สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 8 กรณีที่ห้า
ตอนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ
ไม่นานเขาก็หาที่นั่งท่ามกลางที่นั่งมากมายได้แล้ว เบื้องหน้ายังมีนักเรียนใส่ชุดของโรงเรียนต่างกันไป
คนที่นี่ก็เหมือนกับเขา ไม่ได้มาเข้าเรียนรอบดึกด้วยตัวเอง แต่ถูกพ่อแม่บังคับมาอีกที
ด้วยเพราะพวกผู้ปกครองคิดว่า อาจารย์ปลดเกษียณน่าจะมีประสบการณ์มาก
พวกเขากำลังถกกันเรื่องเหตุการณ์โดดตึกหลายครั้งในช่วงนี้ เพราะได้ยินมาว่าเป็นนักเรียนของสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกันก็ตาม
ห้องอาจารย์ติวเตอร์หนึ่งคนมีนักเรียนประมาณสิบห้าถึงยี่สิบคน ตอนนี้มีทั้งหมดห้าห้อง ได้ยินมาว่าห้องที่หกอยู่ระหว่างการสร้าง
ด้วยเพราะที่นี่มีสภาพแวดดล้อมดี และอาจารย์มากประสบการณ์ …อีกทั้งยังมีข้อสอบที่ได้มาโดยตรง ด้วยเหตุนี้ ค่าเรียนที่นี่ถึงแพงลิบลิ่ว แต่กลับดึงดูดให้ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยแห่กันแย่งชิงที่นั่งของที่นี่
“เอาล่ะๆ เตรียมเรียนได้แล้ว คืนนี้พวกเราจะวิเคราะห์หัวข้อของมณฑลซานตงที่เพิ่งสอบไปปีนี้ รวบรวมสมาธิของพวกเธอไว้ให้ดีๆ อย่ามัวแต่คิดฟุ้งซ่าน จำไว้ว่าข้างหน้าเธอมีทางที่อันตรายอยู่มากมาย อันตรายเยอะ แต่คนนั้นเยอะกว่า อาจจะมีร้อยคน สองร้อยคนที่อยู่บนปลายสะพานพร้อมกับพวกเธอ…”
ชายสูงวัยแม้ว่าได้ปลดเกษียณแล้ว แต่ว่าอารมณ์พลุ่งพล่านไม่ได้ลดลงตามวัยเลย กู้จยาเจี๋ยเห็นพวกนักเรียนเริ่มจับปากกาเขียนพร้อมกับมองบนแท่นเวทีโดยพร้อมเพรียงกัน เขาจึงรีบจดจ่อตาม
ในบรรดาอาจารย์ติวเตอร์ส่วนใหญ่ของที่นี่ ชายสูงวัยผู้นี้เป็น ‘เจ้าพ่อหน้าบูด’ อันเลื่องชื่อ
แต่ตอนนี้จู่ๆ มือถือของเขาก็สั่นเล็กน้อย กู้จยาเจี๋ยมองอาจารย์ที่แท่นเวทีอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง แล้วก็มองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ข้อความ
[สามทุ่ม ที่เดิม]
…
…
“กลับมาแล้ว”
ตอนที่ประตูบ้านเพิ่งเปิดออก ลั่วชิวที่กำลังจัดการของจิปาถะในบ้าน ก็เห็นเริ่นจื่อหลิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
รองบรรณาธิการเริ่นมองดูห้องรับแขกที่สะอาดแล้วอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มเฝื่อน จากนั้นถอนหายใจ นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา เธอโบกมือแล้วพูดว่า “ตอนแรกฉันคิดจะเก็บกวาดก่อนเธอกลับมา แต่ก็…ลืมไปสนิทเลย”
ลั่วชิวชินกับข้อแก้ตัวของผู้หญิงคนนี้มานานแล้ว จึงไม่โต้แย้งสักคำ แต่เขากลับเทน้ำอุ่นแก้วหนึ่ง แล้วนำมาวางหน้าเริ่นจื่อหลิง
“ขอบใจ…” เริ่นจื่อหลิงพึมพำขอบคุณ แล้วก็นั่งยืดหลัง พร้อมกับมองลั่วชิวแล้วพูดว่า “นี่ มานั่งตรงนี้สิ”
เธอตบไปบนข้างๆ ตัวเอง
“ไม่นั่งครับ”
“…” เริ่นจื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้นทันที เธอดึงแขนของเจ้าของร้านลั่วลงมานั่งด้วยความขุ่นเคือง “ชิ บอกให้นั่งก็นั่งสิ! แล้วก็มองฉัน!”
“มีเรื่องเหรอครับ?”
“มองฉัน” เริ่นจื่อหลิงตบแก้มของตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “มองหน้าฉัน นี่จริงจังนะ! ฉันถามหน่อย เธอบอกฉันตามจริงนะ!”
แต่รองบรรณาธิการเริ่นยังไม่ทันได้ถามก็ถูกขัดเสียก่อน
“ขอบตาดำ รอยย่นสองรอย แล้วก็สิว” ลั่วชิวพูดลอยๆ “คุณคงอยากถามเรื่องพวกนี้ ไม่เห็นแปลก ช่วงนี้ก็อย่าอดนอน งดกินมาม่า แล้วใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติหน่อย จริงสิ อย่าลืมดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ แล้วก็ลดเครื่องดื่มซอฟดริงค์ด้วย”
เริ่นจื่อหลิงเหมือนโดนทำร้ายอย่างทารุณ พูดด้วยน้ำเสียงสลดว่า “พูดแบบนี้ ฉันคงดูเหมือนป้าแล้วใช่ไหม?”
ลั่วชิวถือโอกาสเปิดทีวีดูพร้อมกับถามว่า “วันนี้เจอเรื่องอะไรมาเหรอครับ”
“ฟังนะ วันนี้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเรียกฉันว่าป้าด้วย! สวรรค์!! ฉันเพิ่งอายุแค่ยี่สิบเก้าเองนะ!!”
“ควรเรียกป้าได้แล้ว”
“เจ้าเด็กบ้า! ยังเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ไหมเนี่ย! มีลูกที่ไหนคอยซ้ำเติมแบบนี้บ้าง” แล้วเริ่นจื่อหลิงก็พูดน้อยใจ “คนแซ่ลั่วอย่างพวกเธอก็รู้จักแต่รังแกฉันเท่านั้นแหละ!”
“พวกเธอ?” ลั่วชิวชะงักไป
“เด็กผู้หญิงคนนั้นก็แซ่ลั่วน่ะสิ!” เริ่นจื่อหลิงพูดเสียงฮึดฮัด “บางทีห้าร้อยปีก่อนพวกลูกคงเป็นพี่น้องกันสินะ …ไม่ใช่เพราะเด็กกว่าหน่อย ผิวดีกว่าหน่อย น่ารักกว่าหน่อย แล้วยังมีอะไรดีอีก?”
ลั่วชิวเริ่มเอะใจ จึงลองถามอีก “ชื่ออะไรครับ?”
“ลั่ว…ลั่วอะไรนะ?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อ้อ ลั่วเพียนเซียน พ่อหล่อนจะต้องดูซีรีย์ย้อนยุคมากไปแน่ๆ!”
“…”
ผีเสื้อน้อยตัวนั้นยังอยู่ในเมืองนี้เหรอ?
ลั่วชิวส่ายหน้า “ห้าร้อยปีก่อนพวกเราไม่มีทางเป็นครอบครัวเดียวกันหรอกครับ”
“ฉันแค่พูดไปเรื่อย ลูกไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้เลยนี่” เริ่นจื่อหลิงตบหัวของเจ้าของร้านลั่วเบาๆ “เลิกพูดได้แล้ว ฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว! ไม่ได้ๆ! ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันต้องนอนไวตื่นไว!”
“กินข้าวหรือยังครับ?” ลั่วชิวถามเสียงเบา
“ไม่กินแล้ว! ลดน้ำหนัก!”
ลั่วชิวเห็นเริ่นจื่อหลิงเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรีบร้อน ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วถือโอกาสจัดเก็บของที่ผู้หญิงคนนี้เอากลับมาด้วย
“สถาบันสอนพิเศษ?”
แล้วแผ่นพับโฆษณาเล็กๆ ใบหนึ่งก็หล่นลงมา
หลังลั่วชิวเปิดแผ่นพับออก แล้วดูอย่างละเอียด ก็มีแสงแวววาวแวบเข้ามาในตาเขาทันที เขาจึงปาแผ่นพับออกไปกลาง แล้วห้องรับแขก
แล้วแผ่นพับก็เริ่มคลี่ออกช้าๆ จากนั้นก็ฉายภาพโปร่งแสงออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว
เจ้าของร้านลั่วดูภาพพวกนี้อยู่เงียบๆ ก่อนเผลอยิ้มน้อยๆ ตอนที่เห็นภาพรองบรรณาธิการเริ่นเลียริมฝีปากพร้อมกับจับปากกาวาดอะไรบางอย่าง
“คุณป้า…ป้าก็ถูกแล้วนี่”
เขาส่ายหัวเล็กน้อย แล้วโบกมือ ภาพพวกนั้นก็หายไปทันที ลั่วชิวยืนขึ้นมา หลังจากเก็บของที่เหลือหมดแล้ว ก็ปิดไฟห้องรับแขก แล้วกลับมาคิดเรื่องของผีเสื้อน้อยอยู่ในห้องนอน
ผีเสื้อน้อยตัวนี้คงรักเรียนมาก ถึงขนาดเข้าเรียนพิเศษด้วย
แล้วเขาในชุดนอนก็หลับไปเงียบๆ
…
…
ยามเช้าตรู่ มีคนในหมู่บ้านมาชุมนุมกันไม่น้อย
ตอนนี้เซอร์หม่าคาบแฮมเบอร์เกอร์ไปพร้อมๆ กับแหวกฝูงชนเดินเข้ามา “กันคนออกไปหน่อย ระวังอย่าทำให้จุดเกิดเหตุเสียหาย เหล่าฉินจากสถาบันนิติเวชมาหรือยัง? นั่นใคร ดูสิว่ามีคนน่ารำคาญอยู่ด้วยหรือ…”
หม่าโฮ่วเต๋อชะงักทันที เขามองรอบด้านอย่างหวาดผวา แล้วนายตำรวจหนุ่มที่อยู่ข้างตัวเขาก็พูดเสียงดังอย่างร้อนรนว่า “เซอร์หม่า พี่สะใภ้คุณไม่อยู่ที่นี่ครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อกระแอมแก้เก้อสองครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไล่นักข่าวน่ารำคาญพวกนั้นไปให้หมด!! ยังอึ้งอะไรอยู่? ไปสิ!”
“ครับ!”
ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อถึงยืดอกเดินอาดๆ เข้าไปในจุดเกิดเหตุที่ปิดล้อมเอาไว้ เขาไม่ได้ตะโกนประโยคนี้อย่างสบายใจมานานแล้ว
สดชื่นกว่ากินน้ำแข็งใสราดซอสบ๊วยเปรี้ยวๆ เสียอีก
“เซอร์หม่ามาแล้วเหรอครับ” ตอนนี้ตำรวจที่ปิดล้อมจุดเกิดเหตุทำความเคารพอย่างว่องไว
“รายงานสถานการณ์มาหน่อย” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าพูดสั่ง
ตำรวจนายนั้นจึงรีบตอบว่า “ผู้ตายคงตกมาจากที่สูง ส่วนสถานที่ยังต้องตรวจสอบอีกหน่อยครับ คุณป้าทำความสะอาดหมู่บ้านเป็นคนพบศพ ตรวจสอบตัวตนของผู้ตายได้แล้ว เป็นผู้อาศัยอยู่ชั้นสิบสองของตึกนี้ครับ ผู้ตายเป็นเพศชาย อายุสิบแปดปี ชื่อกู้จยาเจี๋ย เป็นนักเรียนที่จบ ม.หกรุ่นปัจจุบันของเมืองนี้ครับ”
“ทำไมเป็นนักเรียนอีกแล้ว?” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้ง เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนมองจุดเกิดเหตุครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นพยานบุคคลที่เป็นสามีภรรยาอยู่ในสภาพสวมชุดนอน กำลังกอดกันร้องไห้แทบขาดใจอยู่ตรงม้านั่งหินใกล้ๆ
“พวกเขาเป็นอะไรกับผู้ตาย?”
“อ้อ นี่คือพ่อแม่ของผู้ตายครับ” ตำรวจเปิดสมุดเล่มเล็ก “ผู้ชายชื่อกู้เฟิง ผู้หญิงชื่อเฉินเหมยห่วน”
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับมองสามีภรรยาผู้โศกเศร้าคู่นี้ …ถ้าครั้งนี้ยังพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุฆ่าตัวตาย งั้นก็คงผีหลอกแล้วจริงๆ!