สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 42 รับน้ำหนักไม่ไหว
ณ จุดศูนย์กลางของโลก ในระดับความลึกที่ร่างกายมนุษย์ไม่อาจเข้ามาได้ แต่ทว่าร่างของคนผู้หนึ่งกลับวาร์ปมายังที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
เธอไม่ได้พึ่งพาขบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงชุดป้องกันใดๆ มีเพียงแค่ร่างกายของเธอเท่านั้น…พลังในกายของเธอ
แน่นอนว่า นอกจากพลังในร่างกายทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้แล้ว เธอยังชำนาญลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ที่สุด และก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่รับประกันได้ว่าเธอสามารถวาร์ปมาที่นี่ได้อย่างอิสระ
เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของเธอ
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา โลกที่หลงซีรั่วเห็นก็เต็มไปด้วยสีแดงฉานของลาวา
อากาศที่นี่ให้สัมผัสพิเศษบางอย่าง เป็นคลื่นความร้อนที่ชวนให้รู้สึกหนักอึ้ง หลงซีรั่วซ่อนตัวอยู่ในบรรยากาศแบบนี้มาหนึ่งวันเต็มๆ ตั้งแต่ข้างบนป่าโบราณแล้ว
แล้วเธอก็ยังหยุดอยู่ที่นี่
เบื้องหน้าเป็นสถานที่ที่สร้างไว้ก่อนเธอเกิดแล้ว ในบรรดาลาวาที่ไหลไปมาอยู่นั้น มีลานยกพื้นขนาดใหญ่อันหนึ่งที่มีเสายักษ์ขนาดหนึ่งในสองของแท่นบูชาค้ำยันเอาไว้
บริเวณขอบรอบด้านตัวแท่นในระดับเดียวกับลาวาด้านล่าง มีโซ่ขนาดมหึมาเชื่อมไปล็อกกับกำแพงโดยรอบทั้งหมดสามร้อยหกสิบเส้น ถึงแม้โซ่พวกนี้จะมีมากถึงสามร้อยหกสิบเส้น แต่ก็ยังเว้นช่องว่างระหว่างเส้นได้สวยงาม
ถึงยังไงลานนี้ก็มีขนาดใหญ่มาก
หลงซีรั่วกระโดดเบาๆ เข้ามาจากทางเข้า แล้วเหยียบไปบนโซ่เส้นหนึ่ง พอปลายเท้าแตะลงไปเล็กน้อย ร่างกายเธอก็ลอยขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตกลงบนขอบของแท่นนี้
ตั้งแต่ตรงนี้ เธอไม่ได้ใช้พลังใดๆ เพื่อเพิ่มจังหวะการก้าวเท้าของเธอให้เร็วขึ้นเลย เธอเพียงแค่เดินไปยังศูนย์กลางของลานทีละก้าว ทีละก้าว
เธอมีสีหน้าจริงจัง ในใจไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน ก้าวแต่ละก้าวเหมือนไปแสวงบุญยังปูชนียสถาน
ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปเท่าไร เธอก็มาอยู่กลางลานได้ในที่สุด…ด้านหน้าเธอมีบ่อทรงกลมบ่อหนึ่ง แต่ข้างในกลับไม่มีของเหลวใดๆ เลย
ทว่ามีโครงกระดูกอยู่หลายโครง…แต่ละโครงเป็นโครงกระดูกชิ้นใหญ่มาก
เป็นโครงกระดูกของเหล่ามังกรสายพันธุ์แท้รุ่นก่อนหน้าเธอทั้งหมด
หลงซีรั่วคุกเข่าทำความเคารพอยู่ตรงหน้าบ่อ “หลงซีรั่วขอคารวะผู้อาวุโสทุกท่าน”
เธอกดมือทั้งสองลงไปบนลานอย่างเบามือ หลังจากโขกหน้าผากลงบนลานเบาๆ เก้าครั้งแล้ว ถึงได้เงยหน้ามองบ่อใบนี้ แล้วค่อยๆ พูดว่า “เมื่อวันก่อนซีรั่วเจอเหตุการณ์ประหลาด กังวลมากจนถึงตอนนี้ ขอผู้อาวุโสทุกท่านชี้แนะข้าด้วย”
พูดจบ เธอก็ลืมตาช้าๆ แล้วย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอได้พบจากร่องของประตูแห่งความหวาดกลัวบานนั้น
ถึงเป็นแค่ความทรงจำ แต่บนหน้าผากเธอกลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา…ทั้งที่ในแกนโลกร้อนแผดเผาอย่างหาใดเปรียบนี้ ยังไม่อาจทำให้ร่างกายของเธอตอบสนองแบบนี้ได้แท้ๆ
ไม่นานหลงซีรั่วก็ถอนหายใจ แล้วลืมตาขึ้น รอคอยอยู่เงียบๆ เธอรู้ว่าแม้ผู้อาวุโสทั้งหลายจะเหลือเพียงโครงกระดูก และวิญญาณแตกสลายไปหมดแล้ว แต่ทั้งหมดนี้ก็กลับเป็นสารหล่อเลี้ยงให้เธอเกิดมา เธอถือกำเนิดขึ้นมาจากพวกท่านนั่นเอง
แต่เธอรู้ว่าสติปัญญาของพวกท่านยังต้องอยู่ในนั้น
“ขอท่านอาวุโสโปรดชี้แนะข้าด้วย! ข้าอยากรู้!”
แต่เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า สุดท้ายเธอก็หมดความอดทน หลงซีรั่วจำต้องลุกขึ้นมา “โปรดบอกข้าด้วย! เหตุการณ์ประหลาดพวกนั้นบ่งบอกถึงอะไร! ทำไมข้าถึงฝันร้ายแบบนั้น!”
หลงซีรั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอกัดฟันพูดอย่างโทสะ “ผู้อาวุโส! ภพภูมิของแดนเทพเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?! บอกข้าสิ!”
“ผู้อาวุโส!”
เธอเดินไปข้างหน้าอีกก้าวด้วยความฮึกเหิม แต่ก้าวเดินของเธอกลับกระทบถึงบางอย่าง ทั้งลานเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาเบาๆ
บ่อยิ่งสั่นรุนแรงขึ้น
หลงซีรั่วหน้าถอดสีไปทันที ด้วยเพราะตอนนี้กระดูกมังกรสายพันธุ์แท้ในบ่อนั้น ทั้งหมดสลายกลายเป็นผุยผงต่อหน้าเธอโดยฉับพลัน
“นี่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ความไม่สบายใจแรงกล้าส่งให้สีหน้าของหลงซีรั่วซีดเผือดลง…ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอ ว่ากระดูกมังกรแท้พวกนี้แข็งแกร่งขนาดไหน
หลายปีมานี้ พวกมันคงสภาพเดิมอยู่ในที่แห่งนี้มาโดยตลอด กระทั่งเธอไม่เคยคิดว่า พวกมันจะมีวันที่แตกสลายไปในพริบตา
แต่เธอก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
ลานเริ่มแตกแยกออกในวินาทีต่อมา หินแมกมาขนาดใหญ่ตกลงไปในลาวาที่ไหลเวียนอยู่ด้านล่างทีละก้อน ทีละก้อน โซ่สามร้อยหกสิบเส้นก็แตกหักตามมาทีละเส้น ทีละเส้น
แต่สุดท้ายพวกมันก็ไม่ได้ตกลงไปในลาวาและหายไปในทันที หลงซีรั่วลอยอยู่บนอากาศ มองดูบ้านเกิดถูกลาวากลืนกินไปช้าๆ ด้วยรู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเรื่องแบบนี้เลย
“ดินแดนแห่งชัยภูมิ…นึกไม่ถึงว่าดินแดนแห่งชัยภูมิจะ…”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นประกายสีทอง เธอเห็นได้ชัดเจนว่าบางส่วนของลาวาด้านล่างไหลต่างไปจากความทรงจำของเธอ
หลงซีรั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ
เธอคิดจะไล่ตามทิศทางการไหลอันแปลกประหลาดพวกนี้ไป…บางทีอาจจะหาคำตอบที่แท้จริงได้
…
…
เป็นอีกวันที่ลมพายุโหมกระหน่ำ
ถึงจะเห็นๆ อยู่ว่าทิ้งช่วงห่างจากพายุฝนครั้งที่แล้วได้ไม่นานเท่าไรก็ตาม
สรุปว่าอากาศหนาแน่นผิดปกติกว่าเมื่อปีที่แล้วอยู่มาก จึงก่อให้เกิดปริมาณฝนจำนวนมากในเมืองนี้อีกครั้ง
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นกึกก้อง
ฉินชูอวี่ลืมตาขึ้น ตื่นจากสภาวะเข้าฌาน เป็นเพราะเสียงฟ้าร้องรบกวนเธอหรือเปล่า…เธอไม่ค่อยแน่ใจนัก
เธอขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับสังเกตห้องโถงของสมาคมแห่งนี้ ก็เห็นร่างหนึ่งกำลังเคาะบางอย่างอยู่ระหว่างชั้นวางของชั้นหนึ่งตรงกำแพงฝั่งหนึ่งของห้องโถงสมาคม
ไท่อินจื่อ
“นายกำลังทำอะไร?” ฉินชูอวี่ส่งเสียงถามไปโดยฉับพลัน
ไท่อินจื่อชะงักกึก รีบหันตัวมาอย่างเลิ่กลั่ก พร้อมกับซ่อนของที่กำลังถืออยู่ไปไว้ด้านหลังตัวเอง แต่ของชิ้นนั้นกลับร่วงลงมาจากมือเขา…ไม่รู้ว่าลนลาน เกินไปจนเผลอหลุดมือหรือเปล่า
แต่ไท่อินจื่อก็มีปฏิกิริยาเร็วพอ เปลี่ยนร่างตัวเองกลายเป็นควันสีดำกลุ่มหนึ่ง แล้วหอบของชิ้นที่กำลังจะตกขึ้นมาทันที
ไท่อินจื่อแปลงกลับเป็นร่างคนอีกครั้ง ถือของสิ่งนี้ไว้ในมือทั้งสองอย่างมั่นคง พร้อมกับแสดงสีหน้าโล่งใจ… ของที่ว่านี้ก็คือค้อนอันเล็กหนึ่งอัน
เมื่อวานนี้เจ้าของสมาคมเอากลับมา แล้วกำชับให้คุณสาวใช้จัดวางบนชั้นวางอย่างดี
“ยังดีที่ไม่พัง…ข้าตกใจหมดเลย” ไท่อินจื่อถอนหายใจ แล้วถึงได้นำของกลับไปวางบนชั้นวางดังเดิมด้วยความระมัดระวัง
“นังแพศยา! สุภาพบุรุษไม่ทำเรื่องลับหลังผู้อื่น เจ้าไม่รู้หรือ!” แต่ไท่อินจื่อยังคงระบายความโกรธของตัวเองใส่ฉินชูอวี่
“น่าขำ” ฉินชูอวี่แสยะยิ้มแล้วหลับตาลงช้าๆ อีกครั้ง
ไท่อินจื่อรู้ว่าเมื่อกี้นี้ตัวเองใช้คำไม่เหมาะสมก็จริง แต่พอเห็นฉินชูอวี่ไม่สนใจตัวเองอีกแล้ว ก็กลืนคำพูดนี้ลงไป อดทำท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ไม่ได้
ว้าว!
ข้านี่เข้มจริงๆ
“ไท่อินจื่อ นายกำลังทำอะไร”
หลังจากทำท่าทางดุร้ายใส่ไปแล้ว เสียงของคุณสาวใช้ก็ดังลอยมา ไท่อินจื่อหน้าถอดสี แล้วจึงกระแอมไอสองที ตอนที่เขาหมุนตัวมาก็กลับคืนสู่สภาพของนักพรตที่มีท่วงท่าราวกับเซียน
ไม่มีใครรู้ว่าผีในเสื้อเชิ้ตลายตาราง ใส่คู่กับกางเกงรัดติ้ว และผมทรงแอโฟรแบบนี้ไปเลียนแบบท่วงท่าราวเทพเซียนนี้มาจากไหน…น่าจะคิดเอาเอง
“นายท่าน คุณโยวเย่” ไท่อินจื่อยกมือทั้งสองขึ้นคารวะ ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ข้ากำลังฝึกฝนวิชากังฟูสำนักหนึ่งที่เพื่อนข้าบรรลุในตอนนั้น”
ลั่วชิวลงมาชั้นล่างพร้อมกับโยวเย่ เมื่อกี้นี้เพิ่งทำการบำรุงรักษาประจำวันให้โยวเย่เสร็จสิ้น เขานั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ แล้วดื่มน้ำสะอาดที่คุณสาวใช้ส่งมาให้ พร้อมกับถามอย่างสนอกสนใจ “กังฟู?”
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอกขอรับ แค่วิชากังฟูภายในสำนักที่นักพรตสกปรกคนหนึ่งศึกษาจากคัมภีร์อี้จิง* คัมภีร์ปากว้า** และหนังสือคัมภีร์โบราณอื่นๆ จนสำเร็จน่ะขอรับ”
แล้วไท่อินจื่อก็เล่าไปเรื่อยเปื่อย “ตอนนั้นข้าพบกับเขาแล้วคุยกันถูกคอ หลังจากแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาไปส่วนหนึ่งแล้ว นักพรตเน่านั่นนำวิชาทั้งหมดมาตกตะกอน คิดค้นวิชามวยบำรุงชีพ เอ่อ ข้าถึงได้รู้ว่า จนถึงปัจจุบัน วิชามวยนี้ได้สืบทอดไปสู่หลายสำนักแล้ว! ตอนนี้ข้าก็เลยลองทบทวนดูสักหน่อย”
ลั่วชิวมองไท่อินจื่อเงียบๆ จากที่ผีชราตนนี้สบายใจก็เปลี่ยนเป็นหนักใจขึ้นมา จากนั้นลั่วชิวถึงได้วางแก้วในมือลง แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า “วิชามวยอะไร”
ไท่อินจื่อตอบด้วยความเคารพ “นักพรตเน่าบอกว่าได้แรงบันดาลใจจากข้า ก็เลยดันทุรังให้ข้าตั้งชื่อให้มัน ข้าคัดค้านไม่ได้ก็เลยหลุดปากพูดไปว่า ‘ไทเก๊ก’ นึกไม่ถึงเลยว่านักพรตเน่านั่นจะใช้ชื่อนี้จริงๆ”
พูดจบ ลั่วชิวก็อดขำเบาๆ ไม่ได้ เขามองคุณสาวใช้ของตัวเอง…เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้โยวเย่จะไม่ค่อยเข้าใจว่านายท่านหัวเราะเรื่องอะไรก็ตาม
ทำไมเจ้าของร้านลั่วถึงขำ?
แน่นอน เป็นเพราะไท่อินจื่อตีบทแตกทีเดียว!
“นายท่าน…มีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า?” ไท่อินจื่อยังไม่รู้ตัว แค่รู้สึกเสียวสันหลังวาบตอนที่ได้ยินนายท่านหัวเราะเท่านั้น
ลั่วชิวส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่า ฉันควรขอบคุณนาย แทนพวกคุณตาคุณยายที่สวนสาธารณะด้วยน่ะ”
“ข้าจะรับคำขอบคุณจากนายท่านได้เช่นไร!”
ไท่อินจื่อรีบโบกไม้โบกมือ จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่าน ข้าได้บทเรียนจากความเจ็บปวดในอดีตแล้ว หลังจากผ่านเรื่องเมื่อครั้งที่แล้วมา! ช่วงนี้ข้าเอาแต่ศึกษาประสบการณ์จากใต้เท้าหมายเลขเก้าอย่างขยันหมั่นเพียร ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่นิดเดียว! แล้วในที่สุดข้าจะหาลูกค้ากิตติมศักดิ์เจอสักคน ไม่ทำให้นายท่านผิดหวังแน่นอน!”
พูดจบ ไท่อินจื่อก็ล้วงการ์ดขาวใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าด้านหลังกางเกงรัดติ้ว แล้วใช้สองมือส่งมอบไปให้ด้วยความเคารพ
การ์ดลูกค้าหลายใบที่ภูตดำหมายเลขสิบแปดส่งมอบให้เมื่อครั้งที่แล้ว เจ้าของร้านลั่วยังไม่ได้ดู และยังวางทิ้งไว้บนโต๊ะหนังสือชั้นใต้ดินชั้นที่หนึ่ง
ไม่ใช่ว่าลั่วชิวไม่ยอมทำการค้านี้ เพียงแต่เขามีจังหวะของตัวเอง
“จริงเหรอ”
ลั่วชิวถือเอาไว้ในมือ เขาเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของไท่อินจื่อ พร้อมกับท่าทางคาดหวังให้เขาเปิดอ่านทันที แต่เขากลับวางมันลง
“ครั้งนี้ไม่ต้องใช้การ์ดลูกค้าหรอก นายลองพาฉันไปดูลักษณะลูกค้าเองเลยเป็นไง?” ลั่วชิวถามเสียงเบาทันทีที่ไท่อินจื่อแสดงสีหน้าผิดหวังที่สังเกตเห็นได้ยาก
เขานึกถึงเรื่องที่ไท่อินจื่อปล่อยไก่ไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมาแบบไหนอีก
“ทราบแล้วขอรับ!” ไท่อินจื่อซาบซึ้งอยู่ในใจ
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เจ้าของร้านกลับพูดชักชวนว่า “โยวเย่ เปลี่ยนชุดออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
ไท่อินจื่อ…ไท่อินจื่อยังไม่ทันได้ยิ้มก็ต้องกลืนกลับเข้าไปในท้องแล้ว
ข้าช่าง…ช่างไรเดียงสาจริงๆ!
*คัมภีร์อี้จิง หรือคัมภีร์อนิจจลักษณ์ เป็นคัมภีร์เก่าแก่ของจีนโบราณ ที่ว่าด้วยเรื่อง “เปลี่ยน” ซึ่งปราชญ์ได้สร้างคัมภีร์เล่มนี้ขี้นไว้เพื่อให้ใช้เป็นคู่มือดำเนินชีวิต ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
**คัมภีร์ปากว้า เป็นสัญลักษณ์บอกและแสดงความสัมพันธ์ของธรรมชาติผ่านเครื่องหมายที่มีสืบต่อมาแต่ครั้งบรรพกาลตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีตัวหนังสือ