สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 44 กำแพงสูงในคุก
สำหรับนักโทษแล้ว ทุกๆ เดือนจะมีวันที่พวกเขารอคอยมากที่สุดเพียงหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น
โรงอาหารในคุกไม่ได้เพิ่มอาหารเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล นี่ไม่ใช่กิจกรรมในคุกที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่วันหยุดงาน
แต่เป็นวันปล่อยตัว
วันเยี่ยมนักโทษ
“เฉิงโหยวหมิ่น, หลี่ซือเฉิง, หวังเหว่ย, เฉิงจินฟู่…”
ขณะที่ตำรวจตะโกนเรียกชื่อทีละชื่อ เหล่านักโทษที่นั่งอยู่เงียบๆ ก็พากันลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในห้องพบญาติด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์และโศกเศร้า ทุกครั้งจะมีคนนั่งรออย่างเจ็บปวดอยู่ตรงนี้เสมอ
เพราะว่ามีคนที่ไม่เคยถูกเรียกชื่อเลย…หรือก็คือไม่เคยมีใครมาเยี่ยม
ผู้ชายคนที่ทำผมสกินเฮด มีผมขาวแซมผมดำอยู่ครึ่งหัว อายุประมาณหกสิบกว่า หรืออ่อนกว่านั้นหน่อย อาจจะด้วยชีวิตในคุกไม่ได้สะดวกสบายจึงทำให้ดูแก่กว่าวัย
แต่โจวเสี่ยวคุนรู้ว่าชายแก่ที่นั่งเป็นเพื่อนตนที่สนามกีฬาเพิ่งจะอายุห้าสิบเจ็ดปี เพราะวันนี้เป็นวันเกิดชายแก่คนนี้พอดี
“พี่อธิษฐานหน่อยสิ วันนี้เป็นวันเกิดพี่ แต่ผมทำเค้กให้ไม่ได้ ไข่ที่ผมขอให้ป้าที่โรงอาหารทำให้ พอแก้ขัดได้ไหม?” โจวเสี่ยวคุนหยิบไข่ฟองหนึ่งออกมาจากชุดนักโทษ
โจวเสี่ยวคุนถูกจับหลังจากหลบหนีในข้อหาเมาแล้วขับ ระยะเวลาจำคุกไม่ยาวนานและก็ไม่สั้น ยังไงเขาอยู่ในคุกนี้มาพอสมควรแล้ว แต่ชายแก่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขานั้นอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาเสียอีก
ได้ยินว่าโดนข้อหาฆ่าคนตาย
โจวเสี่ยวคุนไม่ได้ถามให้ละเอียดว่าฆ่าใครตาย เพราะที่นี่ทุกคนล้วนมีอดีตด้วยกันทั้งนั้น เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะยอมระบายความในใจออกมา เพราะการสอบถามไม่ใช่การกระทำของเพื่อนที่ดี
นอกจากรู้ว่าชายแก่คนนี้ต้องโทษฆ่าคนแล้ว โจวเสี่ยวคุนก็รู้เพียงว่าพี่ชายคนนี้ชื่อเฝิงกุ้ยชุน เป็นคนทางเหนือ คู่ชีวิตตายจากการคลอดลูก เขายังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน
แต่ลูกสาวของชายแก่ไม่เคยมาหาเขาเลย อย่างน้อยๆ โจวเสี่ยวคุนอยู่ในนี้มาปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่ถึงวันปล่อยตัวก็ไม่เคยเห็นใครมาเยี่ยมเขาเลยสักคน
“เสี่ยวโจว” ชายแก่…เฝิงกุ้ยชุนมองไข่ที่โจวเสี่ยวคุนถืออยู่มือแวบหนึ่ง แล้วฝืนยิ้ม “ไอหยา มีน้ำใจจริงๆ”
“อะไรกัน ตอนที่ผมมารายงานตัวครั้งแรก ถ้าไม่ได้พี่คอยดูแลผมละก็ ผมคงต้องลำบากไม่น้อยเลยครับ” โจวเสี่ยวคุนยิ้ม
“ฉันน่ะ มีเป้าหมาย นายก็รู้นี่” เฝิงกุ้ยชุนถอนหายใจ จากนั้นก็มองไปทางโจวเสี่ยวคุน ท่าทางลังเลอยู่สักพัก “นาย…เจอน้องชายแล้วหรือ?”
“ครับ เพิ่งจะเจอ เขากลับไปแล้วล่ะ” โจวเสี่ยวคุนพยักหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “พี่ ขอโทษนะ น้องผมบอกว่าเขาหาลูกสาวพี่ไม่เจอ”
เฝิงกุ้ยชุนส่ายหน้า แล้วตบขาของโจวเสี่ยวคุน ถอนหายใจพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันคิดไว้แล้วล่ะ โธ่เอ๊ย มีคนเข้าคุกอยู่เรื่อยๆ กลุ่มหนึ่งออกไปก็มีกลุ่มใหม่เข้ามา ไม่เพียงแค่นาย ฉันขอร้องมาหลายคนจนชินแล้วล่ะ”
โจวเสี่ยวคุนเห็นท่าทางฝืนยิ้มของชายแก่ก็พูดขึ้นทันทีว่า “พี่ อย่าเพิ่งถอดใจสิครับ น้องชายผมบอกว่าเขาสืบจนเจอข่าวลูกสาวพี่แล้ว แค่ยังหาเธอไม่เจอเท่านั้นเอง”
“จริงหรือ?” เฝิงกุ้ยชุนตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าดวงตาแก่หง่อมคู่นี้จะเปล่งประกายได้ขนาดนี้
โจวเสี่ยวคุนพยักหน้าพูดว่า “ครับ น้องชายผมบังเอิญได้ข่าวมาว่า ตั้งแต่ที่พี่เกิดเรื่อง สถานสงเคราะห์ก็มารับลูกสาวพี่ไปเลี้ยงดูชั่วคราว”
“ฉันรู้” เฝิงกุ้ยชุนพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ตอนแรกองค์กรนั้นมาหาฉัน เล่าถึงความเป็นอยู่ของลูกสาวฉัน ต่อมาก็มีครอบครัวหนึ่งรับเธอไปเลี้ยง…เมื่อประมาณแปดปีก่อน ได้ยินว่าพวกเขาไปต่างประเทศ จากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย”
“ได้ยินว่ากลับมาแล้วนะครับ” โจวเสี่ยวคุนตบไหล่เฝิงกุ้ยชุน “น้องชายผมสืบมาได้ว่า ครั้งนี้ลูกสาวพี่กลับมาเพื่อแต่งงาน”
“จริงเหรอ!” เฝิงกุ้ยชุนคว้ามือโจวเสี่ยวคุนมาบีบไว้แน่น “จริงหรือ? นายไม่ได้หลอกฉันนะ?”
เขาเห็นท่าทางชายแก่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างชัดเจน เขาไม่เคยเห็นพี่ชายคนนี้ตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลย
คงเพราะ…สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้ยินข่าวว่าลูกสาวตัวเองกำลังจะแต่งงานสินะ?
“น่าจะจริงนะครับ” โจวเสี่ยวคุนพลิกมือขึ้นมาตบหลังมือเฝิงกุ้ยชุน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีด้วยพี่ชาย!”
“ยินดีด้วย…ยินดีด้วย…” ทว่าเฝิงกุ้ยชุนกลับดูเศร้าลงทันที เขาพยักหน้าแล้วก็ก้มหน้าก้มตามองพื้น
“พี่?” โจวเสี่ยวคุนตะลึง เขาถามอย่างลังเลเล็กน้อย “พี่…ไม่ดีใจหรือ?”
“ดีใจสิ” เฝิงกุ้ยชุนยิ้มเฝื่อน แล้วถอนหายใจ เขาถูขาทั้งสองข้างของตัวเอง “ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ…ขอบคุณมากนะเสี่ยวโจว ที่นี่ลมแรง ฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะ”
“พี่…” โจวเสี่ยวคุนมองตามหลังของเฝิงกุ้ยชุน แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ
ลูกสาวแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องน่ายินดี แต่เขากลับไม่ได้เห็นความยินดีจาก…พี่ชายคนนี้
ถึงเขารู้แล้ว จะทำอะไรได้ล่ะ?
ลูกสาวเขาก็ดูไม่คิดจะมาเยี่ยมเขาเลย
ไข่ยังคงอยู่ในมือโจวเสี่ยวคุน เขารู้สึกว่าของขวัญวันเกิดที่มอบให้ชายแก่ชิ้นนี้ จะยิ่งทำให้เขาเสียใจมากขึ้น
โจวเสี่ยวคุนถอนหายใจ เมื่อไม่ได้มอบไข่นี้ เขาก็ไม่คิดจะเก็บไว้กินเองหรอก เขาส่ายหน้า วางไข่ไว้บนม้านั่งแล้วก็เดินกลับไป
…
จากนั้นไม่นาน ไข่ที่อยู่บนม้านั่งกลับถูกหยิบขึ้นมา…คนที่หยิบไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าของสมาคม
จากนั้นเขาก็นั่งลง มองสนามกีฬาในคุกท่ามกลางฝนพรำบนม้านั่งตัวนี้
ฝนที่ตกลงมาทำให้น้ำบนสนามกีฬาขยายออกเป็นวงเล็กๆ น้อยๆ นับไม่ถ้วน
ทิวทัศน์นอกกำแพงและทิวทัศน์ในกำแพงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“นายท่าน? คิดว่ายังไงบ้างขอรับ?”
คุณสาวใช้ของสมาคมมองลั่วชิวเงียบๆ มาพักหนึ่งแล้ว เธอระงับอารมณ์ไว้ได้ แต่ไท่อินจื่อทำไม่ได้ จึงเกาหัวแล้วพูดถาม
“ยังไงอะไร?” ลั่วชิวมองไท่อินจื่อแล้วเอ่ยถาม
“ก็ลูกค้าครั้งนี้…” ไท่อินจื่อพูดด้วยความเคารพ “ที่ข้าหมายถึงก็คือเฝิงกุ้ยชุน …นายท่านดูสิ เขาอยากเจอลูกสาวมากขนาดไหน! ข้าว่า เขาต้องยอมจ่ายทั้งหมดในชีวิตเพื่อสิ่งนี้แน่ๆ! โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้ หลังจากได้ยินข่าวจากเพื่อนในคุก ความปรารถนาของเขาต้องรุนแรงขึ้นแน่ๆ!”
ไท่อินจื่อเห็นเจ้าของสมาคมมองมาที่ตนคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม จึงรีบพูดขึ้นว่า “จะว่าไป แค่ให้ลูกสาวของเฝิงกุ้ยชุนมาเจอเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายงั้นหรือ? ที่จริงข้าแค่เข้าสิง ก็พาเธอมาถึงที่นี่ได้ทันที เช่น นั่งแท็กซี่มา สะดวกยิ่งนัก! นายท่าน กำไรเห็นๆ เลยขอรับ!”
เมื่อไท่อินจื่อเห็นว่าเจ้านายของตนยังนิ่งเงียบ ก็กระวนกระวายเล็กน้อย เขากลอกตาพูดว่า “นายท่าน ดูสิ เฝิงกุ้ยชุนต้องยอมใช้ทั้งหมดของตัวเองมาแลกกับโอกาสแบบนี้แน่ๆ หลังจากเขาได้เจอลูกสาว เขาต้องตื้นตันแน่นอน! เขาจะต้องร้องห่มร้องไห้ แล้วเขาก็จะไม่หลงเหลือความเสียใจอีก เท่านี้คุณภาพเขาต้องสูงขึ้นแน่ๆ”
ไท่อินจื่อมองเจ้าของร้านลั่วที่ยังคงไม่พูดอะไร ก็อดว้าวุ่นใจไม่ได้
หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? ไม่ใช่สิ… จากการสังเกตของเขาครั้งนี้ เจ้าของสมาคมต้องสนใจสิ่งนี้เป็นแน่?
อีกอย่างมีบางครั้งที่เขาแอบได้ยินนายท่านคุยกับคุณสาวใช้ จึงพอจะรู้เรื่องคุณภาพของวิญญาณอยู่บ้าง
น่าจะ…ไม่ผิดแน่?
แต่ท่าทีเงียบขรึมของเจ้าของทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา
“นายท่าน?”
ลั่วชิววางไข่ไว้ที่เดิม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ไท่อินจื่อ ครั้งนี้นายหาลูกค้าได้ดีเลยนี่”
“เพราะนายท่านแท้ๆ เลยขอรับ!”
ลั่วชิวหัวเราะน้อยๆ แล้วก็หายไปต่อหน้าต่อตาไท่อินจื่อ…หายไปแล้ว…หาย
นายท่านทิ้งให้ไท่อินจื่อยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น เขาเห็นคุณสาวใช้ที่คิดจะตามนายท่านกลับไป จึงได้แต่รีบเอ่ยปากถามว่า “คุณโยวเย่ คือ…นายท่านหมายความว่า? ข้าโง่เขลา เดาไม่ออก?”
“ไม่ได้ยินที่นายท่านพูดหรือ ลูกค้าคนนี้ดีเลยน่ะ?” คุณสาวใช้ถามอย่างเฉยเมยว่า “ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”
“อ้อ…รู้แล้วขอรับ!” ไท่อินจื่อดึงสติคืนมาทันที “ข้าจะรีบไปทำงาน ต้องทำให้ดี! ไม่งั้นจะไม่ให้พรรคกับ…เอ้ย จะไม่ทำให้นายท่านและคุณโยวเย่ผิดหวังแน่นอน!”
แล้วคุณสาวใช้ก็หายไปท่ามกลางสายฝน
…
…
ที่นี่คือสถาบันการแพทย์ที่ร่วมมือกับสถานีตำรวจ โดยปกติแล้วหากมีนักโทษหรือผู้ต้องสงสัยที่กักตัวเอาไว้เกิดเจ็บป่วยอะไร ก็สามารถส่งเข้ามารับการตรวจรักษาที่นี่ได้เป็นพิเศษ
หน้าต่างถูกออกแบบมาพิเศษเพื่อป้องกันนักโทษหลบหนี
ตำรวจหนุ่มและตำรวจสาวจากอีกแผนกส่งตัวจ้าวหรูมาที่นี่ พวกเขามองดูจ้าวหรูที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ตำรวจหนุ่มจึงสอบถามหมอทันทีว่า “คุณหมอ อาการนักโทษเป็นยังไงบ้างครับ?”
“อืม อาการสลบมีหลายประเภท ผมลองเจาะเลือดเธอไปตรวจแล้ว” หมอเก็บเครื่องฟังหัวใจของตัวเอง “แต่ว่าร่างกายของเธอปกติดี อีกไม่นานก็น่าจะฟื้น”
“อ้อ งั้นก็ดีครับ” ตำรวจหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็มองไปที่ตำรวจสาวแล้วพูดว่า “ผมจะไปเซ็นเอกสารกับคุณหมอ คุณเฝ้าเธออยู่ตรงนี้ดีๆ นะ”
ขณะที่พูดเขาก็ใส่กุญแจมือจ้าวหรูข้างหนึ่งล็อกไว้กับขอบเตียงคนไข้ พร้อมกับทำน้ำเสียงเคร่งขรึม “กันไว้ก่อน ระวังตัวด้วย”
“รับทราบ” ตำรวจสาวพยักหน้า “หลินเฟิง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ”
แล้วตำรวจหนุ่ม…หลินเฟิงก็เดินออกจากห้องคนไข้ไปพร้อมกับคุณหมอ
ขณะนี้ตำรวจสาวกำลังสำรวจมองประตูหน้าต่างห้องคนไข้ทุกบานอย่างถี่ถ้วน แล้วก็มองเข้าไปยังห้องน้ำที่สร้างไว้ข้างใน สุดท้ายหลังจากล็อกประตูห้องคนไข้ ถึงได้หยิบหนังสือพิมพ์มาแล้วนั่งลง
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตำรวจสาวยิ่งอ่าน หนังตาก็ยิ่งหนักขึ้นทุกที
เธอค่อยๆ หลับตาลง สักพักก็สัปหงก แล้วก็ผล็อยหลับไป
ขณะเดียวกัน จู่ๆ ประตูห้องคนไข้ที่ล็อกไว้ก็มีเสียงแกร๊กดังขึ้น ประตูค่อยๆ เปิดออก ด้วยฝีมือของใครบางคน
เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นห้องดังตึกตึก ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับลากเก้าอี้มาตรงหน้าเตียงคนไข้แล้วลงนั่ง
พอนั่งลงแล้ว ชายหนุ่มก็ถอดแว่นออก แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดแว่นอย่างประณีต
หลังจากสวมแว่นกลับเข้าไปอีกครั้ง ชายหนุ่มก็สังเกตจ้าวหรูที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงยื่นมือออกมาจับสร้อยคอของจ้าวหรูอย่างเบามือ
ตอนนี้จี้คริสทัลของเฮยสุ่ยก็อยู่ในมือชายหนุ่มคนนี้แล้ว พร้อมกับแสงส่องประกายออกมา
แล้วเขาก็พูดเสียงแผ่วเบา “ช่างเป็นของที่น่าเกลียดเสียจริง…แต่ยังไม่พอ”
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ก้มหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของจ้าวหรู พร้อมกับกระซิบบางอย่างด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา