สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 101 สูงส่ง
คุณไม่สามารถปฏิเสธตนเองเพียงเพราะล้มเหลวแค่ครั้งเดียว คุณต้องลองหลายๆ ครั้ง…ลองล้มเหลวหลายๆ ครั้ง
ไม่ได้มีเพียงแค่เฉิงอวิ๋นคนเดียว
หลังจากเฉิงอี้หรานรู้ถึงจุดนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนสองขาไร้เรี่ยวแรง หาข้ออ้างลงมาเดินเล่น ซึ่งบอดี้การ์ดก็ไม่สงสัยอะไร
ภายในสวนพักผ่อนหย่อนใจของตึกผู้ป่วยมีคนป่วยออกมาอาบแดดเป็นจำนวนมาก ตอนที่เฉิงอี้หรานเดินผ่านก็ลองดีดกีตาร์เบาๆ และพิจารณาการตอบสนองของพวกเขาไปด้วย
ผิดหวังและล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็กลายเป็นความหวาดกลัว ในตอนนี้เฉิงอี้หรานรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวและหัวใจ…เกิดความรู้สึกหวาดกลัว
ทำนองในใจคืออะไร? คืออะไรกันแน่?
เขาอยู่คนเดียวในศาลาและพยายามครุ่นคิดถึงคำพูดของเจ้าของสมาคมตอนการเจอกันครั้งที่สอง
“เพิ่งฟื้นก็ลงมาจากตึก ไม่เป็นอะไรแล้วสินะ”
เสียงของจงลั่วเฉิน
…
คนคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร หรือจะรู้อะไรแล้ว…หัวใจของเฉิงอี้หรานเต้นแรงขึ้น
ไม่ถูกต้อง ฉันเพียงแค่ประสบอุบัติเหตุรถชนจนเข้าโรงพยาบาลเท่านั้น เขามาเยี่ยมก็เป็นเรื่องปกติ…อย่าตกใจไปเอง
เฉิงอี้หรานพยายามสงบอารมณ์ ไม่มองตาของจงลั่วเฉิง แต่มองไปยังสวนด้านหน้าและพูดว่า “บนตึกเงียบเกินไป ผมไม่คุ้นเลยลงมานั่งเล่น”
“งั้นเหรอ” จงลั่วเฉินพยักหน้าและก็นั่งลง
เขากับเฉิงอี้หรานนั่งห่างกันประมาณสองคนนั่ง จงลั่วเฉินนิ่งเงียบไปสักพักถึงพูดว่า “ตอนนี้เป็นวันศุกร์…วันเสาร์ คืนวันอาทิตย์ ขึ้นเวทีได้หรือยัง?”
เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว “คุณอยากจะให้ผมขึ้นเวทีในสภาพแบบนี้เหรอ?”
จงลั่วเฉินกลับพูดว่า “ถึงยังไงคุณกับผมก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมอะไร ถ้าจังหวะดนตรีที่เลือกก่อนหน้านี้ใช้เทคนิคเยอะยุ่งยากเกินไป บางส่วนที่คุณดีดไม่ได้ก็เปลี่ยนจังหวะง่ายๆ หน่อย เช่นบัลลาด พูดแล้วเพลงบัลลาดที่ดีก็กุมหัวใจของคนได้เช่นกัน เมื่อผสานรวมกับ ‘เสียง’ จากกีตาร์นี้ด้วยแล้ว ผลลัพธ์น่าจะดีมาก”
ผู้ชายคนนี้…ไม่ใช่คนไม่รู้จักดนตรีแบบเฉิงอวิ๋นที่หลอกผ่านไปได้
เมื่อจงลั่วเฉินเห็นเฉิงอี้หรานเงียบก็พูดว่า “เวลาไม่เคยคอยใคร รายการของสัปดาห์นี้มีผู้ชมเกือบหกหมื่น ผู้ชมหกหมื่นนี้เป็นคนประชาสัมพันธ์ ซึ่งสำคัญมากต่อภาพลักษณ์ของคุณในอนาคต ตอนนี้คนข้างนอกรู้แล้วว่าคุณประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าโรงพยาบาล ถ้าหากคุณขึ้นเวทีในวันนั้นและทำให้คนหลายหมื่นสยบได้ คุณก็จะกลายเป็นตำนาน”
จงลั่วเฉินส่ายหน้าอีกครั้งและพูดว่า “อีกอย่างผมก็ไม่ใช่พวกที่ทำอะไรเสียเปล่า เพื่อจัดเตรียมรายการของสัปดาห์นี้ ทุนที่บริษัทลงทุน…ถึงจะใช้คำว่ามากมาอธิบายไม่ได้ แต่คุณก็น่าจะเข้าใจว่าหากลงทุนแล้วไม่ได้ผลตอบแทน การลงทุนแบบนั้นก็จะเป็นการลงทุนที่ไร้ค่า”
เมื่อจงลั่วเฉินเห็นนิ้วมือของเฉิงอี้หรานแปะอยู่บนกีตาร์โดยไม่ขยับ จึงยิ้มในท้ายที่สุด “แน่นอน ถ้าแม้แต่ทำนองง่ายๆ ก็ดีดลำบาก งั้นผมก็จะไม่บังคับ…คุณลำบากอะไรไหม?”
เฉิงอี้หรานถอนหายใจ จากนั้นก็เริ่มขยับนิ้วมือของตนเองเล็กน้อยอย่าง ‘ไร้เรี่ยวแรง’ ต่อหน้าจงลั่วเฉินและพูดว่า “ดูสิ ผมทำไม่ได้ หมอบอกว่าห้ามขยับมันอย่างน้อยหนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือน…” จงลั่วเฉินพยักหน้า ท่าทางดูเรียบเฉย เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “ผมรู้แล้ว คุณพักผ่อนให้สบายเถอะ เรื่องที่เหลือบริษัทจะจัดการเอง คุณก็อย่าอยู่ที่นี่นานเกินไป ด้านนอกอาจมีนักข่าวปะปนเข้ามาได้”
เมื่อเห็นจงลั่วเฉินกำชับ ความหวาดกลัวในใจของเฉิงอี้หรานไม่เพียงแต่ไม่หายไป แต่กลับหนักอึ้งขึ้น
เขาไม่ได้ก้าวมาถึงวันนี้ทีละก้าวๆ เขาก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึงแล้ว…ถ้าหากไม่มีกีตาร์ด้ามนี้ เขาก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย
กลับไปไม่มีอะไรอีกครั้ง
ตอนนี้ในดวงตาของเฉิงอี้หรานมองไม่เห็นอะไรเลย เหมือนสูญเสียจุดโฟกัส
ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็พูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว ตามผมไปหน่อยไหม บางทีอาจจะได้เจอเรื่องน่าสนใจ”
เฉิงอี้หรานชะงัก
…
…
เฉิงอี้หรานไม่เคยสงสัยในพลังอำนาจของจงลั่วเฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเมื่อเดินตามจงลั่วเฉินมาถึงห้องประชุมในโรงพยาบาล
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือตอนที่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ห้องประชุมก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดดังออกมา
แต่จงลั่วเฉินที่มือไพล่หลังเดินอยู่ข้างหน้าเขากลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เหมือนเข้าใจสถานการณ์อยู่แล้ว…จากนั้นเฉิงอี้หรานก็ค่อยๆ ฟังออกว่าเสียงร้องนี้เป็นเสียงของใคร
เหมือนเสียงของหลี่จื่อเฟิง…แต่ทำไมเขาถึงร้องโอดครวญ?
ความสงสัยของเขาได้รับคำตอบหลังจากเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป
เห็นหลี่จื่อเฟิงพิงผนังมุมหนึ่งของห้องประชุม หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ มุมปากมีเลือดไหลซึม ลืมตาไม่ขึ้น
ตรงหน้าของหลี่จื่อเฟิงคือเฉิงอวิ๋นที่เฉิงอี้หรานคุ้นเคย เฉิงอวิ๋นถอดเสื้อสูทด้านนอกของเขาออก เลิกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้น ใส่เนคไทเข้าไปในช่องว่างระหว่างกระดุมเสื้อ ผมที่เรียบเนียนด้วยแว็กซ์ของเขากระจัดกระจายยุ่งเหยิง…เขากำลังเวี่ยงกำปั้นเข้าท้องของหลี่จื่อเฟิงอย่างต่อเนื่อง
“เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เมื่อมองเห็นฉากนี้ เฉิงอี้หรานก็ตกใจ…เขาหวาดกลัวมากขึ้น
“อา คุณจง คุณมาแล้ว” เฉิงอวิ๋นหยุดมือ
หลี่จื่อเฟิงค่อยๆ ไถลลงมาตามผนัง ลมหายใจอ่อนระโรย เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมามองเฉิงอี้หรานกับจงลั่วเฉิงแวบหนึ่ง ดูเหมือนคิดจะพูดอะไร แต่การอ้าปากทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
นั่นเป็นสายตาอ้อนวอน
เฉิงอวิ๋นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็หยิบซองเอกสารที่วางบนโต๊ะในห้องประชุมขึ้นมา “คุณจง ผมพบสิ่งนี้ เจ้านี่ยักยอกเงินของบริษัทสองล้านหยวนและยังมีเอกสารนี้อีก…ผมคิดว่าเฉิงอี้หราน นายก็ควรดูด้วย”
เฉิงอี้หรานมองดวงตาหวาดกลัวของหลี่จื่อเฟิงที่นอนอยู่บนพื้นโดยไม่รู้ตัว เขาขมวดคิ้ว รับเอาเอกสารจากเฉิงอวิ๋นมาและเริ่มเปิดอ่าน
เขาอ่านรวดเร็วมาก…เพราะเขาเคยอ่านเอกสารสัญญาแบบนี้มาแล้ว
เขาเคยเห็นคู่สัญญาฝ่ายที่หนึ่งและคู่สัญญาฝ่ายที่สองบนสัญญา…แต่ว่า!
คู่สัญญาฝ่ายที่หนึ่งในวันนี้ไม่ใช่คู่สัญญาฝ่ายที่หนึ่งในวันนั้น…และคู่สัญญาฝ่ายที่สองที่เห็นในวันนั้นก็ไม่ใช่คู่สัญญาฝ่ายที่สองที่เห็นในวันนี้
“นี่…” เฉิงอี้หรานโยนสัญญาใส่ตัวหลี่จื่อเฟิงทันที พูดอย่างโมโหว่า “นี่มันคืออะไร!!”
การโยนสัญญาใส่ตัวหลี่จื่อเฟิงเทียบไม่ได้กับกำปั้นของเฉิงอวิ๋น แต่สำหรับเขาแล้วกลับเป็นของที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำปั้นของเฉิงอวิ๋นมาก!
“บอกฉันมา!” เฉิงอี้หรานย่อตัวลงไป ใช้สองมือจับคอเสื้อหลี่จื่อเฟิง ดึงตัวเขาขึ้นมา
สีหน้าของหลี่จื่อเฟิงซีดเหมือนกระดาษ ไม่พูดอะไรสักคำ
เฉิงอวิ๋นยิ้มเยาะและพูดขึ้นในตอนนี้ว่า “ง่ายๆ เจ้านี่สร้างแผนแตกแยกขึ้นมา ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างนายกับหงก้วน และฉกฉวยผลประโยชน์จากมัน”
เฉิงอี้หรานเงยหน้ามองเฉิงอวิ๋นอย่างมึนงง เห็นเพียงเฉิงอวิ๋นยักไหล่และเอ่ยว่า “มันเป็นเคล็ดลับที่พวกเอเจนซี่ชอบใช้ พวกเขาจะหาวิธีเอาตัวนักร้อง ดาราหรือนักแสดงมาผูกไว้กับตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นเพียงคนเดียวที่ศิลปินเหล่านั้นไว้ใจและเชื่อถือได้ จากนั้นก็สูบผลประโยชน์จากมัน นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาเล็กน้อยในระบบของบริษัทเรา นายก็รู้ว่าก่อนหน้าจะเป็นเฟยอวิ๋นก็คือเทียนอิ่งมาก่อน เนื่องจากปัญหาของการปรับโครงสร้างทำให้บางอย่างติดมาด้วย…แน่นอนว่าต่อไปจะต้องถูกลบล้าง เพราะเราต้องการให้บริษัทดำเนินการไปอย่างสงบ แต่…แต่ว่า”
เฉิงอวิ๋นมองหลี่จื่อเฟิงแวบหนึ่ง พูดอย่างดูแคลนว่า “มีบางคนหัวใสคิดจะร่ำรวยในเวลาสั้นๆ…อี้หราน บริษัททำสัญญากับนาย เป็นค่าตัวนาย แต่เรื่องสัญญามีเพียงหลี่จื่อเฟิงคอยรับผิดชอบตลอด…เงินสองล้านบนสัญญากับเพื่อนนายหงก้วนคนนั้น ฉันเดาว่าคงขุดออกมาจากสัญญาของนาย แต่หงก้วนคนนี้ก็น่าสนใจมาก บนสัญญาของเขาฉบับนั้นจะทำให้เขาได้เงินหลายแสนแต่เขากลับไม่เอา เพียงให้ภรรยาได้อยู่โรงพยาบาลเท่านั้น”
“หงก้วน…” เฉิงอี้หรานทรุดตัวลงกับพื้น จากนั้นก็คว้าคอเสื้อของหลี่จื่อเฟิงขึ้นมา พูดอย่างบ้าคลั่งว่า “นาย…นาย ทำ! ทำ! ไม!”
หลี่จื่อเฟิงเม้มปากไม่พูดเหมือนเดิม
เฉิงอวิ๋นยิ้มเยาะ “เจ้านี่เป็นหนี้นอกระบบก้อนโต บริษัทกู้เงินเร่งรัดเอาเงิน รถยนต์หรู ที่พักชั้นสูง สถานที่สันทนาการระดับสูง แฟนสาวหลายคน ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนก็ไม่น้อยเลย…เงินเดือนที่บริษัทให้เขาไม่มีทางพอแน่นอน”
“หลี่จื่อเฟิง! ไอ้สารเลว!” หมัดของเฉิงอี้หรานกำลังจะโดนหน้าเขา
แต่เฉิงอวิ๋นกลับรีบคว้าแขนของเขาเอาไว้ เฉิงอวิ๋นถือเอาเฉิงอี้หรานที่จะกลายเป็นต้นเงินต้นทองในไม่ช้าเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า “อี้หราน นายอย่าลงมือ อยากต่อยฉันจะทำแทนเอง มือของนายจะเป็นยังไงถ้าตีลงไป? คนแบบนี้ไม่คู่ควรให้นายลงมือด้วยซ้ำ!”
ทันใดนั้นหลี่จื่อเฟิงก็ผลักเฉิงอี้หรานออก คลานไปตรงหน้าจงลั่วเฉิน พูดอย่างอกสั่นขวัญหายว่า “คุณจง…ขอร้องล่ะ เงินสองล้านนี้ผมจะหาคืนบริษัทเอง! ผมจะทำให้ได้! ได้โปรดอย่าให้ผอ.เฉิงแจ้งความเลย…ผม ผมไม่อยากเข้าคุก ผมไม่อยากเข้าคุกจริงๆ…ได้โปรดเถอะครับ…”
“เจ้านี่ ทำเรื่องแบบนี้แล้วยังคิดหนีรอดอีกเหรอ” ความโมโหในใจของเฉิงอี้หรานยังไม่หายไป
หลี่จื่อเฟิงตกใจ กลืนน้ำลายและพูดว่า “อี้หราน ฉันเองก็หมดทางเลือกถึงได้ทำแบบนั้น สถานการณ์บีบบังคับ…นายต้องคิดถึงบุญคุณที่ฉันปั้นนายขึ้นมา ช่วยฉันพูดหน่อยสิ!”
เฉิงอี้หรานโมโหมากจนหัวเราะออกมา “นายหลอกฉันขนาดนี้ยังจะให้ฉันช่วยพูดขอร้องแทนนายอีกเหรอ ฝันไปเถอะ! แจ้งความไปเลย! นายไม่ใช่แค่ยักยอกเงินของบริษัท แต่ยังกินส่วนของฉันด้วย…ทำไมฉันยังต้องช่วยนายอีก?!”
“เฉิงอี้หราน! ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของฉัน วันนี้นายก็ยังเป็นขยะที่ไม่มีใครสนใจในไนต์คลับไร้ชื่อเสียงอยู่ นาย…” หลี่จื่อเฟิงร้องเสียงแหลม “แกมันเนรคุณ!!”
“นายยังกล้าพูดอีกเหรอ” เฉิงอี้หรานคิดจะพุ่งเข้าไปแต่ก็ถูกเฉิงอวิ๋นขวางเอาไว้
หลี่จื่อเฟิงถูกบีบให้จนมุม พูดออกมาว่า “ฮ่าๆๆๆ! นายมันก็แค่หมาป่าตาขาวเนรคุณตัวหนึ่ง! ฉันพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดเลย! ทำไมเพียงคำพูดไม่กี่คำของฉันถึงทำลายความสัมพันธ์ของพวกนายได้ง่ายดายขนาดนั้น? ไม่ใช่เพราะตัวนายเองหรือไง! เพราะนายมันโง่! เพราะความสัมพันธ์ของพวกนายไม่ได้ดีมาแต่แรกแล้ว!! เพราะว่านายไม่เคยเห็นหงก้วนเป็นเพื่อน! นายมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว!! ไอ้สารเลวหน้าเซ่อ! พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน! ไม่ได้สูงส่งไปกว่ากันนักหรอก!”
พวกเรา…เป็นคนประเภทเดียวกัน
สีหน้าของเฉิงอี้หรานซีดขาวขึ้นทันที