สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 9 เจ้าของร้านลั่วและผีเสื้อน้อย
หม่าโฮ่วเต๋อส่งกระดาษทิชชู่ให้เฉินเหมยห่วน แล้วมองกู้เฟิงที่ยังรักษาอาการสุขุมไว้ได้ “คุณกู้ สวัสดีครับ ผมหม่าโฮ่วเต๋อ มีเรื่องอยากถามคุณสักหน่อย คุณจะว่าอะไรไหมครับ?”
“คุณถามมาเถอะ” กู้เฟิงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ พยายามพูดตอบไป
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “ไม่ทราบว่า พวกคุณเห็นกู้จยาเจี๋ยครั้งสุดท้ายเมื่อไรครับ?”
กู้เฟิงคิดอยู่สักพัก ก็ตอบเสียงแหบแห้งว่า “เมื่อคืนครับ น่าจะประมาณห้าทุ่มครึ่งได้ ก่อนนอนผมยังคุยกับเขาอยู่เลย คิดไม่ถึงว่า…”
“ช่วงนี้ลูกชายของคุณไปทะเลาะกับใครมา หรือมีพฤติกรรมแปลกๆ หรือเปล่าครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อได้แต่เมินเฉยต่อความรู้สึกของคนในครอบครัว แล้วถามต่อ
กู้เฟิงส่ายหน้า “ลูกชายผมเป็นเด็กดีครับ แต่ไหนแต่ไรไม่เห็นไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาทข้างนอก และยังเชื่อฟังมากด้วย…ช่วงนี้ ช่วงนี้ก็ไม่มีตรงไหนผิดปกตินะครับ”
“คุณได้ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกชายคุณหรือเปล่าครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อถามต่อ
“ซื้อครับ ซื้อให้แล้ว” กู้เฟิงรีบตอบ “เทอมที่แล้วลูกสอบได้คะแนนดี ผมเลยตั้งใจซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ให้ลูกเป็นพิเศษตอนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมยังไปซื้อกับเขาอยู่เลย”
“คุณกู้ครับ…พวกเรายังสรุปสาเหตุการตายของลูกชายคุณไม่ได้” หม่าโฮ่วเต๋อพูดช้าๆ ว่า “แต่ผมคิดว่าจะขอเก็บโทรศัพท์ของลูกชายคุณกลับไปลองเช็กดู แล้วก็ขอไปดูห้องนอนของลูกชายคุณสักหน่อยนะครับ อีกอย่าง ตอนนี้ผมต้องแจ้งให้คุณทราบก่อนว่า ถ้าจำเป็น ทางนิติเวชอาจจะผ่าชันสูตรศพลูกชายคุณด้วย หวังว่าพวกคุณจะให้ความร่วมมือนะครับ”
“อะไรนะ? ยังต้องผ่าชันสูตรศพลูกชายฉันอีกเหรอ?” พอเฉินเหมยห่วนได้ยิน ก็ร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกแล้วถามว่า “ลูกชายฉันเป็นแบบนี้แล้ว พวกคุณยังจะแตะต้องศพเขาอีกเหรอ?”
หม่าโฮ่วเต๋อได้แต่พูดปลอบว่า “คุณนาย คุณไม่อยากรู้เหรอครับ ว่าลูกชายของคุณฆ่าตัวตาย หรือเรื่องนี้มีเงื่อนงำอย่างอื่น?”
เฉินเหมยห่วนเงียบไปทันที ก่อนซบไปในอ้อมอกของสามี แล้วร้องไห้โฮ ส่วนหม่าโฮ่วเต๋อก็ได้แต่ส่ายหน้า รู้ดีว่าถามหาอะไรจากสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้แล้ว
เขาเดินไปอีกมุมหนึ่งอย่างหงุดหงิด จุดบุหรี่แล้วรอให้คนของสถาบันนิติเวชวิทยามา ตอนนี้เองเงาคนคนหนึ่งก็เข้ามาอยู่ในสายตาของเขา
รูปร่างค่อนข้างผอมบาง สวมหมวกเดินออกมาจากฝูงชน หม่าโฮ่วเต๋อเห็นก็จะเดินเข้าไปหาทันที แต่กลับได้ยินเสียงนายตำรวจคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ
“เซอร์หม่าครับ คนของสถาบันนิติเวชมาแล้วครับ!”
“เอ่อ…อ้อดีเลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ระหว่างที่หม่าโฮ่วเต๋อตอบฝ่ายนั้น เงาคนคนนั้นก็หายไปจากสายตาของหม่าโฮ่วเต๋อแล้ว เหลือเพียงผู้คนที่มุงดูอยู่เยอะแยะเท่านั้น นายตำรวจหม่าจึงตะเบ็งเสียงพูดไม่สบอารมณ์ทันที “นั่นใครน่ะ! ฉันให้นายกันคนที่มุงดูออกไปไม่ใช่เหรอ? คนล่ะ!”
…
…
“ซาลาเปาสองชุดครับ กินในร้านชุดหนึ่ง ห่อกลับชุดหนึ่ง”
“ได้เลย!”
ตรงหน้าร้านซาลาเปา เถ้าแก่ที่กำลังก้มหน้านวดแป้งอยู่ได้ยินออร์เดอร์ก็พูดตอบรับไปทันที แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าพรวด พอได้เห็นลูกค้าตรงหน้า ก็ยิ้มดีใจทันที “ลั่วชิวเหรอ! ที่แท้ก็คุณเอง ไม่เจอกันนานเลย! มาๆๆ มานั่งข้างในสิ!”
“พี่ทำงานเถอะครับ”
นับตั้งแต่เหล่าเฉินและภรรยาเสียชีวิต พี่เฉินคนนี้ก็รับช่วงร้านซาลาเปาต่อมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ลั่วชิวมองลูกชายเหล่าเฉินแป๊บหนึ่ง ดูเหมือนว่าฝีมือจะชำนาญขึ้นมากแล้ว เขาจึงยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปในร้าน
ดูเหมือนว่าจะกลับมาคึกคักกว่าตอนที่เหล่าเฉินเพิ่งเสียชีวิตไปเสียอีก
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ วันนี้ไปไงมาไงถึงมานี่ล่ะ?” ลูกชายเหล่าเฉินใช้ผ้าขนหนูบนบ่าปาดเหงื่อ แล้วนั่งลงตรงหน้าลั่วชิว
“จู่ๆ นึกถึงก็เลยมาครับ แล้วถือโอกาสมาทำความสะอาดบ้านเก่าด้วยสักหน่อย” ลั่วชิวตอบเบาๆ แล้วถามว่า “ช่วงนี้สบายดีไหมครับ?”
“อืม!” ลูกชายเหล่าเฉินยิ้มตอบ “ก็เหมือนเดิม แต่จะว่ายังไงดีล่ะ รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนอยู่นะ”
ลูกชายเหล่าเฉินชงชา พลางพูดช้าๆ ว่า “คนเราชอบคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ที่จริงแล้วก็แค่ไม่ยอมรับ แต่พอยอมรับได้แล้ว ที่จริงก็ไม่ได้แย่อะไร ความจริงได้เปลี่ยนมาใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”
เขามองเพื่อนบ้านเก่าแก่พวกนั้นที่ยอมรับรสชาติซาลาเปาของเขาแล้ว จึงยิ้มพลางพูดว่า “ช่วงนี้ฉันเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว พ่อฉันยืนหยัดจะอยู่ที่นี่มาโดยตลอด…ลองคิดดูแล้วพ่อก็คงมีเหตุผลของตัวเองล่ะมั้ง”
แววตาของลูกชายเหล่าเฉินดูอบอุ่นขึ้น รอยยิ้มของเขาก็ดีทีเดียว ดีเหมือนรสชาติของซาลาเปาในร้านนี้
‘รสชาติของความรู้สึก’
“รสชาติเยี่ยมเลยนะครับ” ลั่วชิวบิซาลาเปาลูกหนึ่งที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ หลังชิมไปคำหนึ่งถึงได้เอ่ยปากชื่นชม
ลูกชายของเหล่าเฉินยิ้มร่า “งั้นก็ดีแล้ว! ฉันยังกลัวว่านายจะตำหนิฝีมือฉันซะอีก เวลานายไม่ยิ้มนี่น่ากลัวจริงๆ นิสัยอย่างกับคนแก่เข้มงวดแน่ะ ไม่รู้ว่าจะโพล่งคำพูดน่าตกใจขึ้นมาเมื่อไร”
“…” ลั่วชิวถอนหายใจ ยังไม่พูดอะไร
แล้วตอนนี้เอง ร้านซาลาเปาก็มีลูกค้ามายืนอยู่หน้าร้านอีกคนแล้ว เธอกำลังพึมพำอะไรสักอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา สายตาของลูกชายเหล่าเฉินมองผ่านลั่วชิวไป “สาวน้อยคนนี้มาอีกแล้ว”
ลั่วชิวหันไปมองแวบหนึ่ง ก็เห็นผู้หญิงสวมหมวกใส่ผ้าปิดปากคนหนึ่ง “สาวน้อย?”
“ได้ยินเสียงไม่ค่อยชัดน่ะ” ลูกชายเหล่าเฉินพยักหน้าแล้วพูดต่อ “น่าจะเป็นสาวน้อยไม่ผิดแน่ ช่วงเดือนสองเดือนนี้ล่ะมั้ง ทุกสองวันจะแวะกลับมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่มาก็จะซื้อซาลาเปาห่อกลับไปเยอะมาก”
ลูกชายของเหล่าเฉินยักไหล่ “แต่ว่าพูดน้อยมาก ทุกครั้งพอจ่ายเงินแล้วก็หิ้วถุงเดินไปเลย อ้าว ไปซะแล้ว คราวนี้ดูท่าทางจะรีบร้อนมากเลยนะ”
สาวน้อยที่อยู่หน้าร้านคนนั้นจ่ายเงินครบแล้วก็รีบก้มหน้าเดินจากไป ไม่มีใครรู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร
“เถ้าแก่ครับ ขอวางซาลาเปาไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมกลับมาเอานะครับ” จู่ๆ ลั่วชิวก็ลุกขึ้นพูด
“อ้อ ได้สิ!”
…
ในตรอกเล็กๆ ของเมืองเก่า สาวน้อยที่กำลังหิ้วถุงซาลาเปาห่อใหญ่ ยืนชิดอยู่ตรงทางออกของตรอกเล็กๆ เธอยื่นหน้าออกมามองย้อนทางที่ตนเองเดินมาแวบหนึ่งอย่างระแวดระวัง
ดูเหมือนว่าสาวน้อยจะโล่งใจแล้ว ถึงได้ลูบหน้าอกตนเองแล้วหันกลับมาดึงผ้าปิดปากลง จากนั้นก็ดมกลิ่นซาลาเปาในถุง พร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“หอมไหม?”
“หอมสิ!” สาวน้อยโพล่งตอบโดยไม่คิด แต่ก็เอะใจทันที…ใครถามเธอกัน?
เธอจึงรีบหันไปมองทันที พอเห็นคนข้างหลังมายืนอย่างไร้สุ้มเสียง เธอก็ต้องสะดุ้งจนหลุดร้องว๊าย
“หน้าตาฉันน่ากลัวมากเลยเหรอ?” ลั่วชิวมองสาวน้อยตรงหน้าคนนี้ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นปีศาจผีเสื้อน้อยลั่วเพียนเซียน
“มะ ไม่ใช่” ปีศาจผีเสื้อน้อยก้มหน้า ท่าทางไม่ค่อยกล้ามองเจ้าของร้านลั่ว
ลั่วชิวยิ้มแล้วถามว่า “เปลี่ยนมากินซาลาเปาตั้งแต่เมื่อไร แต่ไหนแต่ไรเธอไม่กินเลยไม่ใช่เหรอ?”
ลั่วเพียนเซียนเงยหน้าขึ้นมา กะพริบตาใสตอบว่า “ฉันไม่ได้กินหรอก เอาไปให้พวกเสี่ยวเฮยกินน่ะ”
“เสี่ยวเฮย?”
“อืม!”
…
ที่เรียกว่าพวกเสี่ยวเฮยก็ไม่ได้หมายถึงใคร แต่เป็นลูกแมวจรจัดคอกหนึ่ง
ปีศาจผีเสื้อน้อยกำลังนั่งยองๆ บนพื้น ฉีกซาลาเปาในถุงอยู่ในสวนบ้านเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างตรงมุมหนึ่งในเขตเมืองโบราณนี่เอง เธอป้อนมันให้กับพวกลูกแมวจรจัดที่เดินแหวกต้นหญ้าโผล่ออกมาตามจุดต่างๆ ในสวนทีละตัว
พอลั่วชิวเห็นพวกลูกแมวเลียปลายนิ้วของปีศาจผีเสื้อน้อย จนเธอยิ้มจั๊กจี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“ขอซาลาเปาให้ฉันลูกหนึ่งสิ” เขานั่งยองๆ ลง แล้วพูดเบาๆ
แล้วทั้งสองคนก็ป้อนอาหารให้ลูกแมวด้วยกัน
เจ้าของร้านลั่วรู้สึกสนุกมาก คราวที่แล้วให้อาหารเธอ แต่ครั้งนี้เปลี่ยนมาให้อาหารแมวเสียแล้ว