สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 10 พารานอยด์
เฉิงอี้หรานมองเห็นคนสองคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวไม่ชัดเจนเพราะมืดเกินไป…จึงไม่รู้ว่าเป็นใครเป็นคนที่เขาเคยรู้จักหรือไม่
แต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ชักจูงให้เขามาที่นี่ทำให้เขาเดินเข้าไปและนั่งลงในที่สุด
เขานั่งลงตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกด้านหนึ่งของโต๊ะกระจกขนาดใหญ่…เขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
ซึ่งผู้ชายคนนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร อายุประมาณเท่าไรนั้น เขาไม่อาจคาดเดาได้เลย
เฉิงอี้หรานขมวดคิ้วขึ้น “คุณคือ…”
“พ่อค้าครับ พ่อค้าที่สามารถขายให้คุณได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ” ลั่วชิวพิจารณาเฉิงอี้หรานในความมืด แต่ในห้องส่วนตัวนั้นเป็นอุปสรรคของเฉิงอี้หราน แต่สำหรับเจ้าของสมาคมแล้ว การมีแสงสว่างหรือไม่มีก็ไม่ได้แตกต่างกัน
“พ่อค้า?” เฉิงอี้หรานก้มหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ดูนี่สิครับ” ทันใดนั้นลั่วชิวก็พูดเบาๆ ออกมา
นี่สามารถดึงดูดความสนใจของเฉิงอี้หรานได้สำเร็จ เขาเงยหน้าขึ้นมาในทันทีและสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง
เพราะเขาสามารถมองเห็นของบางอย่างได้ชัดเจน ถึงที่นี่จะมืดแต่ก็ไม่ได้มืดจนมองไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนโต๊ะด้านหน้าของเขา
ผู้ชายที่ลึกลับตรงหน้ากวาดมือบนโต๊ะกระจก สิ่งของแตกกระจายบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้าของเฉิงอี้หราน
เขาจำของแตกกระจายเหล่านี้ได้ นี่เป็นกีตาร์ไฟฟ้าที่เขาฟาดจนแตกเองกับมือหลังจากทะเลาะกับหงก้วน
เฉิงอี้หรานยื่นมือออกไปหยิบชิ้นส่วนที่แตกหักชิ้นหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…ซึ่งสลักคำว่า ‘ทะเล’
“นี่เป็นของของคุณใช่ไหม”
“ถูกต้อง มันเป็นของของผม” เฉิงอี้หรานพยักหน้าแต่ก็ขมวดคิ้ว “ที่นี่มีกลไกอะไรซ่อนอยู่ไหม ทำอะไรกับโต๊ะ หรือว่า…เอาเถอะ ผมไม่มีเวลาว่างมาดูคุณเล่นมายากลอยู่ที่นี่ อีกอย่าง ผมไม่รู้จักคุณเลย”
“แบบนี้…” ทันใดนั้นลั่วชิวก็ดีดนิ้ว “ถือเป็นมายากลด้วยไหม”
ชิ้นส่วนแตกหักที่เฉิงอี้หรานหยิบไปลอยออกมาจากมือของเขาอย่างฉับพลัน แม้แต่ชิ้นส่วนแตกหักบนโต๊ะก็ลอยขึ้นมาเช่นกัน
พวกมันค่อยๆ ประกอบตัวกันใหม่ต่อหน้าเฉิงอี้หราน…แม้แต่สายกีตาร์ที่ขาดก็ยังเชื่อมต่อกันใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายกีตาร์ไฟฟ้าที่ชิ้นส่วนประกอบสมบูรณ์แล้วตัวหนึ่งก็ตกลงมาในมือทั้งสองของเฉิงอี้หราน
ประหลาดเกินไปแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าจะมีมายากลอะไรทำถึงขนาดนี้ได้! เฉิงอี้หรานขยี้ตาตนเองอย่างรุนแรง แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสกีตาร์โดยไม่รู้ตัว
“ความรู้สึกนี้…นี่เป็นกีตาร์ของผม!” เฉิงอี้หรานเงยหน้าขึ้นมาทันที พูดว่า “คุณทำได้ยังไง!”
“คุณต้องการอะไรไหม” ลั่วชิวไม่ตอบแต่ถามกลับ “อีกอย่าง คุณยอมเสียสละอะไรเพื่อมันไหม”
“ผม…” เฉิงอี้หรานอ้าปาก ใช้สองมือกำกีตาร์ที่เหมือนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่แน่น “ผม…ผม…”
“ดูแล้วคุณลูกค้าคงยังไม่ทันได้ตัดสินใจดี” ลั่วชิวยิ้ม พูดว่า “แต่ไม่เป็นไร เพียงแค่คุณยินยอม ประตูของพวกเราก็พร้อมเปิดให้คุณเสมอ”
พูดแล้วลั่วชิวก็ยืนขึ้นทำท่าจะจากไป
เฉิงอี้หรานร้องเรียกโดยไม่รู้สึกตัว “รอ…รอเดี๋ยว! รอเดี๋ยว!”
“มีเรื่องอะไรอีกหรือครับ”
“นี่…กีตาร์ตัวนี้…” เฉิงอี้หรานลังเลเล็กน้อย “กีตาร์ตัวนี้…”
“ถือเป็นของที่ระลึกก็แล้วกัน” ลั่วชิวพูด “ถือเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มอบให้คุณ ของที่มีคุณค่าแบบนั้น ครั้งหน้าก็อย่าทำลายมันอีกละ”
เฉิงอี้หรานกุมกีตาร์ในมือแน่น ในตอนที่เขาเห็นพ่อค้าลึกลับกับเงาอีกร่างกำลังจะออกจากห้องส่วนตัวไป เฉิงอี้หรานก็กัดฟันร้องเรียกว่า “ผม…ผมซื้ออะไรได้บ้าง”
โอกาสกำลังจะหายวับไป ความเป็นจริงนี้เป็นสิ่งที่เฉิงอี้หรานเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สำหรับนักดนตรีธรรมดาที่ไม่มีพรสวรรค์โดดเด่น ไม่มีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดตาและไม่มีพื้นฐานที่ร่ำรวยอย่างเขาแล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่โอกาสครั้งเดียวก็ต้องคว้าเอาไว้
แต่เขาไม่เคยพบเจอกับโอกาสมาก่อน…ไม่เคยพบเจอโอกาสมหัศจรรย์ที่ทำลายกระบวนการรับรู้ของเขาเช่นนี้มาก่อน
บางทีอาจจะเป็นเพียงโอกาสเดียว
แม้อีกฝ่ายจะเป็นปีศาจก็ตาม
“ผม ผม…” เฉิงอี้หรานกัดฟัน พูดอย่างหนักแน่นว่า “ผมต้องการซื้อ!”
…
…
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ!”
หงก้วนขอโทษไม่หยุด…เขาก้มหัวขอโทษผู้จัดการไนต์คลับ ความเลือดร้อนและใจกล้าของเขาถูกเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามของนักดนตรีเหลาจนเรียบ
เพื่อชีวิตและคนในครอบครัว แม้จะต้องถูกอีกฝ่ายสาปแช่ง เขาก็ต้องบอกตัวเองให้อดทน…อย่างน้อยก็ไม่อาจจะเสียเงินค่าแสดงในคืนนี้ไปได้
ผู้จัดการไนต์คลับสบถเสียงเย็นพูดว่า “อะไรกัน! เวทีดีๆ ของฉัน เพื่อนของแกอยากจะโยนอะไรใส่ก็โยนได้เลยงั้นหรือ! อินดี้มาก งั้นก็อย่ามาร้องเพลงที่นี่อีก! ตอนแรกใครกันที่จะเป็นจะตายมาขอร้องฉัน ให้มอบโอกาสให้พวกแกได้ขึ้นแสดงที่นี่? พวกแกสิดีเกือบจะทำลายกิจกรรมในคืนนี้ไปแล้ว!”
“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ!”
หงก้วนรีบเอ่ยว่า “ผู้จัดการใจเย็นๆ ก่อน! ผมจะกลับไปพูดกับเขาเอง…คืนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีแถมดื่มเหล้าไปนิดหน่อยจนอารมณ์ขึ้น อีกอย่างหนึ่ง ผู้จัดการก็เห็นว่าถึงเขาจะเป็นอย่างนั้น ต่อมาก็ไม่ได้แย่ลงไม่ใช่เหรอ ผมเพียงคนเดียวก็ทำให้พวกลูกค้ามีความสุขได้”
ผู้จัดการโบกมือด้วยความรำคาญ “เอาละ เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว! ก็แค่เพื่อเงินเดือนไม่ใช่เหรอ? แกวางใจได้ ฉันเป็นคนมีเหตุมีผล! ส่วนของแกฉันจะไม่ให้แกขาดแม้แต่แดงเดียว แต่ส่วนของเพื่อนแก ขอโทษด้วย! ไม่มีให้แม้แต่แดงเดียว! แกบอกให้มันไสหัวไปให้พ้นจากหน้าฉัน ต่อไปไม่ต้องมาให้ฉันเจออีก! แม่งเอ๊ย อะไรกัน มาเสแสร้งเพื่อเงินเดือน!”
“ผู้จัดการ คุยกันอีกครั้งได้ไหม ไม่ให้เลยสักนิด ไม่ค่อย…”
“คุยอีกครั้ง?!” ผู้จัดการถลึงตาด้วยความโมโห กลิ่นอายของผู้ที่คร่ำหวอดในวงการกลางคืนมาสิบกว่าปีเพียงพอที่จะทำให้หงก้วนหวาดกลัว “แม้แต่แกก็ไม่มีโอกาสคุยอีกครั้ง!”
ชั่วขณะนั้นหงก้วนก็ก้มหน้านิ่งเงียบ นี่คือความจริง
หลังจากผู้จัดการด่าเสร็จก็หันหน้าเดินจากไป ก่อนออกไปก็เตะเบสไฟฟ้าที่พิงอยู่ขอบประตูจนหล่นล้มลงกับพื้น ยิ้มเยาะพูดว่า “นักดนตรีงั้นหรือ เฮอะ!”
หงก้วนกำหมัดแน่น กัดฟันและก็ไม่ได้ก้าวออกมา
รอจนผู้จัดการไปแล้ว เขาถึงได้เก็บเบสไฟฟ้าของตนเองขึ้นมา…ในเมื่อตัดสินใจจะละทิ้งแล้ว เก็บหรือไม่เก็บแล้วจะมีอะไร
เขาพูดเช่นนั้นกับตัวเอง
หงก้วนถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ออกมาโดยไม่รู้สึกตัว…เบอร์แรกในโทรศัพท์ของเขาก็ยังคงเป็นเบอร์ของเฉิงอี้หราน
นิ้วของหงก้วนอยากจะกดลงไปบนหน้าจอหลายครั้ง แต่ถึงสุดท้ายก็ไม่ได้กดลงไป
ทว่าเขาก็เลือกที่จะส่งข้อความง่ายๆ ถึงเรื่องที่เขาจัดการ สุดท้ายก็เขียนว่า: [นายเองก็ทำใจเย็นลงหน่อยเถอะ ฉันขอกลับก่อน เมียฉันยังอยู่โรงพยาบาล หากมีเรื่องอะไรก็ค่อยมาหาฉันแล้วกัน ครั้งสุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้เล่นกับนายดีๆ น่าเสียดายจริงๆ]
แต่ก่อนจะกดส่ง หงก้วนก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลบประโยคสุดท้ายออกไปแล้วเปลี่ยนเป็น
‘แยกกันด้วยดี’
…
หงก้วนเก็บของของตนเองเงียบๆ จากนั้นก็เดินออกประตูไนต์คลับไป ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาหัวเราะขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะอะไร
เขาไม่ได้เรียกแท็กซี่ เพื่อที่จะประหยัดเงิน หงก้วนตัดสินใจจะไปขึ้นรถโดยสารรอบสุดท้าย
“ฮัลโหล! ฉันเลิกงานแล้ว ใช่! ฉันจะรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้! ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก…ใช่ ได้ ไม่กิน…ไอ้หยา ฉันลืมกินข้าว ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันหากินข้างทางก็ได้” หงก้วนพูดกับภรรยาของตนเองในโทรศัพท์
เดินผ่านร้านขายไข่ปลาจึงหยุดลง
“เถ้าแก่ ยังมีอะไรกินไหม”
อวี๋ต้านเฉียงที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสูบบุหรี่ พูดว่า “ไม่มีอะไรกินได้แล้ว ไม่พอแม้แต่ชุดเดียว แต่ถ้านายอยากกินก็จะตักขึ้นมาคิดให้ห้าเหรียญ”
“ได้” หงก้วนพยักหน้า
อวี๋ต้านเฉียงยืนขึ้นมา หยิบเครื่องมือเริ่มตักพวกเต้าหู้ไข่ปลาที่เหลือใส่ลงในชาม เขามองหงก้วนแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “พี่ชายเป็นนักดนตรีเหรอ”
หงก้วนชะงักมองไปบนหลังของตนเองโดยไม่รู้สึกตัว…คิดว่าต่อไปคงจะไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีนี้หากินอีกแล้ว จึงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ได้เป็นแล้ว”
อวี๋ต้านเฉียงมองอีกแวบหนึ่ง “ทำไมละ? เป็นนักดนตรีไม่ใช่ว่าดีมากงั้นหรือ”
หงก้วนหัวเราะพูดว่า “ทำต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“งั้นเหรอ” อวี๋ต้านเฉียงพยักหน้า ใส่ซอสลงในชาม “เสร็จแล้ว ห้าเหรียญ ขอบคุณมาก”
หงก้วนเอาเงินให้ หยิบเอาของจะจากไป
เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงพูดของเถ้าแก่ร้านขายไข่ปลา “ฉันนั่งฟังอยู่ที่นี่ได้คืนหนึ่ง ก็เพราะดีนิ”
หงก้วนหยุดเท้าลงและหันกลับไป มองเถ้าแก่ร้านขายไข่ปลาคนนั้น เขาหัวเราะขึ้นอย่างฉับพลันเดินไปหาเถ้าแก่คนนั้น
“มีอะไร ไม่ได้หยิบตะเกียบไปงั้นหรือ”
หงก้วนส่ายหน้า ปลดเบสไฟฟ้าออกมาจากหลังแล้ววางลงบนบาร์ “เถ้าแก่ ของสิ่งนี้มอบให้เถ้าแก่แล้วกัน”
“ให้ฉัน? งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ และก็จะไม่คืนให้นายด้วย นายจะตัดใจได้งั้นหรือ” อวี๋ต้านเฉียงเหลือบมองแวบหนึ่ง ยังคงคีบบุหรี่อยู่
หงก้วนเพียงแต่ตบเบาๆ บนบ่าของเถ้าแก่ ไม่พูดอะไร เพียงแต่ยกชามขึ้นมาวางอยู่หน้าจมูก พูดเบาๆ ว่า “อันนี้หอมมาก จะต้องอร่อยอย่างแน่นอน”
อวี๋ต้านเฉียงหยักไหล่ นั่งลงไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
สำหรับเถ้าแก่ร้านขายไข่ปลาคนนี้แล้ว นี่เป็นเพียงแค่คนแปลกประหลาดที่พบเจอกันโดยบังเอิญอีกคนหนึ่งเท่านั้น
หงก้วนจากไปแล้ว อวี๋ต้านเฉียงหาวและก็เริ่มเก็บร้านของตนเอง แต่ในตอนนี้กลับมีเสียงดังสนั่นออกมาจากไนต์คลับด้านหน้าเขาอย่างฉับพลัน “แม่มันสิ พักสักหน่อยจะตายหรือไง!”
แต่เมื่อฟังๆ ไปอวี๋ต้านเฉียงกลับมีอาการสติหลุด บุหรี่ในปากตกลงพื้นโดยไม่รู้ตัว
เขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้สึกตัว…เข้าไปใกล้ไนต์คลับที่ดูโอ่อ่าร้านนั้น ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น คนที่เดินไปเดินมาแถวนั้นก็พากันมองมาที่ประตูไนต์คลับ
เหมือนกับถูกดึงดูดเข้าไป…เหมือนเสียงที่สั่นสะเทือนแก้วหูนั่นสามารถเปิดโลกแห่งเสียงในใจของพวกเขาได้และดึงดูดพวกเขาเข้าไป
และในเวลาเดียวกัน ด้านในไนต์คลับ ผู้จัดการไนต์คลับกำลังอ้าปากค้าง สีหน้าดูประหลาดใจ
เขามองไปที่ลูกค้าในห้องโถงที่ดูเหมือนกำลังบ้าคลั่ง พริตตี้และบ๋อยของตนเอง…รอเดี๋ยว ทุกๆ คนขยับตัวโยกย้ายอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาเหมือนโดนยา!
“บ้าไปแล้ว…บ้าไปแล้ว…” ผู้จัดการพึมพำ แต่ร่างกายกลับขยับโยกย้ายตามจังหวะขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว
ทุกอย่างนี้เป็นเพราะว่าบนเวทีมีเฉิงอี้หรานกำลังเล่นกีตาร์และร้องเพลงอย่างบ้าคลั่งด้วยบทเพลงที่ชื่อว่า ‘Paranoid’*
*Paranoid เป็นเพลงของวง Black Sabbath วงดนตรีเฮฟวีเมทัลจากอังกฤษ