สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 62 ใต้โลกมนุษย์
บางคนเกิดมาสุขสบาย เติบโตจนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังสุขสบาย
บางคนกว่าจะมาถึงยังโลกนี้ได้มันไม่ง่ายเลย ถึงช่วงแรกของชีวิตต้องเหนื่อย ชีวิตช่วงครึ่งหลังก็ยังเหน็ดเหนื่อยอยู่ดี ดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้ขยันไปก็ไร้ผล
หรือว่าบางเรื่องได้ถูกลิขิตไว้ตั้งแต่วินาทีที่คุณมายังโลกใบนี้
หรือว่าบางเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ไม่ว่าคุณจะไปต่อต้านอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจลบล้างความอยุติธรรมที่เคยเกิดขึ้นและส่งผลกระทบไปตลอดชีวิต
เข้มแข็งเอาไว้
‘ชีวิตไม่ได้ผ่านไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่ยังมีชีวิตอันงดงามและอนาคตที่แสนสดใสรออยู่’
นี่มันคำพูดบ้าบออะไรกัน
แท้จริงแล้วคำพูดพวกนี้ไม่ผิดหรอก แต่คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ก็คือคนที่หมดทุกข์และมีชีวิตสดใสต่างหาก
แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น…มักจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จพวกนี้เจิดจรัสอยู่ตามรายงานข่าว บทความ และการสัมภาษณ์บ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นแค่คนส่วนน้อยอยู่ดี
ใช่แล้ว คนพวกนี้ที่ถูกสัมภาษณ์และพูดคำพูดพวกนี้ก็คือตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จ…แต่ผู้อ่านและผู้ชมกลับมีเป็นพันเป็นหมื่น
ในบรรดาผู้อ่านและผู้ชมเป็นพันเป็นหมื่น จะมีสักกี่คนที่เดินรอยตามความสำเร็จนั้นได้…แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อมั่นอย่างยิ่ง ว่าเป็นปัญหาทางสภาพจิตใจอย่างหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อมั่นว่ายังมีอนาคตที่สดใสรออยู่
ไม่รู้สินะ
จ้าวหรูก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนกัน เธอรู้แค่ว่า เธอไม่เข้าใจชีวิตที่งดงาม และมองไม่เห็นอนาคตที่สดใสด้วย
นั่นก็ถือว่า…เธอเป็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ทำตามไม่ได้ล่ะมั้ง
ในดาวที่มีพวกมนุษย์มากกว่าเจ็ดพันล้านคนนี้ เธอเป็นหนึ่งในพวกที่ทำไม่ได้ และยอมแพ้ไปแล้ว
ตอนที่เธอเห็นนักเรียนชีวิตดีน่าอิจฉาพวกนั้น
ตอนที่เธอเห็นคนพวกนั้นไม่เห็นค่าของโชคดีที่พวกเขาได้รับ แต่ยอมทำตัวตกต่ำแค่เพื่อชุดหรูหราหรือรองเท้ากีฬารุ่นลิมิเต็ดอิดิชันเพิ่มสักคู่…
ใช่สิ โลกก็ไม่ยุติธรรมแบบนี้แหละ
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว
งั้นขอให้ฉันได้ระบายออกไปสักหน่อยเถอะ
อย่างไรเสียทุกคนก็ทอดทิ้งฉันแล้วนี่ จริงไหมล่ะ
…
…
เป็นฝันเมื่อนานแสนนานมาแล้ว…
เธอรู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างกำลังมองมาที่ตัวเอง
เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา
ในทันใดนั้นเอง
เธอเงยหน้าขึ้นมาจากระหว่างมือทั้งสองข้างและหัวเข่าทั้งสองข้าง ตอนนี้ ‘บ้าน’ ลังกระดาษสว่างขึ้น ด้วยเพราะในซอยด้านนอก ‘บ้าน’ ลังกระดาษสาดแสงสว่างจ้าแล้ว
ทันใดนั้น เธอก็พบว่าดวงตาของเธอปรับตัวรับแสงสว่างระดับนี้ไม่ได้ จึงมองไม่ชัดเจนนัก…ถึงในนี้ไม่ได้สว่างมากก็ตาม
แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็แค่กำแพงอีกด้านหนึ่งในซอยเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร…อาจจะคิดไปเองก็ได้ล่ะมั้ง?
เดิมทีช่วงนี้ก็ไม่ได้หลับสนิทอยู่แล้ว
แต่ในตอนนี้เอง พอเธอเริ่มกลับมาเห็นชัดเจน ใบหน้าทะเล้นของเด็กก็ยื่นเข้ามา…เป็นใบหน้าของม่ายเสี่ยวจวิน
เขาเลิกเรียนกลับมาแล้ว
จ้าวหรูยังได้ยินเสียงลุงม่ายที่จงใจพูดเสียงเบาว่า “อย่าไปรบกวนเธอเลย”
แต่ม่ายเสี่ยวจวินกลับไม่สนใจ…คุณปู่ก็มักจะไม่ให้เขาไปรบกวนพวกลุงๆ อาๆ คนอื่นที่อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน
“พี่เสี่ยวหรูครับ ภารกิจวันนี้สำเร็จแล้วฮะ!”
“งั้นเหรอ” จ้าวหรูพยักหน้า
เธอหันตัวไป ลูบคลำถุงใบหนึ่งอย่างเผลอไผล ข้างในใส่บางอย่างรูปร่างสี่เหลี่ยมหนาๆ เอาไว้ แต่แล้วเธอก็ชักมือกลับทันทีราวกับถูกไฟดูด
สุดท้ายเธอก็ไม่ได้หยิบของด้านในถุงออกมา แต่ล้วงเอาขนมเวเฟอร์ช็อกโกแลตออกมาสองแท่งส่งไปให้ม่ายเสี่ยวจวิน
ม่ายเสี่ยวจวินยังไม่ทันได้กินข้าวเย็นก็ฉีกซองแรกกินทันที
ตอนนี้เองจ้าวหรูกลับพูดว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องไปแล้วล่ะ”
“ครับ?” ม่ายเสี่ยวจวินถามด้วยความผิดหวังทันที “ทำไมล่ะครับ”
“ไม่จำเป็นแล้วไงล่ะ” จ้าวหรูพูดอย่างเฉยเมย “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
ม่ายเสี่ยวจวินเข้าใจแค่ว่า ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้รางวัลจากพี่เสี่ยวหรูอีกแล้ว…ยังดีที่เขาไม่ได้กินหมดสองแท่งทุกวัน แต่จะเหลือไว้แท่งหนึ่ง ช่วงเวลาต่อจากนี้ก็เหลืออยู่เจ็ดแท่งแล้ว
เด็กก็มักจะใช้ชีวิตแบบนี้…เขาคิดได้ขนาดนี้ คงได้รับอิทธิพลมาจากคุณปู่ล่ะสิ
แต่ม่ายเสี่ยวจวินไม่รู้ว่า ครั้งสุดท้ายที่พูดถึงนี้ยังมีมากกว่านั้น
หลังจากคืนนี้ไป เขาจะไม่ได้พบพี่เสี่ยวหรูอีกแล้ว
พอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เขากำลังจะเดินไปทักทายพี่สาวก่อนไปโรงเรียนตามปกติ แต่ใน ‘บ้าน’ ลังกระดาษนี้กลับว่างเปล่าเสียแล้ว
ว่างเปล่า
ปู่บอกบางอย่างที่ม่ายเสี่ยวจวินไม่เข้าใจ “ที่นี่มาพักอาศัยได้ แต่ใช่ว่าจะอยู่ตลอดไป ถ้ามีคนจากไปแล้ว งั้นก็คงเพราะถึงเวลาต้องไปแล้ว”
ระหว่างทางไปเรียน ม่ายเสี่ยวจวินเงยหน้ามองปู่ของตนเอง พยายามทำความเข้าใจ “ปู่ครับ พี่เสี่ยวหรูจะกลับไปหาครอบครัวของพี่เขาใช่ไหมครับ?”
ลุงม่ายล้วงบุหรี่ยับๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อมวนหนึ่ง พลางมองท้องถนนในเมืองแห่งนี้ “ปู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีพี่เขาอยากจะไปทำบางอย่างให้เด็ดขาดล่ะมั้ง”
‘ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีแหละ…ปู่’
แต่พอนึกดูแล้ว บางทีปู่ก็ชอบพูดอะไรแปลกๆ…ตอนที่ใครบางคนในซอยจะไม่กลับมาอีก
ม่ายเสี่ยวจวินคิดในใจว่า น่าจะไม่ได้เจอพี่สาวที่สอนการบ้านเขา เรียกเขากินขนม และไม่เคยยิ้มคนนี้อีกต่อไปแล้ว
…
…
17.55 น.
“เพราะงั้น…นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาแต่งหญิง?”
ตอนพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หลินเฟิงยืนยันเวลาแล้วถามเซอร์หม่าเบาๆ อยู่ในห้องหนึ่งที่ตึกตรงข้ามบ้านของนักเรียน ม.ปลายคนหนึ่ง
นักเรียนหญิง ม.ปลายคนนี้ก็คือคนที่มาแจ้งความกับทางตำรวจว่าได้รับจดหมายข่มขู่
อย่างที่หวังเย่ว์ชวนบอก ตอนนี้นักเรียนหญิง ม.ปลายคนนั้นปลอดภัยมากจริงๆ เพราะตอนนี้เธออยู่ในห้องพักที่พวกเขาจัดไว้ให้
ด้านนอกก็มีคนคอยคุ้มกันอยู่มากมาย แม้แต่ด้านในห้องยังมีตำรวจหญิงอยู่เป็นเพื่อนเธออีกคน
ก่อนหน้านี้พวกเขาจัดการให้คนในครอบครัวของเธอไปกินข้าวข้างนอกแล้ว
หม่าโฮ่วเต๋อรู้ว่าหวังเย่ว์ชวนทำเรื่องแค่นี้ได้อยู่แล้ว
“ถามอะไรให้มากความ! ตั้งใจเฝ้ารอบๆ ไป จ้องไว้ให้ดีล่ะ! พอคนโผล่มาปุ๊บก็รีบจัดการเลย!” หม่าโฮ่วเต๋อตบกะโหลกหลินเฟิงไปที
นายตำรวจหนุ่มยักไหล่แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา มองไปยังตำแหน่งฝั่งตรงข้ามของอาคาร แต่เขากลับอดขำไม่ได้ “แต่ว่า…ชุดผู้หญิงของหวังเย่ว์ชวนสวยจริงๆ นะครับ…ฮ่าๆๆๆๆๆ เซอร์หม่าครับ เหลืออีกสามชั่วโมงกว่าจะสามทุ่ม…คุณอยาก อยากลองดูบ้างไหมครับ ฮ่าๆๆๆๆ…”
“ขำบ้าอะไรกัน!” หม่าโฮ่วเต๋อตบกะโหลกหลินเฟิงแรงๆ อีกทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ผมเหมือนพวกชอบดูอะไรเสียสายตาอย่างชายแต่งหญิงหรือไง? เชอะ! ส่งกล้องส่องทางไกลมานี่สิ! หลินเฟิง คุณเห็นเวลางานเป็นเรื่องเล่นได้ยังไง ผมไม่วางใจมอบงานเฝ้าติดตามให้คุณแล้ว! ผมจะทำเอง!”
‘เซอร์หม่า…แล้วสิ่งที่คุณทำอยู่ล่ะครับ!’