สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 106 มังกรที่หมอบอยู่บนโต๊ะกับคนไร้รักอ่านหนังสือ
“โพรมีธีอุส?” หลงซีรั่วขมวดคิ้ว “เซลล์ที่กลืนกินไม่หยุด ดูดกินยีนได้หลากหลาย…วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ฟื้นฟูร่างกายมนุษย์? เซียงหลิ่ว…พูดอย่างนี้จริงๆ งั้นเหรอ”
“จริงแน่นอน” กุยเชียนอีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
นี่เป็นเวลาสิบกว่านาทีหลังจากที่เขาคลานกลับมาถึงโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง…ตอนเขากลับมาหลงซีรั่วก็กลับมาถึงแล้ว ท่าทางดูไม่ค่อยดี กุยเชียนอีจึงรู้ว่าเธอพบเจอเรื่องราวที่ไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไร
“ชิ คนพวกนี้ทะเยอทะยานไม่น้อยเลย” หลงซีรั่วยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “เผ่าปีศาจของเราศึกษาเรื่องวิวัฒนาการของชีวิตมานาน แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย…แต่ ‘โพรมีธีอุส’ ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ดูท่าแล้วในร่างของนกหวีดจะต้องมีส่วนของซูโย่วอยู่”
“ข้าก็คิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้มาก” กุยเชียนอีพูดอย่างจริงจัง “อย่างนี้ถึงจะอธิบายได้ว่าทำไมนกหวีดถึงได้ใส่ใจชีสนัก เพียงแต่พวกเรากลับไม่สามารถใช้กลิ่นอายปีศาจหาว่านกหวีดอยู่ที่ไหนได้ คิดจะจับมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย”
หลงซีรั่วถอนหายใจ นวดหว่างคิ้ว พูดอย่างเหนื่อยล้าว่า “แม้จะรู้ที่มาของนกหวีดแล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงเหลืออยู่มาก กลับมาที่จุยเฟิง…เขาถึงเป็นเรื่องที่ข้ากังวลใจมากที่สุด เขาไม่เพียงแต่แค้นข้า แต่ยังแค้นทุกๆ คนมาก”
“อืม…ตึงมือจริงๆ” กุยเชียนอีก็หาวิธีแก้ไขไม่ได้ เมื่อหลงซีรั่วคิดถึงคำถามสุดท้ายที่จุยเฟิงคำรามออกมาแล้ว เธอก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “กุยเชียนอี ข้าอยากถามเจ้า ว่าเจ้า…”
แต่เธอยังพูดไม่จบ ประตูห้องสำนักงานก็ถูกเปิดออก กุ่ยอิงรีบเดินเข้ามาพูดว่า “ใต้เท้าหลง ท่านกุย พวกปีศาจด้านนอกที่ถูกควบคุมฟื้นคืนปกติแล้ว!”
“ฟื้นฟู…แล้ว?”
…
“เป็นปกติแล้วจริงๆ…” กุยเชียนอีขมวดคิ้ว “แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำสั่งจากจุยเฟิงหรือว่าฟื้นฟูแล้วจริงๆ แต่ทำไมจุยเฟิงถึงถอนการควบคุมพวกปีศาจเหล่านี้? นี่เป็นตัวประกันของเขานะ?”
หลงซีรั่วลอบสังเกตบรรดาปีศาจที่มีท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กัดเล็บและเอ่ยว่า “คิดจะทำให้พวกเขาดูเป็นปกติและออกไปจากที่นี่ง่ายๆ งั้นเหรอ…”
“อาจจะใช่” กุยเชียนอีพยักหน้า “หากพวกเขาอยู่ที่นี่ จุยเฟิงก็จะสูญเสียผู้ช่วยไปไม่น้อย”
“ไม่…” หลงซีรั่วขมวดคิ้ว “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็ง่ายที่จะถูกมองออกเกินไป จิตมารเข้าใจความคิดคน จะไม่ทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้แน่”
“แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยตัวประกันที่มีพลังอำนาจมากที่สุด” กุยเชียนอีเดินไปมา “นอกจาก…นอกจาก ‘เครื่องมือ’ เหล่านี้ถูกขังอยู่ที่นี่หมดประโยชน์แล้ว เขาละทิ้งและหา ‘เครื่องมือ’ ใหม่ แต่แบบนั้นก็ไม่ถูกต้อง…แม้จะหา ‘เครื่องมือ’ ใหม่ได้ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปล่อยตัวประกัน ทำเพื่ออะไรกันแน่? หรือว่า…”
ทันใดนั้นกุยเชียนอีก็มองไปยังหลงซีรั่ว ส่วนตอนนี้หลงซีรั่วก็มองเขาเช่นกัน พูดอย่างจริงจังว่า “จำนวนร่างที่เขาควบคุมได้นั้นมีข้อจำกัด!”
“ความเป็นไปได้นี้มากกว่าหน่อย” กุยเชียนอีเอ่ย
หลงซีรั่วยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า “แต่พวกเราก็ไม่อาจปฏิเสธการคาดเดาแรกได้…จุยเฟิง ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้เลยว่านายเจ้าเล่ห์ได้ถึงระดับนี้ เขายังไม่โตเต็มที่ก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว หากเติบโตเต็มที่เกรงว่าคงอันตรายกว่าเซียงหลิ่วหลายเท่า”
“ข้าจะไปดูสถานการณ์ของพวกปีศาจเหล่านั้นให้แน่ใจอีกครั้ง” กุยเชียนอีเสนอ
หลงซีรั่วพยักหน้า ทันใดนั้นก็เอ่ยว่า “รอเดี๋ยว อย่าให้ชีสรู้เรื่องของนกหวีดเด็ดขาด”
กุยเชียนอีรับคำอย่างหนักแน่นว่า “รับทราบ”
เมื่อประตูห้องสำนักงานปิดลง หลงซีรั่วจึงเอาหมอนลงมาวางไว้ในสองมือและทิ้งหัวนอนลงบนโต๊ะ เผยความอ่อนแอที่ไม่ค่อยได้พบเห็นออกมา แล้วมองดูปฏิทินบนโต๊ะเงียบๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ทำให้หลงซีรั่วรู้สึกเหมือนผ่านเวลามานานมาก…เธอไม่เคยรู้สึกว่าเวลายาวนานแบบนี้มาก่อน
“เพิ่งจะวันศุกร์เองเหรอ…”
…
…
ครั้งนี้เขาน่าจะโชว์การปฏิบัติงานได้ไม่เลว…ใช้เวลาหนึ่งคืนจัดการเรื่องของหลี่จื่อเฟิง เฉิงอวิ๋นรู้สึกได้ว่าเจ้านายของตัวเองอารมณ์ดี
เมื่อเฉิงอวิ๋นรู้สึกว่าตัวเองรักษาตำแหน่งคนสนิทเอาไว้ได้อย่างมั่นคงอีกครั้งแล้ว เขาก็อารมณ์ดีมาก
เขายืดอกเดินเข้าไปในบ้านเก่าที่มีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นเต็มผนังกำแพงบ้าน เมื่อเห็นจงลั่วเฉินแล้วก็เอ่ยว่า “คุณชายรอง ทำไมถึงไม่เห็นเฉิงอี้หรานเลย?”
“เขาไม่อยู่ชั่วคราว แต่อีกไม่กี่วันคงจะกลับมา” จงลั่วเฉิงพูด
ถึงจะพูดว่าย้ายโรงพยาบาล แต่ความเป็นจริงนั้น เขากลับมาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องการย้ายโรงพยาบาล…ออกจากโรงพยาบาลกลับไม่กลับมาพักผ่อน แต่ออกไปเล่นข้างนอกอีก?
ในเมื่อคุณชายรองเจ้านายของตนเองไม่ได้ตำหนิ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ว่าอะไร
เฉิงอวิ๋นพูดว่า “ผมขังหลี่จื่อเฟิงเอาไว้แล้ว และสั่งให้บริษัทเตรียมเอกสาร ต่อไปก็ส่งฟ้องรอการตัดสิน คนคนนี้เป็นพวกทรยศ ผมจะจัดการให้ดี”
จงลั่วเฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ถามอย่างฉับพลันว่า “เฉิงอวิ๋น คนที่ฉันให้นายสืบก่อนหน้านี้หาพบหรือยัง?”
เฉิงอวิ๋นชะงัก แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือเรื่องของบริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด
ด้วยอำนาจทรัพย์สมบัติของจงลั่วเฉิน การจะพัฒนาบริษัทบันเทิงบริษัทหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่การรับช่วงต่อบริษัทเทียนอิ่งมาก็จะลดเวลาลงไปได้มาก เดิมทีบริษัทเทียนอิ่งก็มีนักร้องมากความสามารถอยู่คนหนึ่ง
ถูจยาหยา
หลังรับช่วงต่อบริษัทเทียนอิ่ง ก็หมายถึงได้รับช่วงต่อสัญญาของถูจยาหยาด้วย แต่น่าเสียดายที่นักร้องผู้นี้หายสาบสูญไป จงลั่วเฉินไม่ยินยอมให้ ‘ทรัพยากร’ ของตนเองหายไปอย่างครุมเครือแบบนี้
“ขอโทษด้วยครับ คุณชายรอง คนของพวกเรายังหาไม่พบ” เฉิงอวิ๋นพูดอย่างหมดหนทาง “ผมหาคนในครอบครัวไปตรวจสอบบันทึกการเดินทาง ทั้งทางเครื่องบิน เรือ รถไฟ ทั้งบนฟ้าและใต้ดิน แต่ก็หาไม่พบ แม้แต่บันทึกการใช้จ่ายของเธอภายในหลายเดือนนี้ก็ไม่มี เหมือนคนทั้งคนหายสาบสูญไปจากโลก! คุณชายรอง ผมสงสัยว่าคนคนนี้…อาจจะตายไปแล้วหรือเปล่าครับ?”
“ถึงจะตายก็ต้องมีร่องรอย” จงลั่วเฉินพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันไม่เชื่อว่าจะหาร่องรอยอะไรไม่ได้เลย แต่ในเมื่อไม่มีบันทึกการเดินทาง พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าเธอยังอยู่ในประเทศหรือเปล่า…”
เฉิงอวิ๋นรีบพูดว่า “คุณชายรอง ผมติดต่อพวกที่ช่วยคนหลบหนีออกนอกเมืองแบบผิดกฎหมาย…แต่ก็ไม่มีข่าวคราว”
“ไม่มีก็หาต่อเถอะ”
“ผมจะติดตามความคืบหน้าต่อไปครับ” เฉิงอวิ๋นพยักหน้า จากนั้นก็เปิดกระเป๋าเอกสารของตัวเองและพูดว่า “อีกอย่าง คุณชายรอง ผมได้พูดคุยเรื่องรายการวันอาทิตย์แล้ว วันอาทิตย์พวกเราคิดจะใช้เด็กใหม่ของบริษัทขึ้นแทนที่เฉิงอี้หรานชั่วคราว เพื่อเป็นนักร้องท้าชิง นี่เป็นข้อมูลของเธอ”
“เรื่องพวกนี้นายไปจัดการเถอะ” จงลั่วเฉินส่ายหน้า เหมือนจะไม่สนใจคนใหม่ที่เฉิงอวิ๋นพูดถึง
“งั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้” เฉิงอวิ๋นพยักหน้า
แต่เขากลับรู้สึกพอใจมาก…เพราะคนใหม่ที่ใช้แทนนี้ดูไม่เลว รูปร่างดี อีกทั้งยังรู้จักวิธีเอาใจผู้ชาย
“รอเดี๋ยว” คิดไม่ถึงว่าจงลั่วเฉินจะเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “นายรอเดี๋ยว หยุดเรื่องคนใหม่แทนที่เอาไว้ก่อน ฉันคิด…”
เฉิงอวิ๋นจำต้องดับเปลวไฟปรารถนาที่กำลังลุกโซนลงอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“นายช่วยไปหาคนคนหนึ่งให้ฉันก่อน” จงลั่วเฉินพูดขึ้นในทันใดว่า “หงก้วน”
“หงก้วน?” เฉิงอวิ๋นชะงัก ไม่รู้ว่าจงลั่วเฉินจะให้หาหงก้วนทำไม
“อืม แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันต้องพบเขาหรือเปล่า สรุปแล้วให้นายไปดูก่อน ตอนที่ฉันอยากเจอจะได้เจอได้ทันที” จงลั่วเฉินพยักหน้าพูดว่า “แต่นายอย่าให้เฉิงอี้หรานรู้เรื่องนี้นะ…ไปเถอะ”
ดังนั้นสรุปแล้วท่านอยากจะพบหรือไม่อยากพบกันแน่…ความคิดของคุณชายท่านนี้คาดเดายากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เฉิงอวิ๋นก็ไม่กล้าพูดอะไร รีบออกไปจากบ้านเก่าหลังนี้…ที่นี่จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ส่วนจงลั่วเฉินก็หยิบหนังสือ ‘เหยื่ออธรรม’ ขึ้นมาพลิกอ่านอีกครั้ง
อ่านตอนที่นายมาดแลนผมขาวโพลนคนนั้นร้องตะโกนในห้องพิจารณาคดีว่า “ฉันคือฌอง? วัลฌอง”
เขาชอบตอนนี้มาก