สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 61 ปกคลุมไปด้วยฝุ่น
ลั่วชิวกินบะหมี่เตาเซียวเมี่ยนจากร้านบะหมี่ข้างทางหมดไปแล้ว
เหล่าเฝิงกลับยังจมอยู่กับรสชาติของความทรงจำ
ไม่รู้ว่ารสชาติของบะหมี่เตาเซียวเมี่ยนชามนี้ หรือรสชาติของเรื่องราวที่ออกจากปากของเขากันแน่
ไฟถนนในเมืองใหญ่คล้ายโดมิโน เริ่มส่องแสงจากเสาสองเสา จากนั้นก็ส่องไปทั่วทั้งเมือง แต่งแต้มเป็นสีสันมากมาย
เหล่าเฝิงเล่าเรื่องระหว่างเขากับหญิงสาวที่พาลูกมาตัดเสื้อผ้าเกือบจบแล้ว ก็ซดน้ำซุปหยดสุดท้ายในชามจนหมด
จากนั้นก็เงียบไปสักพัก
ก่อนเล่าต่อ “ต่อมา วันที่ผมถูกจับ ก็เป็นวันที่ตัดชุดของคุณผู้หญิงคนนั้นเสร็จพอดี เรื่องช่างน่าหัวเราะ ผมเคยเจอนายตำรวจคนนั้นแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกตอนที่เขามาเป็นเพื่อนภรรยา ครั้งที่สองคือวันที่รับของ และก็เป็นวันที่เขาจับตัวผมด้วย”
ลั่วชิวจดจ่ออยู่กับเรื่องเล่าจากปากของเหล่าเฝิง…เรื่องที่ออกมาจากปากชายแก่ทีละนิด ก็เพียงพอให้เขาเห็นภาพเหตุการณ์ฉายซ้ำในห้องรับแขกของบ้านเก่าหลังนี้
“คุณลุงคิดว่า ตอนที่ตำรวจคนนั้นเห็นคุณลุงเป็นครั้งแรก เขาสงสัยในตัวคุณลุงแล้วหรือ”
เหล่าเฝิงหัวเราะ ส่ายหน้าพูดว่า “ใครจะรู้ล่ะ? บางทีคุณอาจพูดถูก บางทีเขาคงรู้ตั้งนานแล้ว แต่อยากให้ผมตัดชุดนั้นเสร็จก่อน หรือบางทีเขาอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้ พอตรวจหาหลักฐานได้แล้วถึงลงมือ แต่เขาดันไปเจอหลักฐานวันที่ตัดชุดเสร็จพอดี…ไม่ว่าจะเพื่ออะไร ยังไงก็ดีทั้งนั้น”
ลั่วชิวพยักหน้าคล้ายกำลังคิดบางอย่าง
เหล่าเฝิงยังพูดต่อ “ก็เพราะฉันคือคนร้ายน่ะสิ รอดตัวได้นานขนาดนี้ สำหรับฉันแล้วมันคือความกรุณาอย่างหนึ่ง…”
ถ้าเขารับตัดชุดเจ้าสาวแบบนี้เป็นปกติ กว่าจะตัดชุดเสร็จคงต้องใช้เวลานานขึ้นเป็นธรรมดา
หากทำงานนานเป็นปกติ วันเวลาของพ่อลูกในห้องเก่าๆ นี้คงยาวนานขึ้นอีกหน่อย
…
เหล่าเฝิงถอดแว่นตาออก บีบจมูกตัวเอง แล้วสวมแว่นกลับไปอีกครั้ง “จะว่าไป ผมไม่ได้แปะรูปใบนี้นะ วันนั้นผมบอกเขาว่า ก่อนจับตัวไป ขอผมทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนได้ไหม นายตำรวจคนนั้นอนุญาต แล้วเขาก็ถ่ายรูปใบนี้ออกมา”
เหล่าเฝิงถอนหายใจ พูดด้วยท่าทีสับสน “ผมคิดว่า ตำรวจคนนั้นคงไปอัดภาพนี้มา หลังจากนั้นเขาคงแอบกลับมาที่นี่ แล้วแปะมันเอาไว้น่ะ แต่เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมเลย เป็นคนพิลึกทีเดียว”
“ไม่…เลยหรือ” ลั่วชิวงึมงำเบาๆ
“เมื่อก่อน ตำรวจคนนี้จะมาเยี่ยมผมที่คุกเป็นครั้งคราว” เหล่าเฝิงเอ่ยตอบ “น่าจะเป็นช่วงที่จับผมมาได้ไม่นาน เขาจะมาเยี่ยมปีละสองสามครั้ง อืม แต่หลายปีมานี้ ผมไม่เห็นเขามาเลย”
เหล่าเฝิงหัวเราะ พร้อมกับมองเจ้าของสมาคมคนนี้ “เกือบลืมไปแล้วนะ ถ้าไม่ใช่ญาติ ใครจะมานั่งจำคนอื่นไปทั้งชีวิต? เรื่องแบบนี้ ก็เหมือนพวกคุณ…อืม พูดยังไงดีล่ะ คนวิเศษอย่างคุณน่าจะเข้าใจดีกว่าผมนะ ผมมาคิดดูแล้ว เวลาคงไม่มีความหมายกับพวกคุณมากนัก สิ่งที่พวกคุณพบเจออาจจะเยอะกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่าก็เป็นได้”
“เขาไม่ได้ลืมคุณ” ลั่วชิวพูดขึ้นมาทันที
เหล่าเฝิงตะลึงงัน คล้ายรอฟังเหตุผล
“นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณลุง งั้นผมไม่รบกวนแล้วล่ะครับ” ลั่วชิวลุกขึ้นยืน “ผมชอบเรื่องที่คุณลุงเล่ามาก ถ้ามีเวลาผมจะมาฟังคุณเล่าเรื่องลูกค้าคนอื่นอีกนะครับ…แน่นอนว่า ผมจะเอาของกินมาฝากคุณลุงด้วย ผมคิดว่าคนแก่มักจะลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วเสียอีก”
ขณะที่พูดอยู่ เหล่าเฝิงก็เห็นคนคนหนึ่งค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเขา หายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
เหล่าเฝิงมองชามที่ตัวเองกินหมดไป เจ้าของร้านพิลึกคนนี้เข้ามาได้โดยไม่เคาะประตู…ก็ออกไปแบบนี้ได้เหมือนกัน
“ประหลาดคนจริงๆ”
เหล่าเฝิงส่ายหัว ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว แต่งานของเขาเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น
เขาหยิบเข็มเย็บผ้าขึ้นมา บรรจงปักลงไปทีละเข็ม
สิบกว่าปีมานี้ เขาไม่เคยสงบใจแบบนี้มาก่อนเลย
…
ลั่วชิวที่เพิ่งออกจากบ้านเหล่าเฝิงมา ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขากลับมาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวบนถนนเก่าแก่เส้นนี้อีกครั้ง สั่งบะหมี่เตาเซียวเมี่ยนอีกสองชาม แล้วจึงจากไปจริงๆ
เขาไม่ได้กลับสมาคม แต่กลับไปที่บ้านของตัวเอง
หลังจากเขากลับมาได้ไม่นาน เริ่นจื่อหลิงก็กลับมาอย่างสุนัขหลงทางเช่นเคย
“โอ้ คืนนี้กินเตาเซียวเมี่ยนหรือ”
เจ้าของร้านลั่วเทน้ำส้มสายชู เขาไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนี้สักนิด
ทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวโดยไม่มีใครยอมพูดอะไร
ไม่รู้ว่าตอนนั้น พ่อแม่ของเขาเคยมีช่วงเวลาลองชิมก๋วยเตี๋ยวแบบนี้สักคำบ้างไหม
ถ้าลองชิมแล้ว รสชาติเป็นยังไงนะ
คิดๆ แล้ว คงเป็นรสชาติเดียวกับตอนนี้นั่นแหละ
…
…
ช่วงนี้สมาคมกำลังอยู่ในช่วงระหว่างแลกเปลี่ยนกับเหล่าเฝิง รอเวลาให้การซื้อขายสำเร็จ แต่ยังมีลูกค้าอีกคนที่ทูตภูตดำรับช่วงมา
เจ้าของร้านไม่ได้พูดเข้าข้างฝ่ายใด
“ไม่รู้ว่านายท่านจะมาด้วยตัวเอง ข้า ข้า…” ภูตดำหมายเลขสิบแปดไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เพราะเธอไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
เจ้าของร้านคนก่อนออกจากสมาคมน้อยครั้งมาก…จนกระทั่งว่า เธอไม่เคยเห็นเจ้าของร้านคนก่อนมาปรากฏตัวในสถานที่ทำงานของเธอเลย
“ฉันได้ยินโยวเย่บอกว่า เธอเจอปัญหาใช่ไหม” ลั่วชิวโบกมือ “ไม่ต้องปิดบังหรอก พูดออกมาเลย”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่ทูตภูตดำจะกล้าเสียมารยาทกับเจ้าของร้านซะที่ไหนล่ะ…ดูจากกาลเวลาที่ผ่านมานาน พวกที่กล้าเสียมารยาทกับเจ้าของร้าน ทุกวันนี้คงถูกฝังจมดินไปแล้วสินะ?
มีทูตภูตดำเพียงตนเดียวที่กล้าใช้น้ำเสียงสงสัยต่อหน้าเจ้าของร้าน เขาล่วงเกินได้เพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น แต่สุดท้าย ทูตตนนั้นก็ต่อต้านเจ้าของร้านไม่ได้…
ภูตดำหมายเลขสิบแปดพยักหน้าพูดว่า “ใช่ค่ะ ข้าเจอความยุ่งยากเล็กน้อย ที่จริงข้าแก้ปัญหาเองได้ แต่ข้าคิดได้ว่า ทูตภูตดำไม่ควรปิดบังนายท่าน จึงตั้งใจกลับไปรายงานคุณหนูโยวเย่ นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนนายท่านเสียแล้ว”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดรีบร้อนอธิบาย “นายท่านวางใจเถอะค่ะ! อีกฝ่ายเป็นเพียงนักเวทมือสมัครเล่น เรียนเวทมนตร์มาแบบตื้นเขิน ข้ารับมือได้สบายๆ อยู่แล้ว”
นักเวทที่ภูตดำหมายเลขสิบแปดพูดถึง ไม่ใช่พวกแสดงมายากลเสกของในหมวกให้กลายเป็นดอกไม้ง่ายๆ แบบนั้นหรอก แต่เป็นพวกที่มีการมองเห็นพิเศษ
ลั่วชิวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เธอรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายเป็นมือสมัครเล่น”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดตอบว่า “เพราะบนตัวของเขาไม่มีท่าทีที่นักเวทควรมีเลยแม้แต่น้อย หากเป็นนักเวทที่สืบทอดวิชาของชนชั้นสูง มองปราดเดียวก็อ่านบุคลิกออกแล้ว แต่เขา…”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดส่ายหน้าแล้วพูดว่า “…ไม่มีร่องรอยของการสืบทอดพลังเวทแม้แต่นิดเดียว ข้าจึงเดาว่า เขาคงบังเอิญได้พลังเวทมาจากที่ไหนสักแห่ง อีกอย่าง ปกติแล้วก็มีแต่พวกมือสมัครเล่นเท่านั้นที่กล้าทำลายกฎระเบียบสังคมแบบนี้ ปกติพวกนักเวทมีอารยธรรมจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ นอกเสียจากผู้ที่มีจิตใจบิดเบี้ยว…และชั่วร้าย แต่นั่นก็พบเห็นน้อยมาก ผู้สืบทอดแท้จริงไม่มีทางลดตัวมาทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน ดังนั้นจากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้าจึงรู้ว่าชายผู้นี้เป็นมือสมัครเล่น”
ลั่วชิวพยักหน้าพูดว่า “เธอมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าฉัน ฉันจะเชื่อการประเมินของเธอ”
ภูตหมายเลขสิบแปดตื่นตะลึงที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดคิด…เจ้าของร้านต้องรู้ทุกเรื่องสิ
แต่เธอกลับไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าของร้านสนใจเรื่องนี้มาก แต่เขายอมให้ตัวเองออกไปค้นหาทีละขั้น ดีกว่ามารับรู้ข่าวทีหลังจนหมดสนุก…อืม เรียกได้ว่าพวกไม่มีอะไรจะทำ
ลั่วชิวมีความคิดรอบคอบตั้งแต่เด็ก
เห็นได้ชัดว่าเขาแค่ถามลูกน้องเล็กน้อยก็รู้เรื่องแล้ว ทำไมยังต้องไปแลกเปลี่ยนกับแท่นบูชาอีกล่ะ
“เล่าเรื่องคุณจ้าวหรูให้ฉันฟังที”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดพยักหน้า “นายท่าน ลูกค้าคนนี้ต่อต้านสังคมอย่างรุนแรง…”
…
ขณะที่เจ้าของร้านลั่วฟังทูตภูตดำตนนี้พูดไม่หยุด เขาก็ไม่ได้หยุดสายตาของตัวเองเลย
เจ้าของร้านลั่วอยู่ในซอยซึ่งเป็นที่ซุกหัวนอนของจ้าวหรู เขาดูเธอที่นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ใน ‘ห้อง’ ที่ทำจากกล่องกระดาษ
เดิมทีในซอยนั้นก็มืดอยู่แล้ว ในห้องกล่องกระดาษนี้จึงมืดสนิท เธอนั่งกอดเข่า ซุกใบหน้าเข้าไปในอ้อมแขนและหัวเข่าทั้งสอง แบบนี้จึงยิ่งมืดเข้าไปใหญ่