สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 35-1 พ่อ
บ้านในเมืองเล็กๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งปลูกสร้างความสูงหนึ่งชั้นหรือสองชั้น สถานที่แห่งนี้เป็นแค่บ้านก่ออิฐในชนบทเรียบง่ายแห่งหนึ่งเท่านั้น
ไม่รู้ว่าคนหนุ่มสาวที่นี่พากันย้ายออกไปทำงานข้างนอกตั้งแต่เมื่อไร เมืองเล็กๆ แห่งนี้ถึงได้ค่อยๆ มีสภาพอย่างปัจจุบัน
ฤดูร้อนปี ค.ศ. 2003 ท้องฟ้าสดใส
ชายสองหญิงหนึ่งกำลังสบตากันหน้าบ้านเล็กๆ สองชั้นหลังหนึ่งในเมืองเล็ก
เห็นได้ชัดว่าชายเจ้าของบ้านไม่คิดจะเชื้อเชิญชายหญิงตรงหน้าคู่นี้เข้ามา…แถมยังแสดงสีหน้ารังเกียจออกมาอีกต่างหาก
“เฉินเหมยห่วน เธอยังกลับมาทำอะไรอีก? นี่เป็นชายชู้คนใหม่ของเธอล่ะสิ? ทำไม? พาเขากลับมา คิดจะฉีกหน้าฉันหรือไง?”
“พูดอะไรของคุณ?!” กู้เฟิงขมวดคิ้ว ดวงตาแสดงโทสะออกมา
แต่ภรรยาข้างกายเขาซึ่งจดทะเบียนสมรสกันแล้วเมื่อสามเดือนก่อน และเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายคนนี้กลับยื่นมือมาดึงแขนเสื้อเขาไว้
ห่างจากชายตรงหน้าคนนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ แล้ว ลักษณะท่าทางของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีก ทั้งยังพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันโทรศัพท์หาพวกคุณมาหลายครั้งแล้ว ครั้งที่แล้วแม่คุณรับสาย ฉันก็พูดชัดเจนแล้ว ฉันกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อมารับจยาฮุยไปด้วย”
“เธอพูดว่าอะไรนะ? ไหนลองพูดอีกทีสิ?” พอชายคนนี้ได้ยินก็ขึ้นเสียงดัง “นังหญิงแพศยานี่! คราวที่แล้วเธอก็พาลูกชายฉันไปคนหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ยังคิดจะแย่งจยาฮุยไปอีกเหรอ? ไม่มีทาง! ถึงเธอตายก็อย่าได้หวังเลย!”
เฉินเหมยห่วนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณป่วยเป็นวัณโรค ตอนที่ทำงานโรงงานข้างนอก จนที่โรงงานไม่ต้องการคุณแล้ว และคุณก็ไม่ได้รับค่าชดเชยด้วย สภาพอย่างคุณในตอนนี้ คุณจะสร้างสภาพแวดล้อมดีๆ ให้จยาฮุยได้หรือไง?”
พูดจบกู้เฟิงที่อยู่ข้างๆ เธอก็ขมวดคิ้วมุ่น ล้วงเช็คธนาคารใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อสูท “เงินจำนวนนี้คุณเอาไปรักษาตัวเถอะ ส่วนลูกชายของเหม่ยหวนก็มอบให้พวกเราดูแล คุณทิ้งสิทธิ์เลี้ยงดูเขาซะเถอะ”
ชายคนนั้นจ้องตาเขม็ง เขาแย่งเช็คมาจากมือกู้เฟิงแล้วฉีกมันต่อหน้าเขาทันที “ไสหัวไป! อย่ามาให้พวกเราเห็นหน้าอีก! ไสหัวไป!!”
กู้เฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนนี้เองเฉินเหมยห่วนก็สูดหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “หลิวเฉิง ฉันกลับมาครั้งนี้แค่อยากมาพูดกับคุณดีๆ คุณต้องการเงินพวกนี้ไปรักษา ที่จริงแล้วคุณก็เลี้ยงดูจยาฮุยให้เติบโตในสภาพแวดล้อมดีๆ ไม่ได้ อย่าเอาแต่หัวรั้นเลย ถึงฉันจะพาเขาไปแล้ว แต่ถ้ามีเวลาว่างก็ต้องให้พวกคุณเจอกันอยู่แล้ว ฉันอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองก่อน อย่าบังคับให้ฉันต้องพึ่งกฎหมายเลย…คุณก็รู้นี่ อาการของคุณไม่มีหวังเลยสักนิดเดียว”
“ถึงฉันตาย ก็ไม่ยอมให้เธอพาจยาฮุยไปหรอก! เขาเป็นลูกชายของฉัน!” หลิวเฉิงตะโกนลั่น
“จยาฮุย! จยาฮุย ลูกอยู่บ้านไหม? แม่กลับมาแล้ว จยาฮุย แม่กลับมาแล้วลูก ออกมาเจอแม่หน่อยสิ! จยาฮุย!”
เฉินเหมยห่วนคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้จริงๆ เธอเดินเข้าไปพลางตะโกนเรียกหาทันที
คาดไม่ถึงว่าจะทำให้หลิวเฉิงโกรธจนถึงขีดสุด เขาคว้ามือของเฉินเหมยห่วนไว้แน่น แล้วลากตัวเธอออกไปทันที “เธอไม่ใช่คนของบ้านนี้แล้ว! ฉันไม่ให้เธอเข้าไป ไสหัวไป!!”
“หลิวเฉิง! ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง ก็ให้ฉันได้เจอจยาฮุยสักหน่อยเถอะ! เขาก็เป็นลูกของฉันเหมือนกันนะ! คุณไม่มีสิทธิมากีดกันฉัน! หลิวเฉิง คุณปล่อยฉันนะ! ปล่อยสิ!!”
“เจอกันงั้นเหรอ! รอให้เธอตายก่อนค่อยไปเจอก็แล้วกัน!” หลิวเฉิงตะเบ็งเสียงตะโกนลั่น “รอดูในยมโลกแล้วกัน ว่าเขายังจะจำแม่ที่ไม่ต้องการเขาได้อีกหรือเปล่า!”
“คุณว่าอะไรนะ?” สีหน้าเฉินเหมยห่วนเปลี่ยนไปทันที
“เขาตายแล้ว!” หลิวเฉิงสะบัดแขนเฉินเหมยห่วนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที
“เป็นไปได้ยังไง…”
…
“นี่ไงหลุมศพของเขา ถ้าเธอไม่เชื่อ ก็ลองขุดขึ้นมาดูสิ! ขอดูหน่อยสิว่า แม่อย่างเธอกล้าขุดหลุมศพของลูกชายไหม!”
บนยอดเขาใกล้ๆ บ้าน หลิวเฉิงกำลังดื่มเหล้าขาวที่เพิ่งซื้อมาจากข้างทาง ดูท่าทางจนตรอกและซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
“จยาฮุย…”
เฉินเหมยห่วนขาอ่อนคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพด้วยสีหน้าขาวซีด นิ้วมือสั่นเทาลูบไปที่ชื่อบนป้ายหลุมศพ เธอไม่พูดไม่จา เอาแต่ลูบชื่อนี้ไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ตั้งแต่เมื่อไร? เด็กก็อยู่ดีๆ ทำไมบอกจะตายก็ตายง่ายๆ แบบนี้?” กู้เฟิงที่นิ่งสงบมาโดยตลอด ตอนนี้กลับขมวดคิ้ว ตะโกนถามเสียงดัง พลางใช้มือข้างหนึ่งคว้าปกเสื้อหลิวเฉิงไว้แน่น
“ไม่ใช่เพราะถูกแม่ใจดำของเขาทิ้งไปหรือไง!” หลิวเฉิงพูดอย่างเย็นชา “เฉินเหมยห่วน ลูกชายของเธอวันๆ เอาแต่นั่งคอยเธอกลับมาอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เธอเคยกลับมาเยี่ยมเขาบ้างไหม? ไม่เลย! ลูกมันเสียใจก็เลยหนีออกจากบ้านไปตามหาเธอ! วันนั้นฝนตกหนักพอดี! เขาก็เลยลื่นตกลงไปในสระน้ำ จมน้ำตายไปแล้ว! ผู้หญิงอำมหิตอย่างเธอ!! ยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ!”
“ระวังคำพูดหน่อย!” กู้เฟิงพุ่งเข้ามา
เฉินเหมยห่วนเห็นสองคนจะมีเรื่องกัน เธอก็เรียกสติคืนมาทันที แล้วผลักหลิวเฉิงล้มลงไปบนพื้นอย่างแรง เธอกัดฟันพูดว่า “คุณหลอกฉัน! ลูกชายของฉันยังไม่ตาย…คุณหลอกฉัน! คุณหลอกฉัน!! ฉันไม่เชื่อ!! คุณหลอกฉัน!! คุณหลอกฉัน!!”
“คืนลูกชายฉันมา!!! คืนมานะ!!!”
…
“ลูก คืนลูกมาให้ฉัน คืนลูกมาให้ฉัน!!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นเฉียบพลันในห้องผู้ป่วย เสียงเศร้าเสียใจแหลมสูง จนสองคนที่สะลึมสะลืออยู่ในห้องผู้ป่วยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน
หม่าโฮ่วเต๋อกำลังมองดูเฉินเหมยห่วนที่ตื่นขึ้นมาเสียที พอเห็นเหงื่อผุดเต็มหน้าผากเธอ ก็รีบเดินเข้ามาพูดว่า “คุณนายกู้ คุณนายกู้ครับ ใจเย็นๆ นะครับ คุณแค่ฝันไป ฝันไปเองนะครับ ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ไว้”
“ฉัน…ฉันอยู่ที่ไหนคะ?” เฉินเหมยห่วนมองไปรอบๆ อย่างเหม่อลอย
“จู่ๆ คุณก็สลบไป พวกเราเลยพาคุณมาส่งโรงพยาบาล” แล้วเซอร์หม่าก็พูดอีกว่า “คุณหมอบอกว่าคุณร่างกายอ่อนแอมาก เป็นโรคโลหิตจางร้ายแรง ต้องพักรักษาตัวอย่างเต็มที่ครับ”
“ลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันอยู่ไหน!” เฉินเหมยห่วนคว้าแขนเสื้อของหม่าโฮ่วเต๋อมาจับแน่นด้วยความตื่นตระหนก “ลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันไปไหนแล้ว!”
“อย่ากังวลไปเลย ทำใจให้สบายนะครับ” หม่าโฮ่วเต๋อรีบร้อนอธิบาย “ช่วงที่คุณสลบไป ผมให้คนไปตรวจสอบสำมะโนครัวแล้ว พวกเรารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาก็อยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนกัน แต่เป็นโรงพยาบาลอันดับสามนะ”
“เขา…เขาอยู่?” เฉินเหมยห่วนตะลึง
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าแล้วตอบว่า “ครับ พวกเราไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ยังไง ตั้งแต่หลิวเฉิงป่วยตายไปเมื่อหกปีก่อน หลิวจยาฮุยก็อาศัยอยู่กับย่าของเขาเพียงสองคน แม่สามีของคุณ…ไม่สิ แม่ของหลิวเฉิงชื่อเหอเสี่ยวเม่ยใช่ไหมครับ?”
“เธอ…เธอชื่อเหอเสี่ยวเม่ย”
“งั้นก็ใช่แล้วครับ” หม่าโฮ่วเต๋อตอบ “ตามบันทึก ช่วงก่อนหน้านี้เหอเสี่ยวเม่ยมาผ่าตัดช่องท้องที่โรงพยาบาลลำดับที่สาม เธอยังอยู่ที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลลำดับที่สาม ชื่อญาติที่ระบุไว้ก็คือหลิวจยาฮุย ดังนั้น คนที่สะกดรอยตามคุณในช่วงนี้น่าจะเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของคุณ หลิวจยาฮุยไม่ผิดแน่”
“จยาฮุย…”
เฉินเหมยห่วนเหม่อลอยไปโดยพลัน
เธอก้มหน้าลงช้าๆ เอาแต่พึมพำชื่อ ‘จยาฮุย’ สองพยางค์นี้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ…ทำไม ทำไมเขาถึง…
ไม่รู้ว่าตอนนี้จยาเจี๋ยหายไปไหน แล้วจู่ๆ หลิวจยาฮุยที่คิดว่าตายไปแล้วก็โผล่มา…
สองมือของเธอเสยผมขึ้น แล้วกำแน่นอยู่แบบนั้น
ผ่านไปนาน เธอถึงเงยหน้าขึ้นมา “นายตำรวจหม่า คุณพาฉันไปพบเขาหน่อยได้ไหมคะ? มีบางเรื่องที่ฉันอยากถามให้ชัด”
“ได้สิครับ” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “ผมขอไปถามหมอก่อน น่าจะไม่มีปัญหานะครับ”
แล้วเธอก็ถูกพาตัวออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ไปทั้งอย่างนี้ แล้วมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งโดยสงบตลอดทาง
หม่าโฮ่วเต๋อกับนายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับและเบาะคนขับ ต่างมองท่าทีของเฉินเหมยห่วนทางกระจกมองหลังเป็นครั้งคราว มองดูเธอเอียงศีรษะพิงหน้าต่างรถอย่างเหม่อลอย มองดูร่างคนผ่านกระจกรถไป แล้วก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ
พวกเขาคิดว่า บางทีพอผู้หญิงคนนี้สิ้นหวังจากการสูญเสียลูกชายไป แล้วได้ลูกชายที่จากไปตั้งแต่ยังเล็กๆ กลับมาอยู่ข้างกายเธออีกครั้งละก็…
ได้แต่หวังว่าจะทำให้เธอหายจากความทุกข์ได้นะ
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงโรงพยาบาลลำดับที่สามที่เหอเสี่ยวเม่ยพักรักษาตัว
“คุณตำรวจ ห้องนี้แหละค่ะ” นางพยาบาลพาคนมาตรงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วย
มือของเฉินเหมยห่วนแตะไปบนประตูห้องทันที เธอลังเลอยู่นานทีเดียว ถึงได้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วผลักประตูเปิดเดินเข้าไปคนแรก
เซอร์หม่าคิดว่าเขาไม่ควรเข้าไปด้วย อันที่จริงอยู่หน้าประตูก็พอจะได้ยินเหมือนกัน เขาจึงโบกมือให้นายตำรวจหนุ่มรออยู่ข้างนอก
แล้วทั้งสองคนก็พิงกำแพงฟังความเคลื่อนไหวในห้องอยู่เงียบๆ