สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 57 ที่ซุกหัวนอน
เมื่อหลายปีก่อน
หญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังอวยพรเพื่อนร่วมงานสาวที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าบริกร ในห้องทำงานของโรงแรมใหญ่
ผู้คนในห้องทำงานดีใจกันมาก พากันพูดอวยพรต่างๆ นานา
แต่เธอกลับเดินไปที่ห้องทำงานของรองผู้จัดการเงียบๆ เคาะประตู ก่อนเดินเข้าไป มองดูรองผู้จัดการที่ดูแลเธออย่างดี อยากจะบอกอะไรบางอย่าง
รองผู้จัดการคนนี้ดูแลเรื่องบุคลากร…แน่นอนว่าเขาดูแลพวกพนักงานตำแหน่งเล็กๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารส่วนบน
ผู้จัดการคนนี้ก็รู้สาเหตุที่หญิงสาวคนนี้มาหา รองผู้จัดการจึงพูดอย่างรู้สึกผิด “จ้าวหรู อย่าเสียใจไปเลย ครั้งหน้ายังมีโอกาสอยู่นะ”
“ไม่ใช่…ไม่ใช่ว่าเราคุยกันแล้วหรือคะ?” หญิงสาวก้มหน้า มือเธอที่วางอยู่ข้างลำตัวกำชายเสื้อไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
“เฮ้อ อันที่จริงฉันก็อยากจะเสนอชื่อเธอเหมือนกันนะ” รองผู้จัดการส่ายหน้า
สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นพวกขยันทำงาน ทั้งยังทำได้ดี และมีความรับผิดชอบสูง
“แล้ว…”
“บริษัทก็มีกฎ วุฒิการศึกษาของเธอมันน้อยเกินไปนะ” รองผู้จัดการส่ายหน้าพูดว่า “คุณสมบัติอื่นๆ ของเธอผ่านหมด เหลือเพียงคุณสมบัติข้อเดียว…”
“เธอคนนั้นทำงานสู้ฉันไม่ได้ ประสบการณ์ก็น้อยกว่าฉัน หรือว่าเพราะแค่ปริญญาบัตรเพียงใบเดียวจริงๆ คะ?”
รองผู้จัดการส่ายหน้า ถอนหายใจพูดว่า “บริษัทมีกฎบางอย่างที่ต้องยึดถือไว้ …อีกอย่าง เธอออกมาทำงานก็นานหลายปีแล้ว ทำไมไม่เลือกเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองสักหน่อยล่ะ? แค่เรียนต่อมหาวิทยาลัยสักแห่ง ขอแค่ตั้งใจ เธอก็ยังมีโอกาสอยู่นะ…เธอว่าเอาแบบนี้ดีไหม ครึ่งปีหลังทางโรงแรมวางแผนจะขยายทีมฝ่ายห้องพักเพิ่ม ถึงตอนนั้นฉันจะเสนอชื่อเธอ ถ้าเพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยได้สักตำแหน่ง…”
แต่รองผู้จัดการยังไม่ทันได้พูดจบ หญิงสาวตรงหน้ากลับส่ายหัว แล้วสื่อด้วยแววตาเย็นชาว่า ‘ไม่ต้อง’
หญิงสาวคิดในใจว่า ถึงครึ่งปีหลังจะขยายทีมจริงๆ หรือเพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยมาอีกตำแหน่ง โอกาสก็คงไม่ตกมาถึงมือของเธอเองแน่
เธอทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้มาปีกว่าแล้ว นับได้ว่าเธอมีประสบการณ์ที่สุดในฝ่ายห้องพักแล้ว ถึงหัวหน้างานลาออกจากตำแหน่งมาสองครั้ง…ก็ไม่เห็นว่าตำแหน่งจะตกมาถึงเธอเลย
เพิ่มคุณค่า?
เธอก็คิดอยู่เหมือนกันนะ แค่เงื่อนไขชีวิตไม่เอื้ออำนวย…ก็เงินเดือนน้อยนิดแบบนี้
เธอไม่เคยเรียนทักษะอาชีพ พอเรียนจบ ม.ปลายก็ออกมาทำงานเลย เริ่มจากสองสามพันหยวนต่อเดือนจนกระทั่งตอนนี้ก็หาได้แค่งานที่เงินเดือนสามสี่พันหยวนเท่านั้น
นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ว่าหางานยากแล้ว…แต่สำหรับคนที่เพิ่งจบ ม.ปลายมาอย่างเธอกลับยากยิ่งกว่า
เพื่อนร่วมงานยังอยู่ในที่ทำงานกันก็เพราะกำลังอวยพรคนที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง…แต่เธอกลับหลบออกมานั่งยองๆ อยู่หลังบันไดเพียงคนเดียว อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
แต่บริษัทนี้ก็ไม่ใช่บริษัทอันดับหนึ่งเหมือนกัน
เธออ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือเงียบๆ
ต้องส่งเงินไปให้ที่บ้านอีกแล้ว
…
…
จ้าวหรูฝัน
เธอไม่ฝันมานานมากแล้ว เธอฝันถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงพวกนั้น นั่นคือความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำให้เธอต้องตื่นขึ้นเร็วกว่าปกติ
ทำไมยังฝันแบบนี้อยู่อีก
ไม่น่าจะฝันแล้วนะ
มันทำให้เธอไม่อาจสงบจใจลงได้ทันทีแม้ว่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสงบใจลงได้เร็วอยู่ดี
เพราะเธอยื่นมือไปกุมจี้หยดน้ำด้วยความเคยชิน หลังจากมีสิ่งนี้ เธอก็สงบจิตสงบใจลงได้
…
และเช่นเดียวกัน เพราะจ้าวหรูตื่นเร็วจึงเห็นลุงม่ายจัดแจงดูแลหลานชายพอดี
ลุงม่ายต้องไปส่งม่ายเสี่ยวจวินไปโรงเรียนแล้ว
“พี่เสี่ยวหรู!”
ม่ายเสี่ยวจวินเห็นเธอ จึงยิ้มพร้อมตะโกนเรียก
ลุงม่ายก็ยิ้มแย้ม แพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่หนู วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะ!”
จ้าวหรูพยักหน้า แล้วมุดเข้าไปใน ‘ห้อง’ ของตนเองอีกครั้ง
ตอนนี้ลุงม่ายเริ่มลังเล ยื่นหัวเข้าไปเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เสี่ยวหรูเอ๊ย ข้างนอกไม่ปลอดภัย ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าออกไปล่ะ”
ดูเหมือนว่าเขากำลังจะเตือนอะไรเธอ
จ้าวหรูมองลุงม่ายโดยไม่พูดอะไร ผ่านไปสักพักถึงได้พยักหน้าเบาๆ
ตอนนี้เอง ลุงม่ายกลับโบกมือให้หลานชายเดินออกไปรอเขาที่ซอย แล้วนั่งลง ชายชราล้วงบุหรี่ที่ยับยู่ยี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจุดไฟ
จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “คนที่นี่บางคนก็ไม่มีชื่อ และไม่พูดคุยกับคนอื่น เธอรู้ไหมว่าเพราะอะไร”
“เพราะอะไรคะ”
ชายชราคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยอย่างเรียบง่ายว่า “เพราะว่าข้างนอกไม่มีที่ให้พวกเราซุกหัวนอนไงล่ะ รวมทั้งที่นี่ด้วย อันที่จริงก็ไม่ใช่ที่ที่ให้พวกเราซุกหัวนอน แต่ทำไมพวกเราถึงอยู่ที่นี่ เพราะว่าพวกเราต้องการที่ซุกหัวนอนไงล่ะ”
จ้าวหรูไม่ได้พูดอะไร
ชายชราตบหลังมือเธอเบาๆ จากนั้นก็ยืดขาลุกขึ้นยืน โน้มตัวโค้งลงมาพูดว่า “อยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรก็ได้ พอเธออยากจะไปก็ไปได้เลยนะ”
ชายชราต้องไปส่งหลานชายที่โรงเรียนแล้ว สำหรับชายชรานั้น บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในทุกๆ วันของเขาเลยก็ได้
จ้าวหรูเหม่อลอยอยู่ใน ‘ห้อง’ นี้คนเดียว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอถึงได้ดึงสวมหมวกฮู้ด แล้วก้มหน้าเดินออกไปจากอีกข้างหนึ่งของซอย
เธอไม่รู้ว่าด้านหลังเธอมีหมอกควันสีดำกลุ่มหนึ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นกำลังสะกดรอยตามอยู่
…
…
นายตำรวจหม่าแทบจะระเบิดอยู่แล้ว…
แน่นอนว่าไม่ได้ตายเพราะเกมกวาดระเบิด แต่เป็นเพราะนักโทษหลบหนีไปสัปดาห์หนึ่งเต็มๆ แล้ว แต่เขายังไม่ได้อะไรคืบหน้าเลย!
“ยัยนี่หายตัวได้หรือยังไงกันเนี่ย”
ตอนนี้เองประตูห้องทำงานของเซอร์หม่าก็เปิดออก แล้วหลินเฟิงก็ถือเอกสารชุดหนึ่งเดินเข้ามา
หม่าโฮ่วเต๋อถามทันทีว่า “มีข่าวคราวอะไรไหม?”
หลินเฟิงส่ายหน้า พูดต่อว่า “เซอร์หม่าครับ ยังหาตัวคนไม่พบ แต่พวกเราพบคนในครอบครัวของจ้าวหรูแล้วครับ”
“ว่ามาสิ”
หลินเฟิงเปิดเอกสารแล้วพูดต่อ “พ่อแม่ของจ้าวหรูยังมีชีวิตแข็งแรงดี แล้วยังมีน้องชายอีกคนหนึ่ง แต่พวกเขาอาศัยอยู่ต่างเมืองครับ พ่อแม่ของเธอเป็นชาวนาทั้งคู่ ส่วนน้องชายของเธอยังเรียนไม่จบมหา’ลัย ดูเหมือนว่าจะถูกทางมหา’ลัยเชิญให้ลาออกแล้ว เพราะก่อเหตุทะเลาะวิวาท จากที่พ่อแม่ของเธอเล่ามา หลังจากจ้าวหรูเรียนจบ ม.ปลายก็ออกมาทำงานเลยครับ ตอนเพิ่งทำงานใหม่ๆ ก็จะส่งเงินมาช่วยทางบ้านตรงเวลา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนกลับบ้านช่วงปีใหม่ เธอขัดแย้งกับที่บ้าน แล้วก็ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลยครับ”
“ไม่ค่อยลงรอยกับคนที่บ้านสินะ…” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า แต่กลับขมวดคิ้วถามอีกว่า “รู้ไหมว่าทำไมเธอถึงขัดแย้งกับคนที่บ้าน”
หลินเฟิงยักไหล่ตอบว่า “คนที่คุยโทรศัพท์ด้วยคือพ่อของเธอครับ ผมก็ถามแล้ว แต่อีกฝ่ายดันวางสายผมไปซะก่อน แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องจ้าวหรูละเอียดนะครับ ผมแค่บอกว่าเธอหายตัวไปแค่นั้น”
หลินเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “พ่อของเธอดูไม่ได้แปลกใจเลยนะครับ ตอบมาแค่ ‘อ้อ’ เท่านั้น”
“อ้อ?”
“อ้อขึ้นมาคำเดียวครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อนวดหว่างคิ้ว “ถามที่โรงเรียนที่จ้าวหรูเคยเรียนหรือยัง เธอเป็นคนยังไงบ้าง”
หลินเฟิงตอบว่า “ผมโทรศัพท์ไปถามแล้วครับ ครูที่ปรึกษาของเธอเล่าให้ฟังว่า ผลการเรียนของจ้าวหรูดีมาก นิสัยก็ดีเหมือนกันครับ ตอนนั้นดูเหมือนว่าจะสอบเข้ามหา’ลัยดีๆ แห่งหนึ่งได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมต่อมาถึงไม่ยอมเรียนต่อ แต่เลือกไปทำงานแทน พอครูคนนั้นพูดถึงตรงนี้ก็ดูท่าทางเสียดาย บอกว่าครอบครัวเธอทำให้เธอผิดหวัง คนที่ควรเรียนต่อกลับไม่ให้เรียนต่อ คนที่ไม่ควรได้เรียนต่อกลับได้เรียนต่อ”
หลินเฟิงเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งก็พรวดพราดเดินเข้ามา รีบอ้าปากบอกว่า “เซอร์หม่าครับ ที่สถาบันสอนพิเศษมีนักเรียนคนหนึ่งโทรศัพท์มาครับ เธอรีบร้อนมาก เธอบอกว่าเธอได้รับข้อความข่มขู่ครับ!”
“แล้วตัวคนล่ะ? อยู่ที่ไหน” หม่าโฮ่วเต๋อโพล่งถามออกไปทันที ไม่มีเวลาสนใจเอกสารที่อยู่ในมือของหลินเฟิง
“นักเรียนคนนั้นบอกว่า พูดคุยแบบไม่เปิดเผยตัวตนเท่านั้นครับ เธอไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้เยอะนัก โดยเฉพาะพ่อของเธอ และหวังว่าพวกเราจะช่วยเธอนะครับ”
“งั้นก็ได้ ฉันจะไปหาเอง” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า
เขาชนเข้ากับหวังเย่ว์ชวนที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูห้องทำงาน…เซอร์หม่ามองเจ้าหมอนี่ นี่เขาเป็นสุนัขตำรวจหรือไงกัน ดมได้กลิ่นอะไร ทำไมถึงเดินออกมาจากห้องประชุมด้านตรงข้ามประจวบเหมาะขนาดนี้!
คาดไม่ถึงเลย เซอร์หม่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากว่าอะไร หวังเย่ว์ชวนก็เอ่ยปากพูดเสียก่อนว่า “ผมได้ยินที่พวกคุณคุยกันแล้ว นายตำรวจหม่า ผมไปกับคุณด้วยแล้วกัน”
หม่าโฮ่วเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นด้วย สองคนรวมทั้งหลินเฟิงเดินออกไปจากสถานีตำรวจพร้อมกัน
…
…
ในคุก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งบนแขนสักลายเสือกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าอ้วนจาง
“ลูกพี่ครับ! รีบร้อนเรียกผมมาขนาดนี้ เงินไม่พอใช้หรือเปล่าครับ” ตอนนี้ชายร่างกำยำถามขึ้นตรงๆ
“ปัญญาอ่อนหรือไง!” เจ้าอ้วนจางมองตาค้อน “ฉันต้องลำบากกว่าจะไหว้วานคนส่งข้อความไปบอกใแกได้ จะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องเงินได้ยังไง ถึงของที่นี่ราคาสูง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่พอใช้นะเฟ้ย!”
ชายร่างกำยำได้แต่เกาหัวถามว่า “งั้นมีเรื่องอะไรหรือครับ”
เจ้าอ้วนจางเขยิบเข้ามาใกล้ๆ กระซิบเบาๆ ว่า “แกฟังให้ดีนะ ฟังหลุดไปแม้แต่คำเดียวฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
ชายฉกรรจ์ตบหน้าอกพลางพูดว่า “ลูกพี่ครับ เรื่องของลูกพี่ก็คือเรื่องของผม! ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่รับผมมา ถึงตอนนี้ผมคงเป็นแค่หัวขโมยข้างถนน!”
เจ้าอ้วนจางพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟังให้ดีนะ เฉียงจื่อ แกไปพบคนคนหนึ่งที่ชื่อโจวเสี่ยวเผิงก่อน เขาอยู่ที่Xพอแกพบเขาแล้ว ก็ให้เขาพาแกไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง จากนั้นแกก็พาผู้หญิงคนนี้มาที่นี่!”
ชายฉกรรจ์…เฉียงจื่อเกาหัว “เอ๊ะ ลูกพี่ครับ เด็กของเรามีคนที่ชื่อโจวเสี่ยวเผิงด้วยเหรอครับ ไม่ใช่สิ เดือนนี้ยังไม่ได้เปิดห้องหอเลยใช่ไหมครับ? ลูกพี่ทนไม่ไหวแล้วเหรอครับ”
“เฉียงจื่อ แกรู้เหรอว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดจะทำอะไร”
“ทำอะไรครับ”
“ไอ้เจ้านี่นิ!”