สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 45 การแสดงอันทรงพลัง
หลินเฟิงดูเวลาซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดช่วงเวลาที่แสนยาวนานก็ผ่านพ้นไป
เขาเดินออกมาจากห้องคุณหมอแล้วรีบไปยังห้องคนไข้พิเศษทันที พอผลักประตูเข้าไป หลินเฟิงก็พูดทันทีว่า “นี่ ผมจะออกไปซื้ออะไรกินข้างนอก คุณจะเอาอะไร…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นว่าเตียงคนไข้ว่างเปล่า หลินเฟิงจึงวิ่งไปข้างหน้าเตียงคนไข้ทันที ก็เห็นกุญแจมือที่ใช้ล็อกข้อมือจ้าวหรูหลุดออกไปแล้ว เหลือเพียงครึ่งเดียวที่แขวนติดอยู่กับขอบเตียงคนไข้
ขณะเดียวกัน ตำรวจสาวเพื่อนร่วมงานของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ไม่รู้ว่าสลบไปได้ยังไงกันแน่
หลินเฟิงตกใจมาก ศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อทันที เขาทำได้เพียงโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือ
“แย่แล้วครับ เซฮร์หม่า จ้าวหรูหายตัวไปแล้ว!”
“อะไรนะ? บัดซบเอ๊ย…” หม่าโฮ่วเต๋อทั้งตกใจทั้งโกรธ ก่อนร้องโอดโอย หลังเกิดเสียงของกระแทกโดนส่วนหนึ่งของร่างกาย “คนทั้งคนหายไปได้ยังไง?”
“ตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจ ผมออกไปดำเนินเรื่องกับคุณหมอแค่แป๊บเดียว ขอให้เสียวเข่อดูทางนี้แทน แต่พอผมกลับมา ปลุกเสียวเข่อยังไงก็ไม่ยอมตื่น กุญแจมือที่ล็อกจ้าวหรูไว้ก็ดูเหมือนถูกบางอย่างเลื่อยออก รอยตัดดูประณีตมาก…ผมเกรงว่าจะมีคนลักพาตัวเธอไปแล้ว”
“นานแค่ไหน?”
“สิบกว่านาทีได้…ไม่เกินสิบสามนาที!”
“เข้าใจแล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อรีบพูดสั่ง “ถ้าเสียวเข่อยังไม่ตื่นก็ให้เธออยู่โรงพยาบาลไปก่อน คุณรีบไปลองดูกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลว่าเกิดอะไรขึ้น…เวลาสิบสามนาที เธอยังไปได้ไม่ไกลหรอก!”
“รับทราบ!”
ในสถานีตำรวจ เซฮร์หม่าที่วางสายโทรศัพท์ลงไม่ได้สนใจหัวเข่าที่เพิ่งถูกกระแทกไปเมื่อสักครู่ แต่รีบสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปปฏิบัติหน้าที่
“สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง สถานีรถไฟ สนามบิน แล้วก็รถเถื่อนพวกนั้นด้วย รายงานผมให้ครบทุกเรื่อง!” หม่าโฮ่วเต๋อตบมืออย่างแรง “ออกไปปฏิบัติหน้าที่!! เร็วเข้า!”
ดูเหมือนว่าเขาจะไล่ทุกคนออกจากแผนกไปหมดแล้ว
เวลานี้ หลังจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย หวังเย่ว์ชวนที่ใช้ห้องประชุมเป็นห้องทำงานชั่วคราวของตัวเองก็เปิดประตูเข้ามา เขาเห็นท่าทางรีบร้อนของคนในแผนก ก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามไปว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ถ้าหมอนี่อ่านเอกสารอยู่ในห้องประชุมอย่างว่าง่าย บางทีเซอร์หม่าก็คงไม่หาเรื่องเขาทันทีหรอก แต่หมอนี่ดันทะลึ่งหาเรื่องใส่ตัวเอง เขาจึงอดพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดใส่ไม่ได้ “เพื่อนร่วมงานหวัง รู้ไหมว่าคุณก่อเรื่องอะไรไว้? จ้าวหรูถูกพาตัวออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว!”
สีหน้าหวังเย่ว์ชวนเคร่งขรึมขึ้นมา แล้วรีบเดินออกจากห้องประชุมไปทันที เขาพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียดว่า “ทำไมถึงปล่อยให้คนพาเธอออกไปได้ คนของคุณเฝ้าไม่ดีหรือไง?”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผมมั่นใจในการทำงานของลูกน้องผม! ตอนนี้ลูกน้องคนหนึ่งของผมสลบอยู่ที่โรงพยาบาลยังไม่ฟื้น! แต่คุณกลับไม่บอกผมว่าคุณพูดอะไรกับจ้าวหรูกันแน่! ทำไมเธอถึงถูกพาตัวไป! คุณต้องรู้ดีกว่าผมสิ! ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้สลบไปจนต้องส่งโรงพยาบาล? เพื่อน! ร่วมงาน! หวัง!”
เมื่อเผชิญกับการซักถามของหม่าโฮ่วเต๋อ หวังเย่ว์ชวนกลับเงียบขรึมอยูสักพัก เหมือนกำลังคิดอะไร
สักพัก เขาก็เดินกลับไปที่ห้องประชุม สวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา “โรงพยาบาลที่ส่งจ้าวหรูไปอยู่ที่ไหน พาผมไปที”
“คุณคิดจะทำอะไร? คุณคิดว่าเธอยังซ่อนตัวอยู่ในโรงพยาบาลรอคุณไปจับอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่” หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างขึงขัง “นายตำรวจหม่า คุณอยากรู้อะไรก็พาผมไปสิ ผมไม่ได้ไปหาจ้าวหรู แต่ผมจะไปหาดูว่ามีเบาะแสของหมอนั่นอยู่ไหม”
“หมอนั่น?” หม่าโฮ่วเต๋องุนงง ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “หมอนั่นไหน?”
“ไอ้ตัวร้าย”
หม่าโฮ่วเต๋อไม่รู้ว่า ‘ไอ้ตัวร้าย’ ที่หวังเย่ว์ชวนพูดถึงนั้นเป็นใครกันแน่ แต่เขากลับรู้ได้ว่าหวังเย่ว์ชวนดูคล้ายกับสุนัขดุร้ายก็มิปาน
…
…
ด้วยเพราะวันนี้เป็นวันปล่อยตัว ในคุกจึงไม่มีงานให้ทำ แม้ว่านักโทษบางคนจะไม่มีใครมาเยี่ยม แต่พวกเขาก็ได้มีช่วงเวลาที่ค่อนข้าง ‘อิสระ’ เช่นกัน
แต่เฝิงกุ้ยชุนกลับเลือกใช้เวลานี้นอนอยู่บนเตียงของตัวเอง
น่าจะหลับอยู่นะ? อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้…โจวเสี่ยวคุนมองดูบรรยากาศมืดสลัวในห้องขังแวบหนึ่ง ก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้ เขาไม่ได้ไปรบกวนเฝิงกุ้ยชุน เขารู้ว่าเวลานี้ปล่อยให้เหล่าเฝิงอยู่เงียบๆ คนเดียวน่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า
เตียงของโจวเสี่ยวคุนแยกออกมาทางซ้ายมือของเตียงของเฝิงกุ้ยชุนอีกสองเตียง เขาเองก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน ไม่นานเขาก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เวลานี้ในห้องขังมีคนไม่มาก จู่ๆ เฝิงกุ้ยชุนก็เลิกผ้าห่มออก มองไปที่โจวเสี่ยวคุนแวบหนึ่ง ก่อนค่อยๆ หยิบหมอนของตัวเองขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วดึงผ้าปูที่นอนออก ซึ่งข้างใต้นี้ได้ปิดทับรูปที่เหล่าเฝิงเก็บรักษามาโดยตลอด
หลายปีแล้ว ทุกคืนเขาจะต้องดูรูปนี้ก่อนนอน
หลายปีแล้ว สายตาของเขาก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
เหล่าเฝิงสวมแว่นตา ขยับตัวให้แผ่นหลังพิงกับหน้าต่าง แสงที่ทะลุผ่านหน้าต่างกรงเหล็กเข้ามาทำให้เขามองเห็นรูปถ่ายใบนี้ได้อย่างชัดเจนภายในห้องขังอันมืดสลัว
มันเป็นรูปถ่ายเรียบง่าย เป็นภาพที่พ่อกอดลูกสาวนั่งอยู่ในบ้าน
เหล่าเฝิงทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยเบื่อเลย
เหล่าเฝิงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าลูกสาวตัวน้อยในรูปอย่างเบามือ ลูบแล้วลูบอีก สุดท้ายเขาก็กอดรูปใบนี้เบาๆ เอนตัวพิงหัวเตียง แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “พ่อรู้ว่าลูกไม่อยากเจอพ่อ…พ่อไม่ว่าลูกหรอก…”
เขาหลับตาลง ด้วยความเหนื่อยล้ายิ่งยวด
ทันใดนั้นเหล่าเฝิงก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งท่ามกลางความมืดสลัว เสียงนั้นเบามาก ราวกับว่า…มีใครสักคนกำลังพูดอยู่ข้างหูเขา
เขาพูดว่า ‘คุณไม่อยากเจอลูกสาวแล้วจริงๆ หรือ?’
นั่นเป็นเสียงในจิตสำนึกของตัวเองหรือ? เหล่าเฝิงไม่รู้…เขาได้แต่คิดอย่างเผลอไผลว่า ฉันไม่อยากฉุดเธอลงมา เธอไม่เจอฉันก็ถูกต้องแล้ว…
เสียงนั้นยังคงพูดต่อ แต่ว่า เธออาจจะไปจากที่นี่หลังเสร็จงานแต่ง แล้วไม่กลับมาอีก คุณจะไม่มีแม้แต่โอกาสเจอเธอครั้งสุดท้ายเลยนะ
เหล่าเฝิงคิดแล้วก็ขมขื่นในใจ ไม่เป็นไร…แค่ฉันได้รู้ว่าเธอมีความสุขก็พอแล้ว
เสียงนั้นยังคงพูดต่ออย่างอดทน คุณไม่ไปเจอลูกสาวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอมีความสุขหรือเปล่า คุณไม่กังวลหรือว่าผู้ชายคนนั้นจะดีกับเธอหรือไม่? คุณไม่อยากเห็นหรือว่าตอนนี้ลูกสาวคุณโตมาหน้าตาเป็นยังไง? คุณไม่อยากจูงมือเธออีกสักครั้งบ้างหรือ?
ฉันคิด…แต่ว่าฉัน…เธอไม่มาหาฉันหรอก…ฉันจะฉุดเธอลงมา ฉันจะฉุดเธอลงมา
มาเถอะ…มาเถอะ…ขอแค่คุณยินดี…มาเถอะ มาเถอะ…พวกเราทำให้ความหวังคุณเป็นจริงได้…มาเถอะ มาเถอะ…ขอแค่คุณมีความหวัง ขอแค่คุณยอมจ่ายด้วยอะไรสักหน่อย ความหวังของคุณก็จะเป็นจริง…มาเถอะ…
เสียงนั้นวนเวียนอยู่ข้างๆ ใบหูเหล่าเฝิง
นั่นคือเสียงที่ไท่อินจื่อบีบเค้นออกมาจากลำคอ
แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาสงบนิ่งของเหล่าเฝิง ไท่อินจื่อก็ต้องอ้าปากค้างทันที
ให้ตายเถอะ! ข้าเล่นใหญ่ขนาดนี้ เจ้ายังไม่ตอบรับอีกงั้นหรือ??
จากนั้นเฝิงกุ้ยชุน…เหล่าเฝิงก็ผล็อยหลับไป