สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 43 การสอบสวนของหวังเย่ว์ชวน
หม่าโฮ่วเต๋อรีบสะบัดร่มกันฝนเก็บ แล้วเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ
ขณะที่เซอร์หม่าเพิ่งเดินผ่านห้องรับแจ้งความ ก็ต้องชะลอฝีเท้าทันที ด้วยได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากด้านใน มองไปก็เห็นคนหน้าคุ้นเข้า
กู้เฟิง สามีของเฉินเหมยห่วน…น่าจะเป็นอดีตสามีมากกว่าล่ะมั้ง? ครั้งก่อนได้ยินผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะหย่ากับผู้ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
แต่ในห้องรับแจ้งความกลับมีผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วย อายุประมาณสามสิบปี บนใบหน้ามีแผลถลอกฟกช้ำประปราย เหมือนโดนทำร้ายมา
พอเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่กำลังลงบันทึกประจำวันเห็นหม่าโฮ่วเต๋อ จึงรีบเดินออกมากล่าวทักทาย “เซอร์หม่า มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ? วันนี้กลับมาช้าเลยนะครับ”
“อ้อ ฝนตกหนักเลยรถติดน่ะ ไม่รู้ว่าพวกเทศบาลนั่นมัวไปทำอะไรกัน มีแต่น้ำท่วมเต็มไปหมด!” หม่าโฮ่วเต๋อบ่นไปสักพักหนึ่ง ถึงได้ถามว่า “แล้วข้างในมีเรื่องอะไรกัน?”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่คดีทำร้ายร่างกายทั่วไป” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ยักไหล่พูดต่อ “ผู้ชายที่อยู่ข้างในนั้นน่าจะถูกสวมเขา ช่วยคนอื่นเลี้ยงลูกชายมาหลายปี เพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้ เลยโกรธจนเผลอทำร้ายร่างกายน่ะครับ เซอร์หม่า ท่านรู้จักเหรอครับ? หรือให้ผม…”
“ไม่รู้จัก”
หม่าโฮ่วเต๋อเงยหน้า สอดนิ้วเข้าไปในพวงกุญแจ แล้วควงมันเดินจากไปทันที หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ‘เดินสะบัดก้นหนีไปเลย’
เซอร์หม่าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สรุปก็คือ โคตรจะ…รู้สึกดีเลย!
แต่เขาดีใจได้ไม่นานก็อารมณ์เสียซะแล้ว เพราะตอนที่เซอร์หม่าเพิ่งเดินเข้าไปในแผนกของตัวเอง ก็ดันเห็นหวังเย่ว์ชวนนั่งรออยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ท่าทางคงรอมาพักหนึ่งแล้ว
เขาเห็นคนที่มาจากหน่วยงานของมณฑลคนนี้ ก็รีบก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือตัวเองแวบหนึ่ง
ขณะนั้นเอง ตำรวจหญิงฝ่ายธุรการคนหนึ่งยกถาดรองเดินผ่านมาพอดี หม่าโฮ่วเต๋อจึงถามขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน คุณจะไปไหน?”
ตำรวจหญิงชะงัก แล้วตอบว่า “นายตำรวจหม่าคะ ฉันรินกาแฟมาให้คุณหวังค่ะ”
“อ้อ…แล้วใส่น้ำตาลหรือเปล่า?” หม่าโฮ่วเต๋อพยักพเยิดถาม
“ใส่ไปก้อนหนึ่งค่ะ” ตำรวจหญิงตอบอย่างฉงน เธอไม่รู้ว่านายตำรวจหม่าถามไปทำไม
แล้วหม่าโฮ่วเต๋อก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณหวังคนนี้ชอบกินหวาน ก้อนเดียวไม่พอหรอก ใส่สี่…ไม่สิ หกก้อนดีกว่า!”
ตำรวจหญิงพูดอย่างน่าสงสารทันทีว่า “นายตำรวจหม่าคะ ให้ฉันใส่หกก้อนก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่ท่านยกเข้าไปเองได้หรือเปล่าคะ? ถ้าท่านอยากจะเล่นงานคุณหวัง ก็อย่าเอาฉันมารับเคราะห์แทนเลยค่ะ”
หม่าโฮ่วเต๋ออ้าปากค้าง เขาโดนตอกกลับอย่างแรง รู้สึกเหมือนถูกหักหลังเลย เขาจึงสบถเบาๆ แล้วยกแก้วขึ้นมาดื่มเอง “เรียบร้อย ดื่มกาแฟอะไรกันล่ะ? รินน้ำเปล่าให้เขาแก้วหนึ่งก็พอแล้ว! แก้วนี้ของผม”
“ได้…ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน เอาน้ำเปล่าเย็นๆ นะ!”
“…”
…
ขณะที่เซอร์หม่าถือแก้วกระดาษ พร้อมทั้งดื่มกาแฟเดินเข้าไปในห้องทำงานแล้วนั่งลงนั้น ก็สบตากับหวังเย่ว์ชวนพอดี
“อ้าว คุณหวัง มานั่งอยู่ตั้งนาน ไม่มีใครเสิร์ฟน้ำให้คุณเลยเหรอ?” เซอร์หม่าทำเสียงสดใส พูดยิ้มๆ ว่า “สงสัยคนด้านนอกคงยุ่งอยู่แน่ๆ เลยลืมดูแลคุณไปแล้ว! ไม่เป็นไร กลับไปผมจะจัดการสั่งสอนพวกเขาหนักๆ แน่นอน! แล้วมาหาผมมีอะไรหรือเปล่า?”
“นายตำรวจหม่า ผมอยากพบคนที่ชื่อจ้าวหรูสักครั้ง รบกวนคุณช่วยจัดการให้หน่อย” หวังเย่ว์ชวนบอกจุดประสงค์การมาอย่างตรงไปตรงมา
หม่าโฮ่วเต๋อชะงักไป เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงขมวดคิ้วพูดว่า “คุณหวัง จากการเปรียบเทียบจดหมายที่พบในบ้านของผู้เสียชีวิตรายแรกกับลายมือของจ้าวหรู หลักฐานชั้นต้นก็ยืนยันข้อเท็จจริงได้แล้ว ถึงเธอยังปากแข็ง แต่ผมเชื่อว่า เธอคงหนีจิตสำนึกของตัวเองไม่ได้ตลอดรอดฝั่งหรอก อีกอย่าง เพื่อนร่วมงานของพวกเราที่ออกไปสอบสวนก็คงจะได้ผลเร็วๆ นี้เหมือนกัน ไม่ต้องรบกวนคุณหวังแล้วล่ะมั้งครับ?”
“ผมมีเรื่องอยากถาม” หวังเย่ว์ชวนยังยืนยันอย่างเฉยเมย “นายตำรวจหม่า ช่วยจัดการให้ด้วย”
หม่าโฮ่วเต๋อเขยิบเข้ามาใกล้ๆ แล้วเลิกคิ้วถามว่า “ใช่เบื้องหลังสถาบันสอนพิเศษหรือเปล่า?”
“นายตำรวจหม่า ผมยังเปิดเผยเรื่องของหน่วยงานไม่ได้หรอกครับ” หวังเย่ว์ชวนแทบจะใช้น้ำเสียงแบบเดียวกันพูดขอเป็นครั้งที่สาม “รบกวนคุณช่วยจัดการด้วย”
…
พอหม่าโฮ่วเต๋อเห็นหวังเย่ว์ชวนเดินเข้าไปในห้องสอบสวน พร้อมทั้งปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้ชูนิ้วกลางซ้ายให้ลับหลัง
นายตำรวจหนุ่มข้างกายเห็นเซอร์หม่ามีพฤติกรรมแบบนี้ ก็คิดว่าคงเลียนแบบมาจากพี่สะใภ้ของเขาเสียเยอะ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ คิดจะเดินไปอีกห้องหนึ่ง
ตามกฎระเบียบแล้ว เมื่อมีคนกำลังไต่สวนความผิดอยู่ในห้องสืบสวน ก็ต้องมีคนอยู่ดูอีกห้องหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องเข้าไป” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้าพูดว่า “นี่เป็นคำขอของเขา”
“หา? นี่มันแหกกฎไม่ใช่เหรอครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างไม่พอใจว่า “ผมจะทำอะไรได้ล่ะ? ผู้ใหญ่เบื้องบนสั่งมานะ คุณไม่ได้ยินเหรอ?”
“อ้อ งั้นผมกลับก่อนแล้วกันครับ” นายตำรวจหนุ่มพยักหน้ารับ ตั้งใจจะกลับไปห้องแผนก
เขาไม่คาดคิดว่าจะโดนหม่าโฮ่วเต๋อลากกลับมา เซอร์หม่าหัวเราะเหอะๆ พลางพูดว่า “สมองเสื่อมหรือไง! ไม่ให้ดู แล้วฟังไม่ได้เหรอ? เอาหูแนบบานประตู! ห้ามฟังพลาดแม้แต่คำเดียว!”
“…”
แล้ว…เซอร์หม่าก็ทิ้งผมไว้แบบนี้ ส่วนท่านจะกลับไปเล่นเกม Minesweeper ที่เล่นซ้ำยังไงก็ไม่ผ่านด่านสักทีสินะ?
…
…
นี่คือการพบกันครั้งแรกของหวังเย่ว์ชวนกับจ้าวหรู เขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้จากภาพถ่ายในข้อมูลมานับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงรายละเอียดยิบย่อยทั้งหมด…อยู่ในหัวของเขาแล้ว
แต่พอได้พบกันจริงๆ ในที่สุดหวังเย่ว์ชวนก็รู้ว่าทำไมการซักถามถึงต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ก็เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมเปิดปากพูดเลย
ในแววตาของเธอเผยให้ความนิ่งสงบและเยือกเย็นผิดปกติ
ขนาดหวังเย่ว์ชวนยังรู้สึกได้ว่า หากเขาไม่เปิดปากพูดก่อน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ก็จะไม่เริ่มพูดสักประโยค…บางที ถึงเขาจะเปิดปากพูดแล้ว เธอก็อาจจะไม่ตอบเขาเหมือนกัน
“คุณจ้าวหรู ผมอ่านคดีของคุณมาแล้ว” แต่หวังเย่ว์ชวนก็ยังเลือกเป็นฝ่ายพูดก่อน
ทว่าจ้าวหรูกลับไม่ได้โต้ตอบ เธอเอาแต่นั่งเงียบๆ ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมาสักนิด
“ผมมาที่นี่ ไม่ได้ขอให้คุณสารภาพ” หวังเย่ว์ชวนแกะเสื้อสูทของตัวเองออก แล้วล้วงภาพถ่ายหลายใบออกมาจากด้านในเสื้อสูท “บอกผมหน่อยได้ไหมครับ คุณเคยเห็นคนพวกนี้บ้างหรือเปล่า?”
ภาพถ่ายทั้งหมดสี่ใบ ชายสามหญิงหนึ่ง ชายหนึ่งคนในนั้นสวมแว่นตา ตรงหางตายังเห็นไฝชัดเจนเม็ดหนึ่ง ชายสองคนและหญิงหนึ่งคนที่เหลือมีหน้าตาธรรมดาทั่วไป ไม่เห็นลักษณะเด่นอะไร
จ้าวหรูเหลือบมองแวบเดียว ก็เบือนสายตาหนีไปมองกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ในห้องสืบสวน…เธอไม่ได้มองคนที่อยู่อีกฟากของกระจก แต่มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
เธอยื่นมือออกมาสางผมของตัวเอง คล้ายกำลังส่องกระจกหวีผมตัวเอง แล้วจับสร้อยบนคอเส้นนั้นด้วย
เธอยังไม่ยอมตอบคำถาม
หวังเย่ว์ชวนหรี่ตามองแวบหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง เขาก็หยิบภาพถ่ายใบหนึ่งในนั้นขึ้นมา คนในภาพเป็นผู้ชายคนหนึ่ง “คนนี้ฆ่าคนในมณฑลตายไปหกคนต่อเนื่องกันเมื่อปีที่แล้ว”
แล้วเขาก็หยิบภาพถ่ายผู้หญิงอีกคนหนึ่งขึ้นมา “ผู้หญิงคนนี้เป็นนางระบำ ก่อคดีไปสามคดีเมื่อแปดเดือนก่อน”
เขาหยิบภาพถ่ายชายอีกคนหนึ่งขึ้นมาอีก “ส่วนคนนี้ตกงาน สังหารโหดคนเร่ร่อนไปสี่รายเมื่อหกเดือนก่อน”
จ้าวหรูมองหวังเย่ว์ชวนอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง เธอยังคงไม่พูดอะไร แค่ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปหากระจกในห้องสืบสวนบานนั้น ก่อนจัดแจงความเรียบร้อยของหน้าตาตัวเองดีๆ อีกครั้ง
“คุณจ้าวหรูครับ คุณช่วยให้ความร่วมมือด้วย” หวังเย่ว์ชวนลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาจ้าวหรูจากด้านหลัง เงาของเขาก็ปรากฏอยู่ด้านหลังเงาสะท้อนตัวจ้าวหรูบนกระจกด้วยเช่นกัน
“ฉันไม่รู้ว่าคุณเอารูปคนที่ฉันไม่รู้จักพวกนี้มาถามฉันเพื่ออะไร” จ้าวหรูพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ฉันจำเป็นต้องตอบด้วยเหรอ?”
“งั้นเหรอ? ไม่รู้จักเลยสินะครับ?” หวังเย่ว์ชวนพยักหน้า เขาขยับเข้าใกล้เธออีกเล็กน้อย จนร่างกายของเขาแทบจะแนบไปกับหลังจ้าวหรู
ทันใดนั้น เขาก็วางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของจ้าวหรูเบาๆ
“ทำไมคะ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่นิยมบีบบังคับให้สารภาพ แต่ก่อกวนแทนแล้วเหรอคะ?”
“เปล่า…ผมจะทำได้ยังไงกันล่ะ? ผมแค่…” หวังเย่ว์ชวนยิ้มเยาะ “คิดจะเอาของบางอย่างจากตัวคุณ”
พูดจบ หวังเย่ว์ชวนก็ออกแรงดึงสร้อยบนคอจ้าวหรู ก่อนถอยกลับไปอยู่ข้างๆ โต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วชูสร้อยในมือขึ้นมา “อันนี้ไง”
“เอาคืนมานะ!”
ตอนนี้จ้าวหรูที่ดูเยือกเย็นมาโดยตลอด กลับเริ่มลุกลี้ลุกลนอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นไม่เคยเห็นมาก่อน เธอโผเข้าหาหวังเย่ว์ชวนอย่างรวดเร็ว
แต่สองมือของเธอถูกใส่กุญแจมือไว้แล้ว จะเคลื่อนไหวก็ไม่สะดวก หวังเย่ว์ชวนเพียงแค่ขยับหลบไปสองก้าวก็พ้น
เขาพูดอย่างเฉยเมย “คุณไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนี้จริงๆ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณต้องตกใจขนาดนี้ด้วย? ทำไมถึงมีสร้อยแบบเดียวกับพวกเขา? แล้วทำไม…”
หวังเย่ว์ชวนมองแววตาเอาเรื่องของจ้าวหรู แล้วพูดเสียงหนักแน่นว่า “ทำไมพวกคุณถึงหวงสร้อยเส้นนี้กันนักนะ?”
“คืนมานะ!”
จ้าวหรูโผเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง!
หวังเย่ว์ชวนจึงกดตัวเธอแนบกับผนังห้อง แล้วพูดเสียงเข้มว่า “บอกมา! สร้อยเส้นนี้มันยังไงกันแน่! คุณได้มันมาจากชายสวมแว่นดำคนนั้นใช่ไหม? เขาชื่ออะไร!”
“ฉันไม่รู้! ฉันไม่รู้!! ฉันไม่รู้! คืนฉันมา! เอาคืนมานะ!” จ้าวหรูดิ้นรนต่อสู้อย่างบ้าคลั่งทั้งที่ใบหน้าแนบติดไปกับผนังห้อง
“เกิดอะไรขึ้น?!”
และในตอนนั้นเอง นายตำรวจหนุ่มที่ได้ยินความเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกก็รีบพุ่งตัวเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ข้างใน ก็อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกทันที
หวังเย่ว์ชวนขมวดคิ้ว จ้าวหรูจึงดิ้นหลุดออกมาในช่วงทีเผลอนี้
แต่ถึงแม้เธอจะดิ้นหลุดออกมาได้ เธอก็ไม่ได้คิดจะพุ่งออกไปจากห้องนี้ทันที ทว่าโผไปหาหวังเย่ว์ชวน หวังเย่ว์ชวนโต้กลับตามสัญชาตญาณ ผลักเธอไปทีหนึ่ง
แล้วจ้าวหรูก็กระเด็นไปชนผนังห้อง หัวกระแทกสลบไปทันที
“คุณหวังครับ นี่คุณ…ซ้อมผู้ต้องหาเหรอครับ?” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วถาม
หวังเย่ว์ชวนมองตำรวจหนุ่มอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
นายตำรวจหนุ่มรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวในแววตาของเขา…ดุดันยิ่งกว่านักโทษฉกรรจ์ในคุกเสียอีก หัวใจเขาจึงเต้นไม่เป็นจังหวะทันที
หวังเย่ว์ชวนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ก่อนเดินไปตรงหน้านายตำรวจหนุ่ม “พอเธอตื่นขึ้นมาเห็นอันนี้แล้ว ก็จะไม่อาละวาดอีก คุณส่งผู้ต้องหาไปรักษาเถอะ แต่จำไว้ว่า พอเธอตื่นขึ้นมาแล้วให้ติดต่อผมทันที”
แล้วหวังเย่ว์ชวนก็เดินไปจากตรงนี้ดื้อๆ
“บ้าเอ๊ย…นึกว่าตัวเองเป็นนักสืบเทวดาหรือไง?”
นายตำรวจหนุ่ม…ก็ติดนิสัยชูนิ้วกลางจากรองบรรณาธิการเริ่นแล้วเหมือนกัน