสัปดาห์หน้าจะมาเข้าเรียนในเมืองของพวกเรา!”
“งั้นเหรอครับ” ลั่วชิวพยักหน้า แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เยี่ยมไปเลย”
“จริงสิ หวังว่าเธอจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้นะ!” เริ่นจื่อหลิงหมุนแก้วไวน์ในมือไปมาแล้วพูดอีกว่า “เธอเรียนมหา’ลัยเดียวกับลูกพอดีเลยด้วย! ฉันรับปากไปแล้วล่ะ รอเธอมาจะเลี้ยงต้อนรับเธออย่างดีเลย จริงสิ ไม่ว่ายังไงเธอก็ถือเป็นรุ่นน้องของลูกแล้วนะ เรื่องให้คำแนะนำเธอเล็กน้อย ลูกคงไม่ปฏิเสธหรอกใช่ไหม?”
ลั่วชิว…เจ้าของร้านลั่วลาออกจากมหา’ลัยมาสักพักแล้ว
เขาแค่ไม่เคยพูดออกมาก็เท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องตัวเองลาออกจากมหาวิทยาลัย ลั่วชิวจึงพยักหน้า รับปากตามน้ำไป…คิดแล้วเด็กสาวคนนั้นก็คงจะไม่พูดมากเช่นกัน
“ทำไมรับปากเร็วขนาดนี้?” เริ่นจื่อหลิงนิ่งอึ้ง “ฉันยังคิดว่าจะหงุดหงิดรำคาญ แล้วก็ปฏิเสธตรงๆ ซะอีก อุตส่าห์เตรียมคำพูดไว้เยอะเลยนะเนี่ย!”
“อืม…งั้นผมปฏิเสธแล้วกัน”
“….บ้าหรือเปล่า!! อยากตายเรอะ เห็นแก่หน้ากันบ้างไม่ได้หรือไง อยากโดนตีต่อหน้าแขกเหรอฮะ!!”
“กินข้าวกันเถอะครับ” ลั่วชิวขี้เกียจจะใส่ใจแล้ว จึงคีบกับข้าวใส่จานให้เริ่นจื่อหลิง
“ขอบใจ!” เริ่นจื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าพอใจ
นี่คือครอบครัวใช่ไหม?
หลีจื่อฟังสองคนนี้พูดคุยกัน ฉับพลันนั้น ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เธอไม่อาจเข้าใจได้กำลังแผ่กระจายอยู่บนโต๊ะอาหารนี้
จนเธอทำตัวไม่ถูกไปทันที
“หลีจื่อ ทำไมหยุดซะล่ะ ปกติเธอชอบกินมากไม่ใช่เหรอ? เป็นอะไรไป ไม่ถูกปากเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงมองแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลีจื่อรีบโบกไม้โบกมือพูดว่า “ไม่ใช่นะคะ! พี่เริ่น กับข้าวของลั่วชิวอร่อยไม่มีที่ติเลย หลายปีมานี้ ฉันเคยลิ้มรสชาติแบบนี้อยู่ไม่กี่ครั้งหรอกค่ะ…ฉันก็แค่ไม่อยากให้หมดเร็วๆ เท่านั้นเอง”
“รสชาติ?” เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างงงงันว่า “รสชาติเป็นยังไงเหรอ?”
หลีจื่อประคองชามข้าวในมือขึ้นมา ด้วยแววตาราวกับกำลังหวนรำลึก แล้วพูดขี้นเบาๆ ว่า “รสชาติที่กินแล้วรู้สึกอุ่นขึ้นมาไงคะ”
“นี่…” เริ่นจื่อหลิงอึ้งไป เธอกินเข้าไปคำหนึ่ง พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดขึ้นว่า “เพราะใส่พริกหรือเปล่า?”
หลีจื่อกลับหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล
“ประสาทไปแล้วแน่ๆ เลย” เริ่นจื่อหลิงส่ายหัว พลางพูดโพล่งขึ้นมาว่า “ชอบก็กินเยอะๆ สิ ว่างๆ ก็มากินข้าวด้วยกันได้นะ ยังไงเธอก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้มีญาติพี่น้องที่ไหนอยู่เมืองนี้เหมือนกัน ไม่ต้องเกรงใจไป ถือว่าฉันเป็นคนในครอบครัวเธอก็แล้วกัน!”
หลีจื่อพยักหน้าเบาๆ
แต่เธอรู้ว่า เธอคงจะไม่ได้มาบ่อยนัก
“บ้านเกิดของหลีจื่ออยู่ที่ไหนเหรอครับ?” จู่ๆ ลั่วชิวก็ถามขึ้นมา
หลีจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบเบาๆ ว่า “อยู่ในที่ที่หิมะตกบ่อยๆ และหนาวเย็นมากน่ะค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงถามด้วยสงสัยว่า “หลีจื่อ ฉันจำได้ว่าในเรซูเม่ของเธอเขียนไว้ว่าเกิดที่ไห่หนานไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นแค่สำมะโนครัวเฉยๆ ค่ะ” หลีจื่อส่ายหัว กะพริบตาแล้วพูดว่า “แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่ฉันโตมาค่ะ…ถ้ามีโอกาสละก็ ฉันจะบอกพวกพี่นะคะ”
“ที่ไหนเหรอ? ลึกลับขนาดนั้นเชียว?”
หลีจื่อเพียงตอบเบาๆ ว่า “ลึกลับแล้วไม่ดีหรือคะ? ดูลึกลับหน่อย พวกพี่จะได้จำฉันขึ้นใจไงคะ”
“พูดบ้าบออะไรกันเนี่ย? พูดอย่างกับว่าเธอจะหายไปเร็วๆ นี้งั้นแหละ” เริ่นจื่อหลิงส่ายหัวพลางพูดว่า “เอาล่ะ ไม่บอกก็ไม่บอก กินข้าวกันเถอะ!”
หลีจื่ขานรับไปคำหนึ่ง
…
…
นี่เป็นมื้อเย็นที่ยาวนานมากมื้อหนึ่ง
ตอนหลีจื่อกลับไป เธอปฏิเสธไม่ให้เริ่นจื่อหลิงส่งเธอกลับ แล้วจึงเดินกลับลงไปคนเดียว…ยังไงเธอก็ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมานานมากแล้ว
กินข้าวคนเดียวเพียงลำพัง นอนเพียงลำพัง พักอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ เพียงลำพัง และก็อยู่คนเดียวเพียงลำพังได้ หากไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่ออกไปไหนเลยครึ่งเดือน…แต่ก็ไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเกินไป
สุดท้ายเธอก็หันกลับไปมองชั้นที่เริ่นจื่อหลิงพังอยู่ครู่หนึ่ง มองแสงไฟที่อบอุ่นท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีที่หนาวเย็นขึ้นเพราะฝนตก แล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “งั้น…อยู่ต่ออีกหน่อยดีไหมนะ?”
จู่ๆ เธอก็คลี่ยิ้มน้อยๆ พร้อมกับล้วงอมยิ้มรสส้มแท่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยัดเข้าไปในปาก จากนั้นก็กางแขนออกสองข้างทรงตัว แล้วเดินตามเส้นสีขาวบนถนนเพียงลำพัง
ฮัมเพลงเป็นจังหวะที่ไม่มีใครรู้จัก
ทันใดนั้นเธอก็เขย่งปลายเท้ากระโดดไปหลายก้าว เหมือนเด็กที่กำลังเล่นเกมโดดเครื่องบิน
เธอคิดว่า น่าจะไม่ค่อยมีใครยังเธอได้แล้วล่ะมั้ง
เธอก็ยังตัวคนเดียว
เธอคือหลีจื่อ หลีจื่อที่อยู่บนโลกใบนี้มาหนึ่งร้อยเก้าสิบเจ็ดปีแล้ว