สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 78 ปลดปล่อย
ถาวซย่ามั่นไม่ได้พูดอะไรตลอดทางที่อยู่บนรถ เธอดูไม่เป็นตัวเองที่สุดเท่าที่โจวจื่อเหาเคยเห็นมา
ชายหนุ่มรู้ว่าเวลานี้ คำพูดใดๆ ก็ไม่ได้ผลเท่ากับการนั่งอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ
ในที่สุด รถก็ขับเข้าสู่ถนนจี้หวา แล้วก็มาจอดอยู่หน้าตึกแถวสูงห้าชั้น
ก่อนหน้านั้นไม่นาน…เธอข้ามถนนตรงนี้ แต่ไม่ได้ขึ้นไป โจวจื่อเหาเปิดประตูรถให้เธอ แต่เธอกลับนั่งอยู่บนเบาะ เอาแต่เงยหน้ามอง ทว่ายังไม่ลงมาจากรถเสียที
ทันใดนั้น โจวจื่อเหาก็ยื่นแขนไปอุ้มเธอลงจากรถ ยิ้มแล้วพูดว่า “การออกกำลังกายเป็นประจำนี่ดีจริงๆ นะ ขนาดห้าชั้นฉันก็ยังไหวนะ”
“ปล่อย ปล่อยฉันลง” ถาวซย่ามั่นพูดด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แบบนี้จะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นนะ”
ชายหนุ่มคนนี้มักมีวิธีที่ทำให้ตัวเองเงียบลงได้เสมอ
ถาวซย่ามั่นพูดเสียงเบาว่า “เธอประคองฉันขึ้นไปเถอะ”
ครั้งก่อนที่มาที่นี่ เธอยังไม่ได้เดินขึ้นมา กระทั่งวันนี้ทั้งสองเดินไปบนบันไดทีละขั้นๆ ถึงเจ็บเท้าจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก แต่เธอกลับรู้สึกผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้มาก
พอถาวซย่ามั่นเห็นประตูคุ้นตาบานนั้น เธอถึงรู้ว่า ตัวเองโตขึ้นแล้วจริงๆ
“ช่างโจว ช่างโจว? ช่างโจว อยู่ไหมครับ ผมโจวจื่อเหาเอง ช่างโจว?” โจวจื่อเหายังคงเคาะประตูเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จนเขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ออกไปข้างนอกแล้วหรือเปล่านะ”
“จื่อเหา เธอลองคลำด้านบนสุดของประตูดู ตรงนั้นน่าจะมีกุญแจอยู่” ถาวซย่ามั่นยื่นมือชี้ไปทางด้านซ้ายมือ “น่าจะแถวๆ นี้แหละ”
“ได้ ฉันจะลองหาดู” โจวจื่อเหาพยักหน้า เขาไม่จำเป็นต้องเขย่งเท้า แค่ยื่นมือขึ้นไปก็แตะถึงแล้ว
เขาคลำหาอยู่สักพักก็ยิ้ม แล้วพูดว่า “มีจริงๆ ด้วย!”
“ตอนเด็กๆ ฉันคลำตรงนี้ไม่เคยถึงเลย” ถาวซย่ามั่นพึมพำเบาๆ
โจวจื่อเหาเปิดประตูออกช้าๆ พลางประคองถาวซย่ามั่นเดินเข้าไปในห้อง…แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างในห้อง
โจวจื่อเหาชะโงกเข้าไปมองในห้องรับแขกจนทั่ว “ดูท่าจะไม่มีคนอยู่ที่นี่จริงๆ ซย่ามั่น อาเธอคนนี้ครอบครัวเหรอ ซย่ามั่น?”
เขากลับเห็นถาวซย่ามั่นเกาะกำแพง เดินไปทางโต๊ะทำงานตัวนั้น…แล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม…เธอก้าวเท้าต่อไปไม่ได้แล้ว
เธอยื่นมือออกไปหยิบชุดแต่งงานสไตล์จีนที่วางอยู่ตรงนี้ขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนลูบไล้ไปบนชุด โดยไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
“ตัดเสร็จแล้วนี่นา!” โจวจื่อเหาเดินเข้ามา “มิน่า เมื่อวานช่างโจวถึงโทรมาหาฉัน คงอยากให้เธอมาลองชุดน่ะสิ”
“เขา…เขาโทรหาเธองั้นเหรอ” ถาวซย่ามั่นหันกลับไปถาม
โจวจื่อเหาพยักหน้าตอบ “อืม ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมตอนนั้นเขาถึงดูตื่นเต้นนัก แต่พอฉันโทรกลับไปเบอร์เดิม ก็โทรไม่ติด…ไม่มีเบอร์นั้นซะแล้วล่ะ”
โจวจื่อเหามองเสื้อจีนโบราณบนโต๊ะทำงาน แล้วก็พูดอีกว่า “ดูท่าช่างโจวคงรีบจริงๆ ยังเก็บเสื้อผ้าไม่เสร็จก็ออกไปแล้วหรือ”
“อาจจะ…” ถาวซย่ามั่นพูดขึ้น
“อาจจะอะไร”
ถาวซย่ามั่นส่ายหัว “ไม่มีอะไร…ฉันคิดว่า ฉันคิดว่าจะรออยู่ที่นี่ดูน่ะ”
“ได้” โจวจื่อเหาพยักหน้า “ฉันประคองเธอไปนั่งตรงนั้นนะ”
“ไม่ต้อง…” ถาวซย่ามั่นพูดเสียงเบา “ฉันอยากนั่งดูอะไรตรงนี้หน่อย”
เธอมองไปยังมุมกำแพง แล้วพูดว่า “เธอประคองฉันไปตรงนั้นหน่อยสิ”
โจวจื่อเหามองดูรอยขีดบนมุมกำแพง แล้วคุกเข่าลง เขารู้ว่ารอยขีดพวกนี้หมายถึงอะไร ครั้นแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “นี่เป็นส่วนสูงของใครกัน ของญาติผู้หญิงหรือญาติผู้ชายของเธองั้นเหรอ”
“ของฉันเอง”
ถาวซย่ามั่นยื่นมือออกไปลูบรอยขีดหนึ่งที่สูงพอๆ กับส่วนสูงของเธอ นิ้วของเธอลูบเบาๆ ไปที่รอยขีดนี้อย่างช้าๆ ราวกับว่าเธอกำลังลูบใบหน้าของชายแก่
ความสูงที่เท่ากัน
ใหม่เอี่ยม
“ของฉันเอง”
เธอเข้าไปใกล้กำแพง แล้วแนบร่างเข้ากับกำแพง โจวจื่อเหาเห็นดวงตาว่าที่ภรรยาของตนเต็มไปด้วยน้ำตา เขาได้ยินเธอพูดว่า ‘ของฉันเอง’
“น่าจะเป็นตอนที่ช่างโจววัดส่วนสูงให้เธอครั้งก่อน พอกลับมาก็เลยขีดเอาไว้?”
โจวจื่อเหาคิดอยู่สักพัก เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าอาของเธอจะดีกับเธอมากทีเดียว แต่ก็น่าแปลก ตามหลักแล้วพวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่เหมือนว่าเขาจะรู้จักฉันอยู่ก่อนแล้ว แต่ฉันตั้งกระทู้ในอินเทอร์เน็ตถึงได้เจอกับช่างคนนี้นะ?”
“ฉันก็…” ถาวซย่ามั่นส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่เข้าใจอีกหลายเรื่องเหมือนกัน”
“อืม…” โจวจื่อเหาพูดเสียงเบา “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดหรอก บางทีรอช่างโจวกลับมา แล้วค่อยถามให้ชัดๆ ไปเลย จริงสิ ห้องน้ำอยู่ไหน ฉันขอเข้าหน่อยได้ไหม”
ถาวซย่ามั่นชี้นิ้วออกไป…เธอคุ้นเคยกับที่แห่งนี้มาก เธอสามารถเดินตอนกลางคืนได้โดยไม่ต้องเปิดไฟด้วยซ้ำ
เธอเริ่มเกาะกำแพงเดินไปหน้าโต๊ะทำงานอีกครั้ง ก่อนนั่งลงช้าๆ
เธอกางชุดเจ้าสาวตรงหน้าออกช้าๆ จัดแต่งมุมเสื้อ…เธอรู้ว่าตั้งแต่เริ่มวัดส่วนสูงมาจนถึงขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ต้องรวบรัดขั้นตอนที่ยาวนานให้มาอยู่ในขั้นตอนนี้นั้น เบื้องหลังต้องใช้แรงกายแรงใจไปมากแค่ไหน
เข็มเย็บผ้าวางเรียงกันอยู่บนกล่อง แต่ละเล่มร้อยด้ายต่างๆ เอาไว้
ในถังขยะที่อยู่ข้างๆ ยังมีผ้าขนหนูเต็มไปด้วยคราบสีแดงจางๆ กองไว้มากมาย ซึ่งนั่นก็คือเลือด…นิ้วมือต้องถูกเข็มตำไปกี่ครั้งแล้ว
“คุณ…คุณเป็นใครกันแน่” ถาวซย่ามั่นสูดหายใจแรง
เธอรู้สึกลึกๆ ว่า…ชายแก่ที่เคยนั่งร้อยด้ายอยู่ตรงนี้ บางทีเขาอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
ดูเหมือนว่าเท้าของเธอจะเตะถูกอะไรบางอย่างเข้า เธอจึงก้มลงไปดู นั่นคือกล่องอาหารที่ซ้อนกันอยู่ใต้โต๊ะทำงาน
พวกมันวางกองซ้อนๆ กันจำนวนมาก…ดูเหมือนเขาจะกินสิ่งนี้ตลอด
‘…ที่จริงผมมาซื้อให้คนอื่น ช่วงนี้ผมรู้จักเพื่อนคนหนึ่ง เขาชอบทำงานจนลืมกินข้าว ผมกลัวว่าร่างกายเขาจะรับไม่ไหว’
เธอบิดเอว ยื่นมือไปหยิบกล่องอาหารพวกนี้ บทสนทนาเริ่มดังขึ้นข้างหูเธอ…เธอเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน
‘…ไม่รู้ว่าบะหมี่เจียวโถวเมี่ยนอร่อยหรือเปล่า แต่เพื่อนของผมก็กินหมดเสมอ’
…
“ซย่ามั่น เธอหิวไหม เราออกไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับมารอดีไหม” โจวจื่อเหาเช็ดมือพลางเดินออกมาจากห้องน้ำ
แต่เขาดูทั่วห้องรับแขกไปจนถึงเปิดประตูห้องอื่นๆ จนหมดแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
โจวจื่อเหารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตอนที่เขากำลังโทรหาถาวซย่ามั่น กลับได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังมาจากโซฟาข้างๆ…กระเป๋าและข้าวของของเธอยังอยู่ที่นี่
แต่คนหายไป!
…
…
ถาวซย่ามั่นคลำไปตามทางเข้าแคบๆ นั้น ก่อนเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านบะหมี่
เวลานี้เจ้าของร้านบะหมี่ผมหงอกเต็มหัวกำลังดีดลูกคิดไปมา ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน ในร้านเล็กๆ แห่งนี้จึงไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา เจ้าของร้านบะหมี่ก็ตะลึงไปเล็กน้อย “เอ่อ…คุณผู้หญิง ร้านเรายังไม่เปิด ไว้เย็นๆ ค่อยมาใหม่นะครับ ตอนนี้เส้นยังไม่คืนตัวดีเลย”
แต่เห็นหญิงสาวคนนี้เดินกะเผลกๆ มา เจ้าของร้านบะหมี่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความปรารถนาดี ก่อนประคองเธอเอาไว้ “คุณผู้หญิง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ…” ถาวซย่ามั่นส่ายหัว ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เถ้าแก่ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ครับ ว่ามาเลย”
ถาวซย่ามั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันถามไปว่า “คุณตาคะ คุณจำเด็กหนุ่มที่มาซื้อบะหมี่สองห่อจากร้านคุณบ่อยๆ ช่วงนี้ได้ไหมคะ”
“เอ่อ…” เจ้าของร้านบะหมี่ท่าทางงุนงง “อ๋อ คนที่มาซื้อเตาเซียวเมี่ยนกับเจียวโถวเมี่ยนคนนั้น?”
“ใช่ๆๆ!” ถาวซย่ามั่นรีบถามต่อ “วันนี้คุณเจอเขาไหมคะ”
“วันนี้…วันนี้ไม่เจอนะ” เจ้าของร้านบะหมี่พูดต่อ “ผมยังสงสัยอยู่เลย ว่าทำไมวันนี้ถึงไม่เจอเขา”
“ปกติเขามาตอนไหนคะ”
“อืม ปกติจะมาทั้งเช้าและเย็นนะ” เจ้าของร้านบะหมี่คิดพลางพูดว่า “จริงสิ จะมาทั้งเช้าและเย็น แต่วันนี้ยังไม่เห็นหน้าเลย ไม่รู้ว่าจะมาตอนเย็นไหม ทำไมหรือ คุณผู้หญิง คุณตามหาเด็กหนุ่มคนนี้หรือ”
“คุณตา ฉันขอนั่งอยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”
“อ่า ได้สิ นั่งเลยๆ” เจ้าของร้านบะหมี่ประคองถาวซย่ามั่นนั่งลง “คุณผู้หญิง เดี๋ยวผมรินน้ำให้นะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” ถาวซย่ามั่นส่ายหน้า เธอรีบถามขึ้นมาว่า “คุณตาคะ…เด็กหนุ่มที่มาซื้อบะหมี่คนนั้น ได้พูดอะไรแปลกๆ บ้างไหมคะ”
“ไม่มีนะ?”
เจ้าของร้านบะหมี่ส่ายหัวพูดว่า “ฉันจำได้ว่าพ่อหนุ่มนั่นพูดน้อยมาก พอบะหมี่เสร็จก็จ่ายเงินออกไปเลย เขาไม่เคยพูดอะไรเลยนะ…อ้อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว คุณนั่งก่อนนะ อยากนั่งนานแค่ไหนก็ได้ ผมยังต้องคิดบัญชีน่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณทำงานเถอะค่ะ”
ถาวซย่ามั่นนั่งอยู่เพียงลำพัง เธอเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองมัวแต่คิดจะเดินมาที่นี่ จนลืมบอกว่าที่สามีของตัวเองไปเลย
แต่ตอนที่เธอกำลังจะใช้โทรศัพท์ กลับพบว่าตัวเองไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลย รวมถึงโทรศัพท์ด้วย ถาวซย่ามั่นอดยิ้มเฝื่อนไม่ได้ เอาแต่ถามตัวเองว่า ‘ถาวซย่ามั่น เธอเป็นอะไรกันแน่’
เธอส่ายหน้า คิดว่าตัวเองควรกลับได้แล้ว ตอนที่เธอเพิ่งจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ กลับมีลูกบอลกลิ้งเข้ามาในร้านบะหมี่ ทันใดนั้นเอง ก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งตามเข้ามา
พร้อมกันนั้นยังมีหญิงร่างอวบอีกคน เธอได้ยินเพียงหญิงร่างอวบคนนี้พูดตะคอกว่า “บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ลูกเตะบอลบนถนน ทำไมไม่ฟังเลย! แล้วครั้งนี้ยังเตะเข้าร้านคนอื่นอีก!”
“แม่! ผมเปล่า! มันกลิ้งเข้ามาเอง! ผมไม่ได้เตะบอล!” เด็กน้อยพึมพำคัดค้าน
“ยังจะพูดอีก บอลจะวิ่งเข้ามาในนี้เองได้ยังไงกัน! หัดขี้โกหกตั้งแต่เด็กเลยหรือ!” หญิงอวบถลึงตามองไปทางลูกชายของตัวเองเหมือนอยากจะฟาดเขา
แต่เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นี่พอเห็นใครก็รีบไปหลบข้างหลังคนนั้นทันที…แล้วก็ไม่สนด้วยว่าเท้าของพี่สาวคนนี้จะบวมอย่างกับบ๊ะจ่าง
“เฉินเฉิง! ลูกจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม! มานี่เดี๋ยวนี้นะ! อย่าไปรบกวนคนอื่นเขา!” หญิงร่างอวบเท้าสะเอว พอเห็นลูกชายตนเองไปรบกวนคนอื่น ก็รีบกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะคะๆ ลูกชายฉันคนนี้ซนมาก เขาไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ…ซย่ามั่น? เฝิงซย่ามั่น? เธอคือเฝิงซย่ามั่นใช่ไหม ฉันเหมยเหม่ยไง! เจียงเสียวเหม่ย!”
…
หญิงสาวสองคนนั่งคุยกันอยู่ในร้านบะหมี่แห่งนี้ ยังมีเด็กชายที่กำลังดื่มน้ำโซดาด้วยอีกคน
“ที่แท้เธอก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ มิน่า…” หญิงร่างอวบที่ชื่อเหมยเหม่ยอุทาน “คิดไม่ถึงว่าสิบกว่าปีแล้วยังได้เจอเธออีก”
ถาวซย่ามั่นเองก็ตกใจมากเช่นกัน เธอเคยเห็นเหมยเหม่ยมาแล้วครั้งหนึ่ง…ตอนที่เธอมาเยี่ยมบ้านเก่า เพียงแต่ตอนที่เธอเห็นเหมยเหม่ยนั้น แม้ว่าจะจำได้ แต่เธอกลับไม่ได้เข้าไปทักทาย
ถาวซย่ามั่นมองเด็กน้อยที่หลบอยู่หลังกระโปรงแม่ พร้อมกับพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “อืม ผ่านมาตั้งสิบกว่าปี ลูกชายเธอโตขนาดนี้แล้วด้วย”
เหมยเหม่ยพูดขึ้นทันทีว่า “รู้ไหมว่านี่เป็นลูกของฉันกับใคร”
“ใครหรือ”
“อามู่! เฉินจื่อมู่!”
“ไอ้จอมซนคนนั้น!” ถาวซย่ามั่นตะลึง “เธอสองคนแต่งงานกัน! พระเจ้า ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ!”
“ฉันเองก็คิดไม่ถึง” เหมยเหม่ยส่ายหัวด้วยท่าทางเหลือเชื่อ แต่พอเธอหัวเราะกลับดูหวานมาก เธอถอนหายใจพูดว่า “คงเป็นเพราะความไม่แน่นอนของโลกมนุษย์ล่ะมั้ง? ก็เหมือนตอนที่จู่ๆ เธอก็ย้ายโรงเรียนไปกะทันหัน ฉันเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน”
“ไม่มีอะไรหรอก” ถาวซย่ามั่นส่ายหัว
ทันใดนั้นเหมยเหม่ยก็หยุดบทสนทนาลง…เธอกับหญิงสาวตรงหน้าเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน แต่ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี วันนี้กลับเหมือนคนไม่คุ้นเคยไปเสียแล้ว
บางทีความไม่คุ้นเคยนี้คงไม่ใช่เพราะระยะห่างสิบกว่าปี แต่เป็นอคติของเหล่าผู้ปกครอง…เมื่อสิบกว่าปีก่อนต่างหาก
“จริงสิ ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมาล่ะ”
ถาวซย่ามั่นพูดเสียงเบา “ฉันกำลังจะแต่งงาน ว่าที่สามีฉันเป็นคนที่นี่ ก็เลยกลับมาจัดงานแต่งที่นี่น่ะ”
“ยินดีด้วยนะ!” เหมยเหม่ยจับมือถาวซย่ามั่นแน่น แต่ไม่นานกลับรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงชักมือกลับมาอย่างเก้อเขิน
ถาวซย่ามั่นกลับคว้ามือนั้นไว้ “วันนั้น เธอจะมาไหม”
“แน่นอน! ฉันไปแน่ๆ!” เหมยเหม่ยพูดเสียงเบา ก้มหน้าลงทันที “ซย่ามั่น ขอโทษนะ ตอนนั้นฉัน…”
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ” ถาวซย่ามั่นส่ายหัว
แต่หมยเหม่ยกลับฝืนยิ้ม เธอยื่นมือไปลูบหัวของลูกชายตัวเอง “ฉันคิดมาตลอด ตัวฉันเองเคยทำร้ายจิตใจเธอ ไม่ใช่แค่ฉัน เพื่อนนักเรียนทุกคน…ตอนนั้น พวกเราไม่ควรทำแบบนั้นกับเธอเลย จริงๆ นะ พอยิ่งโตขึ้น ยิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจความไร้เดียงสาของตัวเอง โดยเฉพาะ…”
เหมยเหม่ยพูดเสียงเบา “โดยเฉพาะหลังจากมีเจ้าเด็กดื้อคนนี้ ฉันก็เข้าใจจุดนี้มากขึ้น ว่าจิตใจของเด็กเปราะบางมากแค่ไหน คำพูดมากมายที่พวกเขาได้ยินจะยังฝังลึกในความทรงจำไปนานเกินกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างเราจะจินตนาการได้ มีบางเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางลืมมันไปตลอดชีวิต ”
ถาวซย่ามั่นฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป เหมือนอย่างตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าเราจะยังได้มานั่งคุยกันแบบนี้”
“ใช่แล้ว คงเป็นเพราะโชคชะตาแน่ๆ เลย” เหมยเหม่ยถอนหายใจพูดอีกว่า “เหมือนฉันตอนนี้ ที่แต่งงานเร็ว เป็นแม่บ้านเต็มตัว ช่วงนี้ของทุกวันต้องออกไปรับลูกจากโรงเรียน จากนั้นก็ไปซื้อผักที่ตลาด อยู่ที่นี่ ก็ผ่านที่นี่ทุกวัน คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเธอที่นี่อีกครั้ง”
ถาวซย่ามั่นหัวเราะตอบ…สักพักก็ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว
“อ้อ ฉันนึกออกแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ คุณลุงเฝิงจะชอบพาเธอมากินบะหมี่ร้านนี้เป็นประจำ” เหมยเหม่ยมองไปรอบๆ ร้านบะหมี่ “คิดถึงจังเลยนะ ฉันเองก็ไม่ได้มากินบะหมี่ที่นี่นานแล้วเหมือนกัน…ขอโทษนะ ฉันคงพูดมากไป”
ถาวซย่ามั่นส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไร
เหมยเหม่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “จริงสิ ซย่ามั่น เธอ…เธอได้ไปเยี่ยมพ่อเธอบ้างไหม”
“ไม่เจอนานมากแล้ว” ถาวซย่ามั่นพูดเสียงเรียบ “ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเขา ฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย”
“เธอ…เธอเกลียดเขาหรือเปล่า”
“เกลียดสิ” ถาวซย่ามั่นสีหน้าซับซ้อน “ที่จริงก็ไม่ได้เกลียดนานเท่าไรหรอก แต่พอผ่านไปนานเข้า…ฉันก็เริ่มกลัว”
“เธอ…เธอไม่คิดจะไปเจอเขาหน่อยหรือ” เหมยเหม่ยกุมมือถาวซย่ามั่นเบาๆ “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ไปพูดถึงเรื่องของครอบครัวเธอ แต่เอาจริงๆ นะ ฉันเองก็เป็นแม่คนแล้ว ฉันพอจะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ เจ้าเด็กนี่ทำให้ฉันโมโหได้ทุกวัน บางครั้งฉันก็โกรธจนจับเขาโยนออกนอกบ้าน แต่ว่านะ ความโกรธนี้อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งคืน ถ้าวันหนึ่งฉันไม่เห็นเขา ฉันก็คงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ฉันว่านะ คุณลุงเฝิงก็น่าจะเป็นเหมือนกัน ไม่ว่าเขาเคยทำผิดอะไรไว้ เขาก็ได้รับโทษอย่างสาสมไปแล้ว แม่เธอก็จากโลกนี้ไปแล้ว เขาเลี้ยงเธอมาจนโตเพียงลำพัง เขาไม่เคยทำอะไรให้เธอเสียใจเลย ไม่ว่าเวลาอยู่ข้างนอกเขาจะมีฐานะอะไรก็ตาม ช่างตัดเสื้อก็ดี ฆาตกรก็ดี แต่สำหรับเธอ เขาคือพ่อของเธอนะ”
“เหมยเหม่ย…”
“ซย่ามั่น” เหมยเหม่ยพูดเสียงเบา “เธอไม่รู้สึกหรือว่าที่จริงแล้วตัวเธอเองใช้ชีวิตมีความสุขมาตลอด เกิดเรื่องขึ้นตอนเด็ก เธอก็เจอคนใจดีมารับไปอุปการะ พอโตขึ้นมาเธอก็ได้เจอว่าที่สามีที่รักเธอ เธอมีชีวิตที่มีความสุขมาโดยตลอด แต่เธอกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุข ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ห่างไกลเธอนักล่ะ”
“ฉัน…” ถาวซย่ามั่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง…แต่เธอกลับพูดอะไรไม่ออก
“ซย่ามั่น! ซย่ามั่น! ดีจริงๆ เธออยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”
ฉับพลันนั้น โจวจื่อเหาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา คว้ามือเธอเอาไว้ “ฉันไม่เห็นเธอ ก็เลยเที่ยวถามคนมาตลอดทาง จนมาเจอเธอที่นี่! ดีจริงๆ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม นี่? เจ็บเท้าไหม”
ถาวซย่ามั่นส่ายหัว “ฉันไม่เป็นไร มีคนอยู่นะ”
โจวจื่อเหาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีแม่ลูกคู่หนึ่งอยู่ข้างๆ จึงถามอย่างสงสัย “คุณคนนี้คือ…”
“เหมยเหม่ย เพื่อนสมัยเรียนของฉันน่ะ”
“สวัสดีครับ” โจวจื่อเหารีบทักทายอย่างมีมารยาท
เหมยเหม่ยพยักหน้าแล้วมองไปที่ถาวซย่ามั่น พร้อมกับหัวเราะนิดๆ แล้วพูดว่า “ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ผู้ชายที่รักเธอมากขนาดนี้ ใครบอกว่าเธอไม่มีความสุขกันนะ เธอคิดว่าของพวกนี้จะหนีเธอไปงั้นเหรอ เธอก็แค่ไม่เคยคิดจะปลดปล่อยตัวเธอเองเท่านั้น”
…
“เพื่อนสมัยเรียนพูดอะไรกับเธอเหรอ”
ไม่นานเหมยเหม่ยก็จูงมือลูกชายไปซื้อผักที่ตลาด โจวจื่อเหานั่งดื่มน้ำอยู่ในร้านบะหมี่ แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เรื่องครอบครัวน่ะ” ถาวซย่ามั่นส่ายหัว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันมาสิบกว่าปี เธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้ได้”
“อืม อาจเพราะเป็นแม่คนแล้วถึงมีวุฒิภาวะหรือเปล่า?” โจวจื่อเหาพูดเป็นเรื่องเป็นราวว่า “เธอจะเป็นแบบนี้บ้างไหมนะ”
“อยากตายหรือไง!” ถาวซย่ามั่นทุบโจวจื่อเหาไปหนึ่งที
ใครบอกว่าไม่มีความสุขนะ
…
กลับมาอยู่ในห้องเก่าอีกครั้ง โจวจื่อเหากอดซย่ามั่นแล้วนั่งรออยู่บนโซฟา รอจนฟ้ามืด รอจนถึงสามทุ่ม รอจนถึงห้าทุ่ม
ทั้งสองยังคงรอการกลับมาของช่างโจว
เหมือนว่าที่นี่ไม่เคยมีช่างโจวมาก่อน เพราะพอตกกลางคืน ที่นี่ก็ไม่มีไฟฟ้า
ถาวซย่ามั่นง่วงจนผล็อยหลับไป
เธอฝันแปลกๆ
ในฝันเหมือนว่าเธอจะเป็นมนุษย์ล่องหน เธอยังคงอยู่ในห้องเก่าๆ นี้ แต่ที่นี่กลับมีแสงโคมไฟสว่างขึ้นมา…นเป็นแสงจากโคมไฟบนโต๊ะทำงาน
เกรงว่าจะเป็นช่วงกลางดึก?
เงียบมาก หน้าโต๊ะทำงานมีเพียงเงาคนที่โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขากำลังเหล่ตามอง ปักเข็มเย็บผ้าลงไปอย่างใจจดใจจ่อ
เมฆนำโชคสีทองปรากฏบนผ้าไหมสีแดงทีละเส้น ทีละเส้น
เธอนั่งอยู่ข้างๆ เงานี้ นั่งอยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ เวลาผ่านไปนานมากทีเดียว
ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็เลือนราง จู่ๆ เธอก็ทะลุมิติมาในสถานที่ประหลาด
ในถ้ำแห่งหนึ่ง
เหมือนเธอจะได้ยินเสียงบทสนทนา
เสียงอันคุ้นเคย
“…มื้อค่ำนี้ ได้พูดคุยเท่านี้ก็คุ้มค่ามากแล้ว จะว่าไป ฉันยังได้ออกมารับลมข้างนอกตั้งนาน ถือเป็นกำไรแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมฉัน ทำไมฉันถึงทำให้ชีวิตที่มีความสุขของเธอ ต้องมาวุ่นวายด้วยนะ ฉัน…ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชีวิตของเธออีก…”
“ส่งฉันกลับไปเถอะ…”
ท่ามกลางหมอกหนา เธอเห็นเงาชายแก่คนนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจนมองไม่เห็น แล้วเธอก็เห็นตัวเองนอนหลับอยู่ในถ้ำ
เธอตกใจจนสะดุ้งตื่น บานเกล็ดปะทะเข้ากับแสงอาทิตย์ เช้าแล้ว เธอยังคงอยู่ที่นี่ โจวจื่อเหาก็เช่นกัน
เวลาผ่านไปหนึ่งคืน
เธอลูบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วถึงพบว่าน้ำตาไหลเสียแล้ว