สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 77 พ่อลูก
นอกจากเท้าแพลงแล้ว ถาวซย่ามั่นก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองปกติดีมาก แต่เพราะโจวจื่อเหาขอร้องเธออย่างไม่ยอมแพ้ เธอจึงต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายให้ครบทุกรูปแบบ
แน่นอนว่า ผลการตรวจสายตาที่ถาวซย่ามั่นค่อนข้างกังวล…กลับมีแค่สายตาสั้นเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไปเป็นกันทั้งนั้น
โจวจื่อเหากำลังปอกแอปเปิลให้ถาวซย่ามั่นอย่างพิถีพิถัน แล้วประตูห้องคนไข้ก็เปิดออก ก่อนจะมีคนสองคนเดินเข้ามา
หลินเฟิงยังมีตำรวจอีกนายหนึ่งติดตามมาด้วย
หลังจากถามอาการบาดเจ็บของถาวซย่ามั่นแล้ว หลินเฟิงถึงได้นั่งลงพูดว่า “คุณถาว ครั้งนี้พวกเรามาเพื่อสอบปากคำคุณ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคดีที่เกิดขึ้นได้ไหมครับ?”
ถาวซย่ามั่นพยักหน้า แล้วเล่าย้อนถึงรายละเอียดก่อนหน้า รวมทั้งหลังจากหลงเฉียงจับตัวเธอให้ทางตำรวจฟังง่ายๆ
จากนั้นหลินเฟิงก็พูดต่อว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องเกี่ยวกับหลงเฉียง ไม่รู้ว่าคุณถาวคิดจะทำยังไง จะตัดสินใจฟ้องเขา หรือเลือกยอมความครับ? ยังไงต้นเหตุของเรื่อง…ถ้าจะพูดแบบจริงจัง น่ากลัวว่าจะเป็นเรื่องในครอบครัวคุณ”
“เรื่องในครอบครัว?” ถาวซย่ามั่นตะลึง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจนัก “คุณตำรวจ นี่ถือเป็นเรื่องในครอบครัวได้ยังไงคะ?”
เซอร์หลินอ้าปากค้าง แล้วมองมาทางโจวจื่อเหาด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนที่โจวจื่อเหาจะพูดพร้อมยิ้มแห้งๆ “เซอร์หลิน ขอโทษครับ ผมยังไม่ได้เล่าสาเหตุของเรื่องนี้ให้เธอฟัง…เธอยังไม่รู้เรื่องครับ”
“จื่อเหา?” ถาวซย่ามั่นขมวดคิ้วมุ่น
หลินเฟิงจึงกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง แล้วลุกขึ้นพูดว่า “งั้นพวกเราไปหาอะไรดื่มก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาต่อแล้วกันครับ พวกคุณคุยกันไปก่อน…”
…
“พ่อของฉัน?! เขา…”
พอถาวซย่ามั่นฟังโจวจื่อเหาค่อยๆ เล่าความจริงเบื้องหลังการลักพาตัว เธอก็เงียบลงทันที
โจวจื่อเหาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ได้ยินมาว่าเจ้าอ้วนจางเสนอความเห็นเอง พ่อของเธอ…คุณเฝิงไม่เกี่ยวข้องด้วย”
“จริงเหรอ…ฉันรู้แล้ว” ถาวซย่ามั่นพยักหน้าอย่างหนักใจ
“ซย่ามั่น เธอ…”
บรรยากาศเงียบลงทันที
ถาวซย่ามั่นถอนหายใจ เงยหน้ามองอีกฝ่ายเล็กน้อย “เธอ…เธอรู้เรื่องของฉันหมดแล้ว”
โจวจื่อเหากลับเงียบกริบ
ถาวซย่ามั่นจึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “คุณลุงกับคุณป้าโจว…จื่อเหา หรือว่า พวกเรายกเลิกงานแต่งดีไหม ฉันรู้ว่าคุณลุงโจวเขา…เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับชื่อเสียง”
เธอยิ้มเจื่อนๆ “ฉันไม่อยากให้เธอกลายเป็นขี้ปากของตระกูลหรอกนะ”
“แล้วยังไงล่ะ?” คาดไม่ถึงว่าโจวจื่อเหากลับขมวดคิ้วพูดว่า “คนแต่งงานเป็นฉันหรือญาติพวกนั้น? ถาวซย่ามั่น เธอฟังฉันนะ หรือเธอลืมไปแล้วว่าพวกเรารู้จักกันได้ยังไง?”
ถาวซย่ามั่นส่ายหัว
โจวจื่อเหาพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่เรียนฝึกงานของมหา’ลัยไง สู้หัวชนฝาเพื่อตำแหน่งพิเศษ! ถาวซย่ามั่น พวกเรารู้จักกันตอนทำงาน รู้จักกันจากการยกถาดที่โรงแรมตลอดหนึ่งเดือน! ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นเจ้าหญิงของตระกูลถาว เธอก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นคนตระกูลโจว!”
เขาจับมือของถาวซย่ามั่นขึ้นมา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซย่ามั่น ไม่มีใครสนเรื่องพวกนี้หรอก มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้น”
“จื่อเหา…” ถาวซย่ามั่นซบลงบนบ่าของโจวจื่อเหา ผ่านไปนานเธอถึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ฉัน…ฉันคิดว่า ฉันคิดว่าจะไม่ซักไซ้เรื่องนี้แล้ว”
“ทำตามที่เธอต้องการเถอะ” โจวจื่อเหาพยักหน้า “ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆ ของเธอ…เธอไม่อยากไปเจอเขาหน่อยเหรอ?”
ถาวซย่ามั่นส่ายหัว เธอหลับตาลงพูดว่า “ฉัน…ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ ให้เวลาฉันหน่อยได้ไหม?”
โจวจื่อเหาพยักหน้า เขาคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุย “แต่ว่า…ฉันคิดไม่ถึงเลยว่านอกจากพ่อแท้ๆ ของเธอแล้ว เธอยังได้เจอคุณอาด้วย”
“คุณอาของฉัน?” ถาวซย่ามั่นตะลึง
โจวจื่อเหาพูดด้วย “ใช่แล้ว อาของเธอก็ช่างโจวที่ตัดชุดให้เธอไง สมแล้วที่เป็นฝาแฝดกัน หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ เมื่อคืนตอนที่ฉันเห็นพ่อของเธอลงมาจากรถคุมตัวนักโทษตรงทางหลวง ยังนึกว่าจำคนผิดไป แต่พอถามถึงได้รู้ว่าที่แท้ช่างโจวคนนั้นเป็นอาแท้ๆ ของเธอ ถ้ารู้แต่แรกว่าคุณอาเธอจะตัดชุดได้ตรงใจเธอ ฉันคงไม่ต้องเปลืองแรงไปหาดีไซเนอร์มากมายขนาดนั้นแล้ว”
เธอมีคุณอาแท้ๆ ที่ไหนกัน…เธอไม่เคยรู้เลยว่าเฝิงกุ้ยชุนมีน้องชายฝาแฝดอีกคน อีกทั้งยังเป็นช่างตัดเสื้อเหมือนกันด้วย
ถาวซย่ามั่นมองโจวจื่อเหาอย่างงุนงง แล้วถามอย่างเผลอไผลว่า “เธอ…เธอหาเขาเจอจากที่ไหน?”
โจวจื่อเหาคิดแล้วจึงตอบว่า “ช่างโจวกำชับฉันว่าห้ามเปิดเผยที่อยู่ของเขา…แต่ว่าตอนนี้ก็พูดหมดเปลือกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก อืม…ขอฉันคิดดูหน่อย จริงสิ ฉันเจอเขาที่บ้านเลขที่สามสิบสาม ซอยสอง ถนนจี้หวา”
“บ้านเลขที่สามสิบสาม ซอยสอง ถนนจี้หวา…” ถาวซย่ามั่นก้มหน้า พูดย้ำด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างรีบร้อน “เป็นตึกแถวห้าชั้นคูหาหนึ่งใช่ไหม เธอเคยขึ้นไปใช่ไหม?”
“แน่นอน ไม่ขึ้นไปแล้วจะเจอช่างโจวได้ยังไงล่ะ?” โจวจื่อเหาพูดยิ้มๆ
ถาวซย่ามั่นคว้ามือของโจวจื่อเหาขึ้นมาบีบแน่น “ห้องรับแขกดัดแปลงใหม่ เปลี่ยนโต๊ะกินข้าวเป็นโต๊ะทำงาน ข้างๆ มีจักรเย็บผ้าสีดำตัวหนึ่ง ใช่แล้ว บนกำแพงซ้ายมือของประตูทางเข้าแปะรูปภาพเอาไว้ด้วยใช่ไหม…”
“ใช่นะ เธอรู้ได้ยังไง?”
โจวจื่อเหาตะลึง ก่อนตบหน้าผากทีหนึ่ง ส่ายหน้าพูดว่า “ฉันโง่จริงๆ ในเมื่อเป็นบ้านคุณอาเธอ ตอนเด็กเธอต้องเคยไปแน่ๆ ไม่เห็นแปลกตรงไหน แต่เธอเคยเห็นตอนเด็กไม่ใช่เหรอ? นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ยังไม่เปลี่ยนอีกแฮะ ดูท่าช่างโจวคงยึดติดกับอดีตน่าดู”
‘นั่น…นั่นเป็นบ้านสมัยฉันยังเด็ก…’
ถาวซย่ามั่นขยับริมฝีปาก เธออยากพูดความจริงออกมาหลายครั้ง แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับทำให้เธอไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร…ราวกับมีอะไรทำให้เธอไม่ยอมพูดความจริงบางอย่างออกมาโดยสัญชาตญาณ
ถึงขนาดทำให้เธอเข้าใจผิดว่าเฝิงกุ้ยชุนมีน้องชายฝาแฝด คนที่เธอไม่เคยเห็นหน้าจริงๆ
“จื่อเหา ฉันอยากไปที่นั่นสักครั้ง”
ถาวซย่ามั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันอยากไปตอนนี้เลยได้ไหม?”
เขาไม่อาจทัดทานคำขอร้องของว่าที่ภรรยาที่รักสุดหัวใจได้ จึงพยักหน้าตกลง
…
…
ไท่อินจื่อใส่กางเกงรัดติ้วตัวโปรด อดีตนักพรตเมื่อห้าร้อยปีก่อนผู้เป็นเด็กใหม่เพียงคนเดียวของสมาคมคิดว่า ความรู้สึกที่ผิวหนังถูกบีบรัดจนแน่นแบบนี้ช่างดีเสียจริง
แน่นอนว่าจะขาดการแมทซ์กับเสื้อเชิ้ตลายสก็อต และจิตวิญญาณที่สำคัญที่สุดไปไม่ได้ นั่นก็คือ ‘วิกผมทรงอัฟโฟร!’
“ปัญญาอ่อน”
ในห้องโถง คุณฉินชูอวี่ลืมตาขึ้น หลังจากพูดคำหนึ่งอย่างเฉยเมยแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถงภายในสมาคมไป
เธออยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว แต่เห็นผลลัพธ์น้อยมาก บางทีการจากไปตอนนี้อาจเป็นความคิดที่จะผ่อนคลายได้บ้าง พักผ่อนจากการทำงานเสียบ้าง หรือบางทีอาจจะแค่คิดแบบง่ายๆ ว่า…คนที่เคยอยู่ในสำนักเดียว กันนั้นขัดหูขัดตาเสียจริง…
แต่วันนี้ไท่อินจื่ออารมณ์ดี! ในที่สุดก็ได้ออกจากคุกนั่น ไม่ต้องคลุกคลีกับคนสมองทึบพวกนั้นทั้งวันแล้ว สบายใจได้สักที!
ส่วนเรื่องนังแพศยาฉินชูอวี่ วันนี้ข้าจะยอมถอยให้ ไม่ถือสาเอาความสักครั้งแล้วกัน
นอกจากนี้ หลังจากฉินชูอวี่ออกไปข้างนอกแล้ว ห้องโถงของสมาคมก็ว่างเปล่าไปถนัดตา!
“ตอนนี้นายท่านไม่อยู่!”
ไท่อินจื่อหรี่ตาเดินไปทางเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าแก่ในห้องโถงสมาคม “คุณโยวเย่ไปซื้อผัก ถ้าไม่มีลูกค้ามา อย่างน้อยต้องอีกครึ่งชั่วโมงเธอถึงกลับมา! จิ๊ๆๆ นี่ไม่ได้ถึงตาข้าจัดการแล้วเหรอ?”
ไท่อินจื่อถูมือสองข้างไปมา จากนั้นก็เปิดตู้ใต้เครื่องวางแผ่นเสียง ตอนที่เขาคิดจะเลือกแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งจากในบรรดาแผ่นเสียงมากมายนั้น มือของเขากลับถูกของอะไรรัดเอาไว้
ที่รัดเขาไว้เป็นเชือกสีดำเส้นหนึ่ง
เชือกยิงออกมาจากรอบด้าน ไท่อินจื่อไม่อาจตอบโต้ได้ ก่อนเริ่มรัดเขาจนแน่น จากนั้นพอเก็บเชือกเส้นหลักไป ทั้งร่างของเขาก็ถูกแขวนอยู่บนฝ้าเพดาน
“อืม เหมือนเคยเห็นท่าแบบนี้นะ? แม่งเอ๊ย อีกแล้วหรือเนี่ย?!”
ไท่อินจื่อกะพริบตา เห็นโน้ตแผ่นหนึ่งติดอยู่บนประตูตู้เครื่องเล่นแผ่นเสียงอย่างชัดเจน
…ของนายท่านโดยเฉพาะ โปรดอย่าแตะส่งเดช รับผิดชอบผลที่ตามมาเอง ลงชื่อโยวเย่
“NO (ไม่นะ)…!”
…
…
โจวเสี่ยวคุนรู้สึกเหมือนพี่ใหญ่จะกลับไปเป็นแบบเดิมแล้ว…วันนี้พอตื่นขึ้นมา พี่ใหญ่ก็วิ่งไปห้องทำงานเริ่มตัดเย็บบางอย่างเหมือนปกติ
“พี่ชาย พี่…พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” โจวเสี่ยวคุนมองเหล่าเฝิงด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับถามเสียงเบาๆ
แต่เหล่าเฝิงกลับหัวเราะถามว่า “ฉันจะเป็นอะไรได้?”
โจวเสี่ยวคุนนิ่งอึ้ง ก่อนพูดว่า “ไม่ใช่ พี่ชาย ช่วงนี้พี่ไม่ได้ …”
แต่เหล่าเฝิงกลับส่ายหน้า ตอบว่า “ที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ อย่าคิดมากเลย วางใจได้ ฉันไม่เป็นไร”
โจวเสี่ยวคุนตบบ่าของเหล่าเฝิงเบาๆ ถอนหายใจพูดว่า “พี่ พี่ปลงได้แล้วเหรอ?”
เหล่าเฝิงวางมือลงเบาๆ ก่อนก้มหน้าลง ทำท่าผิดหวังแต่ก็ยังฝืนยิ้มแย้ม “ปลงได้หรือไม่ก็เหมือนกันนั่นแหละ คนเป็นพ่อแม่ ขอแค่ได้เห็นลูกสาวมีความสุขก็ดีกว่าเรื่องไหนๆ แล้ว ตอนนี้เธอสบายดีก็พอแล้ว พอแล้วล่ะ”
“พี่…” โจวเสี่ยวคุนยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เหล่าเฝิงกลับพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “มา ถ้านายว่าง ก็มาช่วยฉันตัดปลายด้ายหน่อยสิ นายมัวแต่อู้งานอย่างนี้ แล้วจะเอาผลงานความประพฤติที่ไหนไปลดโทษเล่า?”
“จะว่าไปก็จริง”
โจวเสี่ยวคุนหัวเราะแล้วหยิบกรรไกรขึ้นมา แต่สีหน้ากลับดูเศร้าสลดเล็กน้อย…เขาอาจได้รับการลดโทษแล้วออกก่อนล่วงหน้า แต่กลับเป็นไปไม่ได้สำหรับพี่ชายคนนี้
ในตอนนี้เอง คนคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องทำงานอย่างร้อนรน “อาจารย์! ที่แท้อาจารย์ก็อยู่ที่นี่เอง ผมหาอาจารย์ตั้งนาน!”
เจ้าอ้วนจางวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขายื่นมือไปดึงโจวเสี่ยวคุนขึ้นมา จากนั้นก็นั่งทิ้งก้นลงไป เขามองเหล่าเฝิงแล้วก็พูดแบบน้ำลายท่วมปากว่า “อาจารย์! ขอโทษจริงๆ ครับ! ผมต้องสั่งสอนเจ้าโง่เง่าเต่าตุ่นหลงเฉียงนั่นให้ดีแน่นอนครับ! อาจารย์ครับ อาจารย์ต้องเชื่อผมนะ ผมอยากแสดงน้ำใจกับท่านจริงๆ แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้!”
เหล่าเฝิงไม่รู้ว่าที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากตัวเขาออกไปแล้ว
แต่เหล่าเฝิงก็ไม่อยากเก็บเรื่องนี้ไปคิดเล็กคิดน้อย…เจ้าอ้วนจางวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่นี่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ทัศนคติของเขาดีมากแล้ว เหมือนจะไม่เลวเลย
เหล่าเฝิงส่ายหัว “ไม่เป็นไรๆ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน”
“ผมก็รู้ว่าอาจารย์ใจกว้าง ไม่ถือสาเอาความผู้น้อย!”
เจ้าอ้วนจางทำหน้าประจบสอพลอ จากนั้นก็เข้ามาพูดใกล้ๆ ว่า “งั้นอาจารย์ครับ เรามาหารือกันสักเรื่องดีไหมครับ? อาจารย์ดูสิ ถึงเรื่องนี้ผมจะปล่อยไก่ แต่อาจารย์ก็เห็นแล้วว่าผมกังวล และเอาใจใส่เรื่องอาจารย์ทุกวัน ผมรู้ผิดแล้ว! อาจารย์ว่า ลูกศิษย์อย่างผมยังพอใช้ได้ไหมครับ?”
เหล่าเฝิงพูดแบบติดตลก “แน่สิ ไม่เลวเลย”
“ใช่ไหมล่ะครับ!”
เจ้าอ้วนจางกะพริบตา แล้วค่อยๆ พูดอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ครับ พวกเราสนิทกันมานานขนาดนี้แล้ว อาจารย์จะเริ่มสอนเรื่องใหม่ๆ ให้ผมได้หรือยังครับ?”
“สอนแก?” เหล่าเฝิงตะลึง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “แกอยากให้ฉันสอนอะไร?”
เจ้าอ้วนจางเริ่มเห็นความหวังแล้ว จึงถูมือทั้งสองข้าง แล้วพูดว่า “ความสามารถที่แท้จริงของท่านอาจารย์ไงครับ! ไม่ต้องมาก ท่าสองท่าก็พอ!”
เหล่าเฝิงขมวดคิ้ว จู่ๆ เขาก็ส่งเข็มในมือไปให้เจ้าอ้วนจาง แล้วพูดโพล่งไปว่า “แกถืออันนี้เอาไว้ให้ดี ค่อยๆ ฝึกไป ความสามารถชั่วชีวิตนี้ของฉันอยู่บนเข็มเล่มนี้ทั้งหมด!”
เจ้าอ้วนจางตะลึง เขายื่นมือมารับเข็มเล่มนี้แล้วจ้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนถามอย่างเผลอไผล “อยู่บนเข็มเล่มนี้ทั้งหมด? นี่ …เข็มปักลาย? เดี๋ยวนะ…หรือว่านี่จะเป็น ‘คัมภีร์ทานตะวัน*’ ในตำนาน? ‘ตงฟางปุ๊ป้าย**’?”
ด้วยเหตุนี้เจ้าอ้วนจางอดีตผู้นำคนก่อนของห้องขัง ก็ตัวสั่นสะท้านโดยพลัน หนีบขาทั้งสองเอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ…
“NO (ไม่นะ)…!”
*คัมภีร์ทานตะวัน ชื่อสุดยอดคัมภีร์ในนิยาย
**ตงฟางปุ๊ป้าย เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในนิยายกำลังภายในเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร หรือ เดชคัมภีร์เทวดา