สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 72 ข้านำใจส่งให้จันทราสว่าง
“ข้านำใจส่งให้จันทราสว่าง เหตุใดจันทร์เจ้ากลับส่องแสงไปทางลำน้ำ ช่างน่ากลุ้มใจ น่ากลุ้มใจ น่ากลุ้มใจนะ…”
คำพูดที่แฝงอารมณ์เอาไว้มากมายขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่คำพูดจากปากของคนอย่างเจ้าอ้วนจาง..อีกทั้งยังยืนอยู่ใต้หน้าต่างกรงเหล็กด้วยลักษณะสีหน้าอมทุกข์
บวกกับการทำท่าทางลูบหนวดทั้งๆ ที่ไม่มีหนวด…ทั้งคุกเฉาอวิ๋นย่อมมีแค่หัวหน้าห้องขังแล้ว
“เฮ้อ…เหล่าโจว อาจารย์ของเรากำลังทำอะไรอีกเนี่ย?”
เจ้าอ้วนจางยกมือทั้งสองพร้อมกับมองไปไกลๆ อีกทั้งยังแตะเข้าที่บ่าของโจวเสี่ยวคุนเบาๆ แล้วพูดถามอย่างประหลาดใจ
“อ่านกลอน นี่พี่ใหญ่เขากำลังอ่านกลอนอยู่เนี่ย” โจวเสี่ยวคุนพูดเสียงเบา “ข้านำใจส่งให้จันทราสว่าง กลอนดีๆ”
“ไปๆๆ มีใครไม่รู้บ้างว่ากำลังท่องกลอน! ฉันถามแกว่านี่หมายความว่าอะไร!”
โจวเสี่ยวคุนยักไหล่ “ถ้าใช้คำพูดปัจจุบันมาอธิบายความหมายของประโยคนี้ก็คือ ฉันชอบเธอ แต่เธอไม่ชอบฉัน แต่พวกเรารู้ว่าเมียของพี่ใหญ่ตายไปนานแล้ว คิดเชื่อมโยงมาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา ผมว่าพี่ใหญ่กำลังคิดถึงเรื่องของลูกสาวอยู่ล่ะมั้ง”
“พูดไปตรงๆ ก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ จริงๆ เลย!”
เจ้าอ้วนจางมองค้อนโจวเสี่ยวคุนแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอาถูมือกัน แล้วเดินไปข้างหลังหัวหน้าห้องขังด้วยรอยยิ้ม เขาร้องเรียกด้วยความเคารพ “อาจารย์!”
“ไม่ต้องเรียกอาจารย์ ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้ยอมรับเข้าสำนึก ฉันจะไม่รับศิษย์ เชอะ!”
“งั้นอาจารย์เฝิง” เจ้าอ้วนจางไม่ถือสา เขาพูดทั้งยิ้มตาหยีว่า “อาจารย์เฝิง คืองี้นะ อาจารย์ทำใจให้สบายเถอะ อีกเดี๋ยวก็ได้เจอเรื่องน่ายินดีแล้ว!”
“อะไรนะ?” ไท่อินจื่อหันหน้ากลับไป มอง…เจ้าอ้วนจางคนนี้อย่างไม่เข้าใจ
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เจ้าอ้วนจางจะพูดพร้อมกับหรี่ตาข้างเดียวว่า “อาจารย์เฝิง คงไม่ได้ลืมว่าวันนี้เป็นวันอะไรใช่ไหมล่ะ? วันนี้ๆ!”
“วันนี้? วันอะไร?”
“ใช่ วันนี้!” เจ้าอ้วนจางอย่างตื่นเต้น “สรุปคือ อาจารย์เฝิงไม่ต้องขอบคุณผมหรอก! เชื่อผม ผมจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว!”
เจ้านี่ใช่ที่นายท่านมักบรรยายว่าเป็นพวก…สมองมีปัญหาหรือเปล่า?
ไท่อินจื่อขมวดคิ้วถามว่า “แกอยากพูดอะไรกันแน่? จัดการอะไร?”
“แฮ่ๆ! รอพรุ่งนี้อาจารย์ก็รู้แล้ว!”
เจ้าอ้วนจางพูดพร้อมกับหัวเราะ “แต่ไม่ต้องขอบคุณผมนะ นี่เป็นเพราะผมเคารพท่าน! แต่ว่านะ ถ้าท่านอยากขอบคุณผมจริงๆ ผมก็ไม่มีทางเลือก คนอย่างผมนี่นะ ไม่มีอะไรดี มีดีอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้น! ความชอบธรรม!”
เจ้าอ้วนจางตบหน้าอกตัวเองอย่างแรง แล้วพูดฮึดฮัดว่า “พวกเราออกไปท่องโลก โดยถือความชอบธรรมเป็นที่ตั้งกัน! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังเป็นอาจารย์ในอนาคตของพวกเรา เรื่องของท่านก็คือเรื่องของเจ้าอ้วนจาง!”
“แกอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“แฮ่ๆ ความลับๆ! อีกเดี๋ยวก็สำเร็จแล้วล่ะ!” เจ้าอ้วนจางตบบ่าของหัวหน้าในห้องขังผู้นี้ “ท่านรอผู้คุมเรียกชื่อท่านเถอะ!”
สมองมีปัญหาหรือไงนะ!
ไท่อินจื่อส่ายหัว เขาถอนหายใจ แล้วเงยหน้ามองหน้าต่างเหล็กบานนั้น ก่อนท่องกลอนต่อไป
เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้ออกไปจากที่บ้าๆ นี่สักทีนะ…
ลองนับเวลาดู ‘ชาริออต’ ใกล้จะมาเปิดคอนเสิร์ตที่นี่แล้วล่ะ! ข้าจองตั๋วไว้ล่วงหน้าหนึ่งเดือน เจ๋งป่าวล่ะ!
“แปลก ทำไมจู่ๆ ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี?”
ไท่อินจื่อถึงกับหนาวสั่น
…
…
บนถนนหลวง
เพราะว่านี่คือช่วงถนนที่จะไปคุก อีกทั้งยังเป็นทางที่ไม่มีอะไรเลย หลงเฉียงย่อตัวนั่งอยู่บนขอนไม้ หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่เห็นรถคันอื่นผ่านมาเลย
“แม่งเอ๊ย บ้าจริงๆ เลย!” หลงเฉียงส่ายหัว แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียง จึงยื่นคอออกไปลองดู…มองเห็น คนงานพวกนั้นทยอยวิ่งกลับมาแล้ว
“คนล่ะ?” พอหลงเฉียงเอ่ยปากก็ถามทันที
“หัวหน้า หารอบๆ หมดแล้ว ก็หาคนไม่เจอเลย สาวคนนั้นไม่รู้ว่าหลบอยู่หรือเปล่า ถึงหาไม่เจอ!”
“แม่เอ็งสิ! งามหน้าล่ะทีนี้ ทำคนหายไปแล้ว!” หลงเฉียงพูดพร้อมกับเกาหัว “แกว่าฉันจะไปพูดกับเขายังไง?”
“หัวหน้าเป็นอะไรอีกครับ?”
หลงเฉียงพูดอย่างจนใจว่า “เฮ้อ! แม่สาวนั่นทำโทรศัพท์หล่นไว้ที่นี่ตอนที่หนีไป พอฉันได้ยินเสียงดังก็เลยรับ เป็นผู้ชายของแม่สาวนั่นโทรมา เจ้านั่นดูเป็นคนใช้ได้ทีเดียว ฉันก็เลยให้เขาเอาน้ำมันมาส่งให้ซะเลย”
“เขารับปากแล้ว?”
“รับปากแล้วล่ะ” หลงเฉียงยักไหล่แล้วพูดว่า “ยังบอกอีกว่าจะชดเชยค่ารักษาให้ฉันอีกแปดร้อย”
“เรื่องดีนี่หัวหน้า!”
หลงเฉียงอดเขกหัวของคนงานไม่ได้ เขาพูดอย่างร้ายกาจว่า “ดีบ้านแกน่ะสิ! ฉันนึกว่าพวกแกจะเอาคนกลับมาได้! ตอนนี้ใช้ได้เลย ไม่รู้ว่าคนหนีไปไหนแล้ว รอเดี๋ยวเขามาแล้ว แกจะให้ฉันพูดยังไง …บัดซบ ตายยากจริงๆ!”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของถาวซย่ามั่นก็ดังขึ้นมา
เฉียงจื่อพูดแบบลุกลี้ลุกลุนทันที “รีบคิดสิ! จะพูดยังไง พูดยังไง!”
“พูดยังไงๆ…พูดยังไง…” คนงานคิดหาวิธีอย่างรีบร้อน “ได้แล้ว! หัวหน้าก็อย่าเพิ่งบอกเขาว่าคนหายตัวไป บอกเขาว่ารอให้เขามาก็เห็นเอง! ที่สำคัญก็คือน้ำมันนะ มีน้ำมันพวกเราถึงขับรถไปได้! เรียกรถลากแพงมาก! ส่วนตัวคน เอ่อ โตขนาดนี้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก! เดี๋ยวหิวแล้ว ก็วิ่งกลับมาเอง!”
“อืม มีเหตุผล” หลงเฉียงพยักหน้า “งั้นฉันรับโทรศัพท์แล้วนะ? รับจริงๆ แล้วนะ! ฉัน ฉันรับจริงๆ แล้วนะ!”
“รับเถอะหัวหน้า!”
หลงเฉียงกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง “แค่กๆ ฮัลโหล…ใช่ ฉันเอง! ของที่ฉันต้องการล่ะ? อ้อ เอามาแล้วเหรอ? งั้นก็ดี…คน? พอแกมาถึงแล้วก็เห็นเองนั่นแหละ! อย่าพูดมาก! เร่งหน่อย!”
หลงเฉียงใช้นิ้วมือจิ้มบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว แล้วถึงได้พูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “เป็นยังไง เมื่อกี้นี้ฉันแสดงเป็นยังไง?”
คนงานยกนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วพูดทันทีว่า “อย่างเท่!”
หลงเฉียงหัวเราะแหะๆ แล้วตอบว่า “เท่ล่ะสิ! ฉันจะบอกให้นะ ใครๆ ก็เรียกฉันว่าพี่เฉียงมีเมตตาทั้งนั้นแหละ ความสามารถในการขู่นี่เป็นที่หนึ่งเลยนะ!”
…
“เซอร์หลินตามไปถึงพิกัดที่ส่งมาจากสัญญาณโทรศัพท์ของถาวซย่ามั่น”
บนรถตู้ธุรกิจที่จอดอยู่ตรงทางออกถนนว่ายหวน ตำรวจหันจอโน้ตบุ๊กไปทางหลินเฟิง แล้วชี้ไปตรงพิกัดภูมิศาสตร์ของสัญญาณ อีกทั้งยังพูดว่า “การไล่ตามสัญญาณของพวกเราแม่นยำมาก เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้คิดแผนป้องกันการไล่ตามเอาไว้!”
หลินเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็มองโจวจื่อเหาที่อุ้มเงินสดสองถุงใหญ่ๆ เอาไว้ด้วยความกังวล
เซอร์หลินพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “คุณโจว ในเมื่อโจรเรียกค่าไถ่ชี้ชัดว่าอยากให้คุณเอาเงินชดเชยไปให้ด้วยตัวเอง พวกเราก็ไม่มีทางเลือก แต่คุณวางใจได้ ในเมื่อรู้ว่าสัญญาณส่งมาจากที่ไหนแล้ว ผมจะจัดตำรวจติดอาวุธและนักแม่นปืนให้ล่วงหน้าไปดักซุ่มไว้ก่อน รอคุ้มครองตอนที่คุณแลกเปลี่ยน แต่รบกวนคุณช่วยใส่เสื้อกันกระสุนเพื่อความปลอดภัยด้วยครับ”
“ผมทราบแล้วครับ” โจวจื่อเหาพยักหน้าแรงๆ “แต่เซอร์หลิน จำไว้ว่าจะต้องถือเอาความปลอดภัยของว่าที่ภรรยาผมเป็นอันดับแรก! เงินพวกนี้ ไม่เป็นไร!”
“คุณวางใจเถอะ พวกเราจะต้องช่วยคนมาอย่างปลอดภัย!”
พูดจบ หลินเฟิงก็ลงจากรถ จากนั้นก็พูดเสียงหนักแน่นว่า “รวมพล!”
เขามองตำรวจกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกันอยู่ตรงหน้า พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม! ขณะนี้พวกเราไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัดของโจรเรียกค่าไถ่ แต่ก็ไม่สามารถตัดว่าอีกฝ่ายมีอาวุธอันตราย ตลอดจนอาวุธปืนออกไปได้! ดังนั้น พวกเราจำเป็นต้องติดอาวุธให้พร้อม…งั้นใครก็ได้เอาเสื้อกันกระสุนมาให้ผมตัวนึงด้วย …”