สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 เจ้าของร้านลั่วผู้มีเหตุมีผล
เสียงหายใจหอบ เสียงหัวใจเต้น แม้กระทั่งเสียงฝีเท้าของตัวเอง เหมือนจะเด่นชัดในความเงียบสงัดตอนนี้
นอกจากนั้น
นอกจากนั้น เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูเหล็กของหลังคา
เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี
เวลานี้ระยะโฟกัสของเขาเหมือนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ จนเขาเห็นเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเล็กหน่อยเท่านั้น ส่วนรอบข้างกลับเห็นเพียงเลือนราง
วินาทีที่เขาเปิดประตูเหล็กบานนี้ ลมจากด้านบนตึกสูงก็ปะทะร่างของเขา พัดแรงจนชุดแนบไปกับลำตัว
ตอนนี้เขาหอบหายใจ หัวใจเต้นระรัว ทว่าไม่ได้มาจากการเดินขึ้นบันไดแต่อย่างใด
ถึงแม้เขาแอบกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังกัดฟันเดินไปตามรั้วกำแพงของตึกทีละก้าว เหมือนกับถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่เขากำลังปีนกำแพงรั้วนี้ไป เสียงหายใจของเขาก็เริ่มถี่รัวขึ้นเล็กน้อย เพราะอีกฝั่งของรั้วเป็นเพียงพื้นที่โล่งกว้าง
ข้างล่างก็คือถนนที่สูงไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร แต่ถึงอย่างนั้นตึกหลังนี้ก็ไม่ได้สูงที่สุดในย่านนี้
เขาปีนรั้วนี้มาด้วยขาทั้งสองอันสั่นเทา ด้วยเพราะพื้นที่ให้เขาเหยียบตอนนี้มีเพียงขอบชายคาที่กว้างไม่ถึงครึ่งฝ่าเท้าด้วยซ้ำ
มือทั้งสองของเขายังคงจับกำแพงรั้วไว้แน่น ทุกตารางนิ้วบนแผ่นหลังเขาแนบสนิทกับรั้วกำแพง แต่แล้วเขาก็เหลือบมองใต้เท้าตัวเองแวบหนึ่ง
ฉับพลันนั้นเขาก็วิงเวียนคล้ายจะวูบ จนต้องหลับตาลงตามสัญชาตญาณ
เขารู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าหมุนติ้วไปหมด จึงซวนเซไปเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกใหญ่หลายครั้ง ก่อนตะโกนเสียงดัง …และค่อยๆ ปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากราว
แต่ขณะที่เขากำลังเผชิญหน้ากับความตาย ก็มีภาพสามคนพ่อแม่ลูกกำลังนั่งกินข้าวกันผ่านแวบเข้ามาในหัว
เด็กหนุ่มจึงหมุนตัวกลับทันที เขาข้ามรั้วกลับเข้าไปอีกครั้งอย่างลนลานและงุ่มง่าม จนกระทั่งถึงบริเวณที่ปลอดภัย
แล้วเขาก็พิงกำแพงด้วยใบหน้าซีดขาว ค่อยๆ ไถลตัวลงมานั่งด้วยดวงตาเหม่อลอย ฉับพลันก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
จึงได้แต่นั่งขดตัวอยู่ตรงนั้น
แต่วันนี้ยังไม่ผ่านไป…และก็ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไรแล้ว เขาควักโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า แล้วเริ่มพิมพ์ตัวอักษรลงไป [ผม…ผมแพ้แล้ว ผมทำไม่ได้ ขอโทษ]
ก่อนกดปุ่มส่งไป
…
…
“ขอโทษขอรับ! คุณโยวเย่! ข้าน้อยสมควรตาย! แม้นข้าน้อยบำเพ็ญเพียรมาเป็นร้อยปี และคิดใคร่ครวญอยู่ในตราหยกขาวถึงห้าร้อยปี แต่กลับไม่รู้แจ้งในเจ็ดความรู้สึกหกความปรารถนาได้ ปล่อยให้ความคิดครอบงำตัวเองจนทำเรื่องน่าละอายใจเช่นนี้…ได้โปรด ละเว้นข้าได้หรือไม่?”
ตามหลักแล้วภูตดำสามารถแปลงร่างเป็นควันดำและหลีกหนีไปได้ แต่วันนี้ไท่อินจื่อกลับขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
และไม่รู้ว่าสิ่งที่มัดเขาอยู่นี้เป็นอะไรกันแน่
“ไท่อินจื่อ นายบอกว่าอยากให้ฉันลงโทษเองไม่ใช่เหรอ?” คุณสาวใช้ไม่แม้แต่ปรายตามอง เพียงแค่ก้มหน้าเช็ดแก้วของเจ้าของร้านลั่วบนเคาน์เตอร์อย่างละเมียดละไม
“ข้าน้อยพูดจริง…” ไท่อินจื่อหยุดพูด ได้แต่ถอนหายใจแบบจำยอม
สายตากังวลของเขาเล็งไปทางฉินชูอวี่ที่หลับตานิ่งอยู่ตรงมุมห้องเงียบๆ คำพังเพยว่าไว้ว่า ‘ยิ่งเห็นหน้าศัตรู ก็ยิ่งโกรธแค้นฝังใจ’ พอนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อห้าร้อยปีก่อน ไท่อินจื่อก็ข่มความโกรธไม่ได้
แม่งเอ๊ย …เรื่องแบบนี้มันซ้ำรอยเมื่อห้าร้อยปีก่อนไม่ใช่เหรอ?
ฉับพลันนั้น ฉินชูอวี่ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง จึงลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปมองทางประตูสมาคมทันที ทว่าคุณสาวใช้กลับเร็วกว่าเธอก้าวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเดินออกจากเคาน์เตอร์ไปตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้ไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว
แน่นอน ก่อนเดินไป คุณสาวใช้ก็ถือโอกาสหยิบผ้าขี้ริ้วยัดใส่ปากไท่อินจื่อ ไม่ให้เขาพูดด้วย
กริ๊ง!
ตอนที่กระดิ่งลมหน้าประตูดังขึ้น เจ้าของสมาคมมาถึงแล้ว
ลั่วชิวถือถุงเล็กๆ ใบหนึ่ง ก่อนมองรอบๆ ห้องรับแขกที่คุ้นเคยนี้ “คุณฉินกลับมาแล้วหรือครับ”
ฉินชูอวี่ตอบอย่างเฉยเมย “หลังจากขายทรัพย์สินของฉินฟาง ฉันก็มอบเงินให้ถึงมือลูกสาวเการุ่ยเรียบร้อยแล้ว”
“จริงเหรอครับ” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากคุณแล้ว”
แล้วฉินชูอวี่ก็พูดอีกว่า “แต่ฉันไม่ได้บอกเธอเรื่องของเการุ่ยกับฉินฟางนะ”
ลั่วชิวพยักหน้า แล้วพูดเสียงเบา “ผมขอขอบคุณแทนศาสตราจารย์ด้วยครับ …อ้อ จริงสิ นี่ให้คุณครับ”
เขาถือโอกาสวางถุงในมือไว้ตรงหน้าฉินชูอวี่ พอเห็นเธอลังเลเล็กน้อย ก็พูดเสริมไปว่า “ของขวัญให้คุณครับ”
ฉินชูอวี่ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พูดขอบคุณ ทั้งยังไม่ปรายตามอง เพียงแค่พยักหน้า แล้วก็หลับตาใหม่อีกครั้ง
‘หลังจากเจ้าของร้านกลับมา สถานที่นี้ก็กลับมามีกลิ่นอายลึกลับพวกนั้นอีกครั้งแล้ว’
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คิดจะปล่อยโอกาสบำเพ็ญเพียรไปเลย
“เป็นคนมุมานะจริงๆ นะครับ”
ลั่วชิวมองแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ดูอีก อย่างไรเขากับฉินชูอวี่ หรือแม้กระทั่งตัวตนอวี๋ซานเหนียงของเธอเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นใดๆ ต่อกัน
เจ้าของร้านลั่วลองสังเกตนักพรตประหลาดคนนี้แวบหนึ่ง แม้เขาจะประเมินความสำเร็จของเธอไม่ได้ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือความพยายามของเธอ…หรือจะบอกว่าเป็นความยึดมั่นถือมั่นก็ได้
“นายท่าน ให้เตรียมชาตอนบ่ายหน่อยไหมคะ?”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจะลงไปชั้นล่าง”
หลังจากเจ้าของร้านลั่วกลับมาจากรัสเซีย เขาก็มีของกลับมาสักการบูชามากมาย คุณสาวใช้ย่อมต้องรู้ว่า นายท่านของตนคิดจะทำอะไร จึงไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ แล้วทำความสะอาดตามปกติต่อไปอย่างรู้งาน
ก่อนลงไป ลั่วชิวก็บังเอิญสังเกตเห็นบางอย่าง จึงหันขวับกลับมาถามอย่างแปลกใจว่า “จริงสิ นี่ไท่อินจื่อทำอะไรอีกเหรอ?”
ในที่สุดนายท่านก็สังเกตเห็น! ไท่อินจื่อเบิกตากว้างทันที จากนั้นก็ขยับตัวยุกยิกไปมา
โยวเย่ถึงได้เอียงคอตอบว่า “ช่วงที่พวกเราไม่อยู่ เหมือนไท่อินจื่อจะมีงานอดิเรกแปลกๆ น่ะค่ะ”
ลั่วชิวตะลึงจนอ้าปากค้าง
มาดูสภาพไท่อินจื่อก่อนดีกว่า
ก่อนอื่นเขาถูกมัดไว้จริงๆ เพียงแต่ท่าทางการมัดพิเศษอยู่บ้าง เชือกสีดำมัดตัวเขาแน่นไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขนอยู่ด้านหน้าหน้าอกเขาพอดี แต่ทว่ามือและขาของเขากลับถูกมัดเอาไว้ด้านหลัง จนตอนนี้ตัวของเขาเป็นรูปตัว ‘U’
ใช่แล้ว เขายังถูกแขวนไว้กับฝ้าเพดานด้วย
ผ่านมาสักพักหนึ่ง เจ้าของร้านลั่วถึงได้สติคืนมา เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม…งานอดิเรกแปลกจริงๆ”
นายท่าน! ฟังข้าน้อยอธิบายก่อน ไม่ใช่แบบนี้!! ไม่ใช่นะขอรับ!
ไท่อินจื่อที่ถูกอุดปากไว้ทำได้แค่ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา และร่างกายที่กำลังดิ้นรนก็แกว่งไปมาเหมือนนาฬิกาลูกตุ้ม
ลั่วชิวส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนฉัน ฉันไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น อืม…ถึงแม้นายจะมีงานอดิเรกแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้อคติหรอกนะ อ้อ จริงสิ มัดสวยดีนี่ ฝึกมานานแล้วเหรอ?”
มะ …ไม่ใช่แบบนี้นะขอรับ!!
“เรื่องหน้าร้านก็ฝากเธอช่วยดูแล้วกัน ครั้งนี้ฉันอาจใช้เวลานาน” ลั่วชิวไม่ได้มองไท่อินจื่อ แต่กำลังมองโยวเย่
“รับทราบค่ะ”
คุณสาวใช้ยังยืนอยู่กับที่ มองส่งนายท่านของตัวเองเดินลงไปชั้นล่าง
ตาของไท่อินจื่อเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ใช้ลิ้นดันก้อนผ้าในปากออกมาได้สำเร็จ แต่กว่าจะเอ่ยปากพูดได้ เงาร่างของเจ้าของก็หายไปเสียแล้ว “ฟังข้าอธิบาย…ก่อน…”
ไม่เห็นเจ้าของร้านลั่วแล้ว
ไท่อินจื่อ…ไท่อินจื่อรับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายของคุณสาวใช้ใจจืดใจดำคนนี้
จบเห่แล้ว…ชื่อเสียงตลอดชีพถูกทำลายจนสิ้นแล้ว!
ฉินชูอวี่ที่กำลังหลับตาบรรลุญาณสมาธิพลันแย้มยิ้มเล็กน้อย บางทีเธอก็คงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้
น่าสนุกจริงๆ
…
…
สีสัน สีชมพู …ตอนที่ลูกไฟเข้าไปในแท่นบูชา ลั่วชิวก็ฉุกคิดถึงข้อสงสัยเมื่อนานมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง
พวกมันไปที่ไหนกันแน่ หรือว่าจะนำอะไรมาให้แท่นบูชา?
เขาไม่รู้เลย
อย่างเดียวที่รู้ก็คือ การสักการบูชาครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอิบ และความสามารถประหลาดต่างๆ นานา ก็แข็งแกร่งขึ้นในพริบตา
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะยังไงพลังของเขาก็แกร่งกล้าขึ้นทุกครั้งที่แลกเปลี่ยนสำเร็จ แต่เรื่องที่เขาสนใจจริงๆ กลับเป็น ‘การ์ดทองเงินใบที่สอง’
“การ์ดใบที่สอง จะทำให้แท่นบูชาเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน …ขอผมดูหน่อยเถอะ”
การ์ดสีทองเงินลอยอยู่ด้านหน้าลั่วชิว แล้วแท่นบูชาก็ค่อยๆ ยกขึ้นอีกครั้ง จนเผยให้เห็นส่วนที่มันซ่อนเอาไว้