สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 76 ฝังความทรงจำไว้ในส่วนลึก
“โชคดีจริงๆ ขุดได้มันเทศป่าได้ตั้งหลายหัวแน่ะ”
เหล่าเฝิงที่กำลังเดินเข้ามาพูดด้วยท่าทางดีใจ “แต่ผมชิมหัวนั้นดูแล้ว มันเปรี้ยวเกินไป”
ถาวซย่ามั่นเงยหน้ามองเหล่าเฝิงช้าๆ พอได้ยินเสียงชายแก่คนนี้ สักพักท่าทีกังวลของเธอก็ดูผ่อนคลายขึ้น
เหล่าเฝิงกลับลังเล ถามแบบหยั่งเชิงว่า “คุณหนู คุณมองเห็นแล้วหรือ”
ถาวซย่ามั่นหัวเราะ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ค่ะ เริ่มเห็นนิดนึงแล้ว แต่ยังเลือนรางมาก เหมือนกับคนสายตาสั้นมากๆ น่ะค่ะ”
เหล่าเฝิงแอบถอนหายใจ เขานั่งลง เริ่มใส่มันเทศเข้าไปในกองไฟ พลางพูดเสียงเบาว่า “มิน่า คุณถึงดูอารมณ์ดีขึ้น”
ถาวซย่ามั่นยื่นสองมือออกมาอังไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ก่อนพยักหน้าพูดว่า “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าแสงสว่างเพียงเล็กน้อยจะสำคัญขนาดนี้”
เหล่าเฝิงไม่ได้พูดอะไร
ทันใดนั้นถาวซย่ามั่นก็ถามขึ้นว่า “คุณลุงมีโทรศัพท์ไหมคะ ฉันอยากใช้โทรศัพท์หน่อย”
เหล่าเฝิงส่ายหน้าพูดว่า “ผมไม่พกของแบบนั้นหรอก คุณอยากจะโทรหาครอบครัวสินะ”
ถาวซย่ามั่นพยักหน้า ก่อนถอนหายใจพูดว่า “ว่าที่สามีของฉันน่ะค่ะ ฉันคิดว่าเขาต้องเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ”
เหล่าเฝิงพูดว่า “ในป่ามีกลุ่มหมอกหนามาก ออกไปตอนนี้ไม่ปลอดภัย คุณเองก็เจ็บเท้าอยู่ด้วย คงไม่ค่อยสะดวก รอพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ก่อน ผมจะพาคุณออกไปนะ”
“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละค่ะ” ถาวซย่ามั่นพยักหน้า แล้วเอ่ยคำขอโทษ “คุณลุง ขอโทษนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน คุณลุงคงไม่ต้องมาติดอยู่ที่นี่”
เหล่าเฝิงส่ายหัว “ไม่เป็นไร ยังไงผมก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว มีคนคุยด้วย…”
เขามองไปทางถาวซย่า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำลง “…ก็ดีเหมือนกัน”
นึกถึงคำพูดที่ชายแก่พูดก่อนหน้านี้ ถาวซย่ามั่นก็วาดภาพว่าน่าจะเป็นชายแก่พ่อม่ายที่อยู่เพียงลำพัง ก็ยิ่งรู้สึกสงสาร “คุณลุง ทำไมถึงไม่ได้เจอลูกสาวคะ เธอทิ้งคุณลุงหรือ”
เหล่าเฝิงส่ายหน้า “ผมต่างหากที่ทิ้งเธอไป ผมรู้สึกผิดกับเธอมาก”
“คือว่า…” ถาวซย่ามั่นลังเล พูดเสียงเบาว่า “คุณลุงคะ ไม่มีความเกลียดชังเพียงข้ามคืนระหว่างพ่อกับลูกสาวหรอกค่ะ บางทีคุณลุงน่าจะไปหาเธอแล้วคุยดูนะคะ”
จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังแกร๊บ
นั่นเป็นเสียงที่เหล่าเฝิงหักกิ่งไม้เตรียมโยนเข้าไปในกองไฟ เขาพูดว่า “ไม่มีความเกลียดชังชั่วข้ามคืนจริงๆ เหรอ”
ถาวซย่ามั่นถอนหายใจ เธอฝืนยิ้มพูดว่า “บางที…บางทีฉันคงไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นที่สุดก็ได้ค่ะ ฉันเอง…ก็ไม่ได้เจอพ่อมานานมากแล้ว”
“ทำไมคุณถึงไม่ได้เจอเขาล่ะ” เหล่าเฝิงถามเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย
ถาวซย่ามั่นกลับเงียบลง เธอกอดขาทั้งสองข้าง วางคางไว้บนเข่า พลางมองไปที่กองไฟตรงหน้าเงียบๆ ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร
เหล่าเฝิงแอบถอนหายใจ “ขอโทษที ผมถามเยอะไปสินะครับ”
“ปะ…เปล่านะคะ” ถาวซย่ามั่นส่ายหน้า
เวลานี้เธออยากจะระบายความในใจออกมา เพียงแต่เธอกลับหาคนระบายด้วยไม่ได้
เธอไม่รู้จักชายแก่ตรงหน้า บางทีอาจจะเป็นโชคชะตาให้เธอได้มาเจอกับ…คนแปลกหน้าคนนี้
ใครคนหนึ่งที่ไม่รู้อดีตของเธอ ทั้งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันในอนาคต…คนแปลกหน้าที่เหมาะจะให้เธอระบายความในใจออกมา
“คุณลุงคะ ฉัน…” เธอเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ที่จริงแล้วฉันเป็นลูกสาวของฆาตกรน่ะค่ะ”
เหล่าเฝิงมือสั่น เขาวางกิ่งไม้ลงช้าๆ อึดอัดหายใจลำบาก ทำได้เพียงค่อยๆ หายใจ ด้วยเพราะเรื่องนี้กะทันหันเกินไป
“ดูถูกฉันไหมคะ” ถาวซย่ามั่นเห็นว่าชายแก่คนนี้เงียบไป ดูเหมือนว่าเขาคงตกใจ
“ไม่ๆ” เหล่าเฝิงส่ายหัว “จะดูถูกคุณได้ยังไงครับ ผมดูถูกตัวเองต่างหาก”
“คุณลุง คุณ…”
“ไม่มีอะไรหรอก” เหล่าเฝิงสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “คนอื่นก็คือคนอื่น ผมก็คือผม ผมไม่มีคุณสมบัติไปวิจารณ์ใครหรอกครับ”
ถาวซย่ามั่นหัวเราะเบาๆ เธอพูดเสียงเศร้าสร้อย “คุณลุง ถ้าทุกคนใจกว้างเหมือนคุณลุงก็ดีสิคะ เรื่องยุ่งยากบนโลกใบนี้จะได้…น้อยลง”
เหล่าเฝิงขมวดคิ้ว “คุณ…สนใจสายตาคนอื่น?”
ถาวซย่ามั่นส่ายหน้า แล้วก็เงียบลงอีกครั้ง จากนั้นจึงพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ ฉันลืมเรื่องตอนเด็กไปเยอะแล้ว แต่มีบางเรื่องที่อยากลืมแต่ก็ลืมไม่ได้ มันเหมือนกับนาฬิกาที่คอยเตือนใจ…ฉันกลัวค่ะ”
“กลัว?”
ถาวซย่ามั่นเงยหน้าขึ้นมอง คล้ายกำลังกลั้นน้ำตาที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมา “ฉันจำตอนนั้นได้ ตอนที่พ่อของฉันถูกจับได้ไม่นาน…น่าจะเป็นคนในครอบครัวของผู้เสียหาย ไม่รู้ว่าพวกเขาโกรธแค้น หรือแค่อยากหาที่ระบายความคับข้องใจ…”
ถาวซย่ามั่นส่ายหน้า เธอฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “คุณลุงพอนึกภาพอารมณ์แบบนั้นออกไหมคะ…การโดนตราหน้าว่าเป็นลูกสาวฆาตกรวันแล้ววันเล่า บนตัวมีแต่คราบเลือดสกปรก…ไม่ว่าจะเป็นสายตาของครูและเพื่อนที่โรงเรียน หรือแม้แต่เพื่อนบ้าน ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เมินเฉย เย็นชา…เฉยชา”
“พวกเขาทำแบบนี้กับคุณได้ยังไง! คุณยังเด็กมากแท้ๆ! พวกเขาๆๆ!”
เหล่าเฝิงปวดร้าวในใจ เอาแต่พูดว่า ‘พวกเขา’ แล้วก็จับกิ่งไม้ในมือใส่เข้าไปในกองไฟอย่างเคืองโกรธ
ถาวซย่ามั่นตกใจ “คุณลุง ทำไม…คุณลุงดูโกรธกว่าฉันอีกล่ะคะ”
“ผม…” เหล่าเฝิงถอนหายใจ พูดว่า “ผมโกรธแทนคุณน่ะสิครับ! เรื่องที่ผู้ใหญ่ทำผิดก็ให้เขารับผิดชอบไปสิ ทำไมต้องเอาความเกลียดแค้นมาลงที่ลูกด้วย”
ถาวซย่ามั่นฝืนยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงสับสนว่า “ใช่ค่ะ…ทำไมนะ คงเพราะว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บสามารถเติมเต็มช่องโหว่ในใจได้ด้วยความเจ็บปวดมั้งคะ”
สักพักในถ้ำก็เงียบลง
มีเพียงกลิ่นหอมของมันเทศเผาที่เริ่มหอมฟุ้งไปทั่ว
“เหมือนจะสุกแล้วใช่ไหมคะ” ถาวซย่ามั่นพูดเสียงเบา “หอมมากเลย”
“ผมหยิบให้นะ” เหล่าเฝิงพยักหน้า ใช้กิ่งไม้เขี่ยมันเทศออกมา จากนั้นก็รีบยื่นมือออกไปหยิบ คิดไม่ถึงว่ามันเทศจะร้อนมาก เหล่าเฝิงถูกลวกมือจนร้องออกมา แล้วมันเทศก็ร่วงลงจากมือเขา
“คุณลุง ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” ถาวซย่ามั่นยื่นมือไปจับนิ้วมือของเหล่าเฝิงโดยไม่ทันตั้งตัว เธอเป่าไปที่นิ้วมือเบาๆ “ของร้อนขนาดนี้ รออีกเดี๋ยวค่อยหยิบไม่ได้หรือคะ”
“ผมใจร้อนไปหน่อยน่ะ” เหล่าเฝิงฝืนยิ้มแล้วส่ายหัว
ถาวซย่ามั่นกลับหัวเราะออกมา เธอดึงแขนเสื้อตัวเองมาถึงฝ่ามือ จากนั้นก็หยิบมันเทศขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเป่าให้เย็น เธอนึกถึงความหลังแล้วพูดว่า “จำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อฉันก็ทำเหมือนคุณลุงนี่แหละค่ะ ชอบทำให้มันเทศลวกมือตลอด เขาแก้นิสัยแย่ๆ นี้ไม่หายสักที”
“คุณ…คุณยังจำได้เหรอ”
“หืม?” ถาวซย่ามั่นตะลึง ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินไม่ชัด
เหล่าเฝิงพูดเสียงเบา “ไม่มีอะไร กินเถอะ รีบกินตอนร้อนๆ”
“มาค่ะ ฉันหักเอง” ถาวซย่ามั่นหัวเราะน้อยๆ ก่อนหักมันเทศออก แล้วแบ่งไว้ตรงหน้าเหล่าเฝิง
ทั้งสองกินมันเทศเผากันแบบง่ายๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรกันอีก
เหล่าเฝิงไม่รู้ว่าถาวซย่ามั่นกินแล้วเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขารู้ว่า นี่เป็นมื้ออาหารที่วิเศษที่สุดของเขาในรอบสิบกว่าปีมานี้
พูดคุยกัน กินข้าวด้วยกัน ได้หัวเราะ ได้มองดูอีกฝ่าย
นี่คือมื้ออาหารที่เขารอคอยมาตลอดสิบกว่าปี
…
ไม่รู้ว่าถาวซย่ามั่นล้มตัวลงนอนไปตอนไหน เธอเจอเรื่องราวมากมายมาทั้งวันแล้ว เกรงว่าเธอคงจะเหนื่อยมาก ได้ยินเสียงลมหายใจของเธอสงบลงอย่างช้าๆ
เหล่าเฝิงมองดูกองไฟนี้อย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่ามันจะลุกโชนขึ้นมา
แต่เขายังมีคำถามที่อยากจะถามด้วยตัวเอง ครั้นแล้วก็เรียกชื่อเธอ “คุณหนู คุณหนู?”
“อืม ฉันฟังอยู่ค่ะ” ถาวซย่ามั่นหาวไปวอดหนึ่ง “มีอะไรหรือคะ”
เหล่าเฝิงลังเลแล้วพูดว่า “คุณหนู คุณไม่อยากเจอพ่อคุณจริงๆ หรือ บางที…เขาคงคิดถึงคุณมากเหมือนกัน”
“ฉันไม่รู้ค่ะ…” ดูเหมือนเธอจะง่วงแล้ว จึงมีท่าทีสะลึมสะลือ “ฉันกลัว…ฉันไม่เข้าใจ…เจอหน้ายังไง…ฉันกลัว…”
“คุณ…” เหล่าเฝิงหันหน้าไปมอง เห็นว่าเธอเหนื่อยจนหลับไปแล้ว จึงถอนหายใจ “ซย่ามั่น พ่อขอโทษนะลูก”
…
เหล่าเฝิงโยนกิ่งไม้แห้งเล็กๆ ที่หักไว้แล้วเข้าไปในกองไฟ นี่ก็ดึกมากแล้ว มีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของลูกสาวกับเสียงลมในภูเขาอยู่เป็นเพื่อนเขา
เขารู้สึกสงบใจมาก
แล้วเหล่าเฝิงก็เขยิบไปข้างๆ ถาวซย่ามั่น ก่อนยื่นมือไปที่ใบหน้าเธอ…เขาอยากจะลูบใบหน้านี้เบาๆ เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนความฝันของเธอ
เขาเห็นรอยยิ้มพริ้มยามที่เธอหลับสนิท บางทีเธออาจจะกำลังฝันดีอยู่ก็ได้
เหล่าเฝิงลอบถอนหายใจ เดินออกจากถ้ำนี้ไปช้าๆ กลุ่มหมอกด้านนอกยังคงหนาแน่น แต่ก็ยังพอมองเห็นเงาพระจันทร์ได้เลือนราง
เหล่าเฝิงเงยหน้าขึ้น เขายืนนิ่งอยู่นาน ก่อนกัดฟัน เหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว
“พอแล้ว ออกมาเถอะ” เหล่าเฝิงพูดเสียงเบา “พอแล้วล่ะ ออกมาถอะ ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่…เจ้าของร้าน”
เสียงเรียกของเหล่าเฝิงทำให้เจ้าของสมาคมปรากฏตัวออกมาจากความมืด
“คุณลุง เรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือครับ” ลั่วชิวถามเสียงเบา
เหล่าเฝิงมองเขา แล้วเงียบไปสักพัก ก่อนถอนหายใจพูดว่า “ขอบคุณสำหรับการพบกันครั้งนี้ คุณอุตส่าห์ช่วยจัดการให้…แต่พอแล้ว พอแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วว่าต้องชดเชยให้คุณลุง” ลั่วชิวดูเวลา “พอตื่นขึ้นมา ดวงตาของคุณซย่ามั่นก็จะกลับมาเป็นปกติ ไม่เป็นไรแล้วครับ”
เหล่าเฝิงพยักหน้า หลายครั้งที่อยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับต้องเก็บมันเอาไว้
ในที่สุด ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูดด้วยเสียงเบาว่า “ส่งผมกลับไปเถอะ…ส่งผมกลับเข้าไปในคุก”
“คุณลูกค้า” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “ตามรายละเอียดการซื้อขายของคุณ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่กำหนด แต่การซื้อขายได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าคุณจะหยุดตอนนี้ ก็ขอรับค่าธรรมเนียมคืนไม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่หยุด ผมช่วยให้ทั้งหมดกลับสู่สภาพเดิมได้ แล้วคุณก็กลับไปตัดชุดเจ้าสาวได้จนเสร็จ”
เหล่าเฝิงส่ายหัว “แล้วแต่เลย”
เขาหันกลับไปมองถ้ำครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ “อายุขัยห้าปีแลกกับอาหารค่ำหนึ่งมื่อ และการพูดคุยชั่วครู่ก็คุ้มค่ามากแล้ว จะว่าไป ผมยังได้ออกมารับลมข้างนอกนานขนาดนี้ ถือเป็นกำไรแล้วล่ะ”
เหล่าเฝิงถอนหายใจยาว แล้วพูดอย่างขมขื่นว่า “ผมหมกมุ่นเกินไป เอาแต่สนใจความปรารถนาของตัวเอง แต่ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของซย่ามั่นเลย…แล้วทำไมผม ทำไมผมถึงทำให้ชีวิตที่มีความสุขของเธอต้องมาวุ่นวายด้วยนะ ผม…ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชีวิตของเธออีก”
“ฉะนั้น…” เหล่าเฝิงเดินมาทางลั่วชิว “ส่งผมกลับไปเถอะ”
“เข้าใจแล้ว งั้นผมจะทำตามที่คุณต้องการ”
…
ถาวซย่ามั่นตื่นขึ้นมา…ด้วยเพราะรู้สึกถึงความเย็น
เธอลืมตาขึ้นมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นมาก เธอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แต่เธอกลับไม่เห็นชายแก่ที่อยู่เป็นเพื่อนเธอเมื่อคืน
กองไฟดับไปแล้ว ชายแก่ก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงเสื้อคลุมบนร่างของเธอเท่านั้น
ถาวซย่ามั่นสับสนไปหมด เธอได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก…มีคนกำลังเรียกชื่อเธอ ดูเหมือนว่ายังมีคนอีกไม่น้อย
เธอเดินกะเผลกๆ ออกจากปากถ้ำ ได้ยินเสียงดังมากขึ้น เธอเห็นเฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนไปมาอยู่ไกลๆ
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
“ฉันอยู่ตรงนี้! ฉันอยู่ตรงนี้! ได้ยินไหม ฉันอยู่ตรงนี้!” เธอเริ่มตะโกนเรียก
จากนั้นไม่นาน ทีมค้นหาหลายนายก็เจอเธอในที่สุด
ถาวซย่ามั่นหันกลับไปมองถ้ำที่ตัวเองอยู่เมื่อคืนแวบหนึ่ง ราวกับเมื่อคืนเป็นฝันตื่นหนึ่ง