สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 67 ดอกไม้ที่ไม่เคยแห้งเหี่ยว: สโตนฟลาวเวอร์
“ผมต้องการคำอธิบาย”
เซอร์หม่าเดินเข้ามาในโรงพยาบาลอย่างรีบร้อน พร้อมกับตะเบ็งเสียงถามนายตำรวจที่นำตัวคนร้ายเข้ามาส่งที่นี่แต่กลับทำคนร้ายหายไป
ยังมีหวังเย่ว์ชวนกับหลินเฟิงที่เดินตามเข้ามาด้วย
“เซอร์หม่า พวกผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” นายตำรวจคนนี้ตอบอย่างงุนงง “พวกผมเห็นคนร้ายถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินไปกับตา แต่ผ่านไปไม่นาน หมอก็วิ่งออกมาบอกว่า คนร้ายหายไปแล้วครับ!”
หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน เขาตบมือกลางอากาศ “คนร้ายหายไปจากห้องฉุกเฉิน?”
นายตำรวจตะลึง เผลอตบมือโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน “คนร้ายหายไปจากห้องฉุกเฉิน”
เซอร์หม่าโบกมือทั้งสองข้าง “บินหนีไป?”
นายตำรวจก็ตบมือตาม พยักหน้าแล้วพูดว่า “บินหนีไปแล้ว”
“บินหนีกับบ้านคุณสิ! ทำไมถึงไม่บอกผมเลยล่ะ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผีทะลุกำแพงได้!”
คิดไม่ถึงว่านายตำรวจคนนี้กลับหน้าซีด รีบพูดขึ้นมาว่า “เซอร์หม่า คุณก็เห็นว่าห้องฉุกเฉินปิดอยู่ แถมยังมีหมอกับพยาบาลอยู่ในห้องตั้งหลายคน พอมีเสียงดังปัง ผู้หญิงคนนี้ก็หายไปแล้ว ทั้งหมอทั้งพยาบาลก็ไม่มีใครเห็น…หรือ หรือว่าจะมี จะมีผีจริงๆ หรือครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที “มีผีหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่ผมรู้ คืนนี้คุณห้ามนอน!”
“ทำไมล่ะครับ”
“หาตัวเธอไง! ไอ้โง่! ไปหาคนสิ!” หม่าโฮ่วเต๋อแผดเสียงออกมา “บอกทุกคนให้ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจจราจรหรือกำลังเสริมอะไรก็แล้วแต่ รีบออกไปตามหาตัวคนร้ายให้ผมเดี๋ยวนี้!”
“ครับๆๆ…”
หม่าโฮ่วเต๋อมองนายตำรวจรีบวิ่งออกไป แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน ไปตามหมอกับพยาบาลห้องฉุกเฉินมาหน่อย ให้มาทีละคนนะ ผมจะทำการสอบสวน! ไม่ตายก็อย่าหยุดถาม!”
…
…
เรื่องใหม่ๆ เข้ามาไม่เว้นวัน ทั้งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเหมือนปกติ ผู้คนในเมืองเริ่มต้นรับวันใหม่เหมือนเคย
“เสี่ยวจวิน เก็บของเสร็จหรือยัง” ลุงม่ายตะโกนถามม่ายเสี่ยวจวินที่กำลังแปรงฟันอยู่
ตอนนี้ม่ายเสี่ยวจวินถือแก้วน้ำคุกเข่าอยู่หน้าคลองในซอย เขากำลังแปรงฟันอยู่ จึงตอบไปพอกล้อมแกล้มว่า “เสร็จแล้วครับ!”
ลุงม่ายพยักหน้า จากนั้นก็ทุบเอวของตัวเอง…เมื่อคืนเขาหลับไม่สนิทเลย
ช่วงหลังเที่ยงคืน ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงแตร น่าจะเป็นตำรวจจราจรขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไป…ดึกดื่นขนาดนี้ ยังมีตำรวจจราจรลาดตระเวนอยู่แถวนี้อีกหรือ
ตำรวจจราจรขยันทำงานในเวลาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ลุงม่ายส่ายหัว เขาจูงมือม่ายเสี่ยวจวินหลานชายเดินออกจากซอยไปเหมือนเคย พร้อมกับทักทายคนไร้บ้านตามทางที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่
“ขอถามหน่อย คุณคือลุงม่ายใช่ไหม”
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนมาทางเขา
ลุงม่ายหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง…ใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่ลุงม่ายกลับรู้สึกพูดไม่ออก…ความรู้สึกที่ว่าพอเขามายืนอยู่ตรงนี้แล้ว โลกก็ดูเงียบลงกว่าเดิม
“คุณ…เป็นใคร” ลุงม่ายขมวดคิ้ว เขาไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้เลย
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้ามองม่ายเสี่ยวจวินที่เงยหน้ามองตนแวบหนึ่ง ก่อนคุกเข่าลง พูดยิ้มๆ ว่า “เธอคือม่ายเสี่ยวจวินสินะ”
ม่ายเสี่ยวจวินพยักหน้า “พี่ชาย พี่เป็นใคร จะมาให้ปู่ผมเก็บขยะหรือครับ”
ชายหนุ่มยังพูดยิ้มๆ ว่า “ไว้มีโอกาสนะ แต่ไม่ใช่วันนี้…ฉันเอาของสองอย่างมาให้เธอ”
“ให้ของเสี่ยวจวิน?” ลุงม่ายตะลึง แล้วเลิกคิ้วสูง “คุณเป็นใคร?”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน มองลุงม่ายแล้วพูดแนะนำตัว “อ้อ สวัสดีครับลุงม่าย ผมเป็นตัวแทนของมูลนิธิมามอบของให้หลานชายคุณลุงน่ะครับ”
“มูลนิธิ?” ลุงม่ายยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ราวกับอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกหนา
“ครับ มูลนิธิที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน” ชายหนุ่มยื่นนามบัตรให้ลุงม่าย แล้วพูดว่า “วัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือสามารถเรียนต่อได้จนจบ โชคดีมากที่ม่ายเสี่ยวจวินเป็นหนึ่งในเด็กรุ่นแรกที่ได้รับความอนุเคราะห์จากมูลนิธิน่ะครับ”
“คุณ…คุณล้อเล่นใช่ไหม” ลุงม่ายขมวดคิ้วอย่างสงสัย พลางมองนามบัตร…ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก
เขาไม่เชื่อว่าจะมีคุกกี้ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ตกลงมาจากสวรรค์…จึงเริ่มสงสัยว่าหมอนี่เป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า แต่เขาก็ย้อนไปคิดดูว่า…เขาเป็นเพียงชายแก่เก็บขยะ ไม่มีแม้แต่ที่อยู่ จะมีอะไรให้ใครมาหลอกได้ล่ะ
“ไม่ครับ…บริษัทจดทะเบียนตามกฎหมายแล้ว เพราะว่าเป็นมูลนิธิ ดังนั้นจึงเติบโตขึ้นได้อย่างช้าๆ” ชายหนุ่มพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าคุณไม่เชื่อ อีกครึ่งเดือนให้ไปตามที่อยู่นี้…ถึงเวลานั้นน่าจะตกแต่งเสร็จแล้ว คุณเพียงนำสูติบัตรและหนังสือเรียนของม่ายเสี่ยวจวินไปขึ้นทะเบียน ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิครับ”
“มะ…มีเรื่องดีๆ แบบนี้จริงหรือ” ลุงม่ายเอ่ยปาก เขายังไม่ค่อยกล้าเชื่อสักเท่าไร
“เพราะเพื่อนตัวน้อยคนนี้เป็นคนโชคดี” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา “แต่ว่า ถ้าต้องการความช่วยเหลือจากมูลนิธินี้ ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ”
“ฉันไม่มีเงิน”
“ไม่ๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณแค่ต้องสัญญาว่าจะไม่เอาเงินค่าเรียนของหลานชายมาใช้ส่วนตัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ต้องรับประกันว่าเขาจะได้เรียนจนจบ แน่นอนว่าจะต้องเซ็นสัญญาฉบับหนึ่ง หากเด็กไม่สามารถศึกษาต่อได้นอกเหนือจากสาเหตุการตายตามธรรมชาติแล้ว กรณีที่มีสถานการณ์อื่นๆ ที่ทำให้เขาไม่สามารถศึกษาต่อได้ มูลนิธิจะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลจัดการแทน”
“ไม่มีปัญหา!” ลุงม่ายพยักหน้าหนักแน่น “ไม่มีปัญหาเลย!”
ชายหนุ่มยังพูดอีกว่า “เงินแต่ละเทอมนั้นไม่ได้เยอะมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับจ่ายค่าเล่าเรียนให้เด็กน้อยคนนี้แน่นอน”
ลุงม่ายพยักหน้าพร้อมพูดว่า “จ่ายค่าเทอมได้ก็ดีมากแล้ว! นอกจากเสี่ยวจวินแล้วพวกคุณยังต้องจ่ายค่าเทอมให้เด็กๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสืออีกมาก! พวกคุณเป็นคนดีจริงๆ!”
“ผมแค่ได้รับมอบหมายให้มาแจ้งเรื่องนี้กับคุณเท่านั้นครับ” ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พนักงานในมูลนิธิเป็นคนอื่น…อืม ตอนนี้กำลังรับสมัครอยู่นะครับ แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
ลุงม่ายไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาทำเพียงลูบหัวม่ายเสี่ยวจวินเบาๆ…เขาก็อายุมากแล้ว เกรงว่าถ้าถึงวันที่ตัวเองล้มลง ก็ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“นี่คือของอีกอย่างที่จะมอบให้เธอ” ชายหนุ่มคุกเข่าลง ยื่นถุงใบหนึ่งไปที่มือของม่ายเสี่ยวจวิน “ฉันคิดว่าเธอน่าจะได้ใช้นะ”
“เสี่ยวจวิน อย่ารับของคนอื่นตามใจชอบนะ” ลุงม่ายกลับจ้องเขม็ง
แม้ว่าม่ายเสี่ยวจวินจะดูอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่ทันได้มองว่าข้างในคืออะไรก็ส่งคืนเขาไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้กลับส่ายหัว เขาพูดเสียงเบาว่า “คนที่สั่งให้ฉันมอบมันให้เธอยังฝากฉันมาบอกเธออีกว่า…”
ชายหนุ่มยื่นไปข้างหูม่ายเสี่ยวจวิน พูดเสียงเบาลง “อย่ากินเวเฟอร์เยอะนะ ระวังฟันผุด้วย แล้ววันหนึ่งเธอต้องได้เจอพ่อแม่เธอแน่นอน”
ม่ายเสี่ยวจวินเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึง
ชายหนุ่มคนนั้นหันหลังเดินจากไปแล้ว อีกสองก้าวก็จะถึงทางเลี้ยว แต่แค่สองวินาทีเขากลับหายไปแล้ว
“อ้าว…พ่อหนุ่มคนนี้วิ่งเร็วขนาดนี้เลย?” ลุงม่ายเกาหัว แล้วก็พึมพำว่า “ที่พูดไปเมื่อกี้ คงจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกนะ?”
ชายแก่ยังสงสัยเรื่องมูลนิธิอยู่…บนโลกใบนี้จะมีเรื่องดีๆ แบบนี้อยู่จริงหรือ
“เสี่ยวจวิน เขาให้อะไรหลาน”
ม่ายเสี่ยวจวินเปิดถุงแล้วหยิบของออกมา เป็นพจนานุกรมเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘พจนานุกรมซินหัว’
…
หลังจากนั้น ก็เป็นตามที่ชายหนุ่มบอกไว้ ลุงม่ายไม่เจอเขาอีกเลย
เพียงแต่ตอนที่เขาเก็บขยะแล้วเดินผ่านศูนย์หลักทรัพย์โดยบังเอิญ ก็ได้เห็นชื่อมูลนิธิที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนบนหน้าจอ จึงคิดจะลองไปที่นั่นดูตามเวลาที่กำหนดไว้
เขาอ่านสถานที่อยู่ของมูลนิธิใหม่ที่มีเขียนชื่อไว้บนป้าย
แล้วเขาก็อ่านชื่อมูลนิธิบนนามบัตรที่ชายหนุ่มคนนั้นให้ตนไว้
ชื่อว่า…มูลนิธิสโตนฟลาวเวอร์
…
…
“เชิญคุณลูกค้าอ่าน”
เจ้าของร้านลั่วยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งไว้ตรงหน้าจ้าวหรู
สัญญาฉบับนี้ละเอียดและชัดเจนมาก
เปลี่ยนทรัพย์สมบัติเป็นกองทุน มอบให้บริษัทที่ไว้วางใจและองค์กรควบคุมนักโทษ…มันจะต้องก้าวหน้าขึ้นทุกๆ ปี ทรัพย์สมบัตินี้จะอยู่ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สืบต่อกันรุ่นสู่รุ่น
“มูลนิธิสโตนฟลาวเวอร์…ทำไมถึงใช้ชื่อนี้นะ”
ลั่วชิวมองไปยังของเล็กๆ ที่อยู่บนขอบหน้าต่างแวบหนึ่ง เขาพูดเสียงเบาว่า “คุณลูกค้าไม่ได้กำหนดชื่อ ผมเลยเลือกมาสักชื่อหนึ่ง ไม่ชอบหรือครับ”
“ไม่…เปล่าหรอกค่ะ” จ้าวหรูส่ายหัวเบาๆ “ยังไงก็ได้”
ทันใดนั้นเธอก็ไอขึ้นมาสองที เธอรู้สึกปวดตั้งแต่ช่วงท้องลงมา จนแทบจะกลืนกินปลายประสาททั้งหมดของเธอ แต่สีหน้าเธอกลับมีรอยยิ้ม
เธอเดินไปด้านหน้าโต๊ะขนาดเล็กที่อยู่ในห้องเดี่ยวเล็กๆ แล้วนั่งลงบนพื้น…นี่คือโต๊ะเครื่องแป้งที่
เรียบง่ายตัวหนึ่ง
ห้องนี้ถูกจัดให้เหมือนกับห้องอื่นๆ เพราะว่าเจ้าของใส่ใจเป็นพิเศษ จึงได้ประณีตขนาดนี้
จ้าวหรูเริ่มหวีผมตัวเอง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอหวีผมตัวเอง
เธอจัดปกคอเสื้อตัวเอง จัดแจงได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเช่นเคย
จากนั้นก็ทาปากด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน
หน้าเธอดูขาวซีดมากขึ้น แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้เติมแป้ง
เธอนั่งหลังตรง มองกระจกที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
เจ้าของสมาคมที่ย่อตัวอยู่ข้างหลังเธอก็ปรากฏตัวขึ้นในกระจก…เขาอยู่ข้างๆ จ้าวหรู เขาอยู่ข้างๆ เธอ
“คุณเห็นอะไรไหม”
เธอไม่เห็นแม้แต่ตัวเองในกระจก
“คุณไม่เห็นหรือ” เธอพูดเสียงเบา “คุณเห็น…ทุกอย่าง ดอกไม้ที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉา…สโตนฟลาวเวอร์”
ครั้นแล้วเธอก็หลับตาลงช้าๆ
จากนั้นเธอก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเจ้าของสมาคม
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนโค้งลงเล็กน้อย แสงแดดทำให้สีของมันดูสดใสขึ้นมาหน่อย
เธอเคยบอกว่า ที่นี่เล็กและเรียบง่าย ในวันหนึ่งจะมีแสงแดดส่องเข้ามาเพียงแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมงเท่านั้น
นั่นก็คือตอนนี้
เธอยังเคยพูดอีกว่า ‘ที่นี่คงเหมาะกับเธอมากกว่า’
————————————————————————–