สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 20 โชคหมุนมาแล้ว
ห้องประมาณสิบสองตารางเมตร ไม่ถึงกับอัตคัดแต่ก็พูดไม่เต็มปากว่าสะดวกสบาย…น่าจะพูดว่าสามารถอยู่ได้
ตรงกลางของห้องมีโครงไม้ระแนงขนาดใหญ่ ทำเป็นกำแพงกั้น บนโครงไม้ระแนงมีแผ่นเสียงและซีดีต่างๆ นานาเต็มไปหมด
นี่เป็นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเฉิงอี้หราน…ถือเป็นของมีค่าของเขา
ของสะสมหลายปีรวมอยู่ที่นี่ทั้งหมด
เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกดินและแสงไฟนีออนส่องสว่างไปทั่วเมืองแล้ว ความรู้สึกหิวทำให้เฉิงอี้หรานตื่นขึ้นมาจากฝัน หลังกลับมาจากไนต์คลับเมื่อคืน เขาก็ซื้อเบียร์หนึ่งโหลจากร้านสะดวกซื้อใต้ตึก
เขาดื่มคนเดียว เล่นกีตาร์ไฟฟ้าลึกลับคนเดียวไม่หยุดและไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอนที่เฉิงอี้หรานลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกว่าหัวหนักอึ้ง ไม่สบายท้อง ปากคอแห้งผาก เขาไม่ได้รีบลุกขึ้นจากเตียง เพียงยื่นมือออกไปนวดขมับ จากนั้นก็มองผ่านม่านหน้าต่างดูแสงไฟด้านนอก
เขามองแสงนีออนด้านนอกแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว…เฉิงอี้หรานพบว่านานมากแล้วที่ตนเองมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ยามเช้าแปดโมงเก้าโมง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มขึ้นแสดงยามกลางคืน ทำให้เวลาใช้ชีวิตของเขาสลับจากกลางวันเป็นกลางคืน
เมื่อเฉิงอี้หรานวางมือลงก็โดนกีตาร์ที่อยู่บนตัวตนเอง เขามักจะหลับไปกับกีตาร์เช่นนี้เสมอ
ขยับไม่กี่ครั้ง เฉิงอี้หรานนั่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เขาเบิกตากว้างมองกีตาร์ในมือ…ออกแรงถูๆ ตา “ฉัน…ที่แท้ก็แค่ฝันไป”
ในตอนที่นิ้วสัมผัสกับสายกีตาร์นั้น ความรู้สึกที่สามารถควบคุมทุกๆ คนก็กระจายออกมาทั่วกายเขา!
“ฮา…ฮา ฮา…ฮา ฮา ฮา…”
ความบ้าคลั่ง…ความบ้าคลั่งที่ไร้จุดสิ้นสุดถาโถมอยู่ในหัวใจของเขาเหมือนเปลวไฟกำลังเผาไหม้ เฉิงอี้หรานหัวเราะเสียงดังอยู่คนเดียว
เฉิงอี้หรานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เบอร์แรกบนรายชื่อเป็นชื่อของหงก้วน…เขาจึงเริ่มลังเล
เขาคิดไปถึงเถ้าแก่ขายไข่ปลาคนนั้น คิดไปถึงถุงที่วางอยู่หน้าร้านรถเข็น…มันเป็นเบสตัวหนึ่ง
สิบสามเบอร์ไม่ได้รับ ข้อความเจ็ดข้อความไม่ได้อ่าน
ในที่สุดเฉิงอี้หรานก็ไม่ได้โทรเบอร์นั้น แต่มองเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยกำลังหาตัวตนเองอยู่…ในนี้มีสองสายเป็นของหงก้วน มีหกสายเป็นของผู้จัดการไต้ ส่วนที่เหลือเป็นเบอร์แปลก
ในข้อความจากหงก้วนถามเขาว่าอยู่ที่ไหน เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ส่วนของผู้จัดการไต้ก็ถามเขาว่าพิจารณาเป็นอย่างไรบ้าง…เฉิงอี้หรานไล่อ่านลงมา ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ส่วนข้อความสุดท้ายกลับเขียนว่า: [สวัสดีครับ คุณเฉิงอี้หราน ผมมาจากฝ่ายผลิตของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อคืนผมก็อยู่ในไนต์คลับจึงเห็นการแสดงของคุณ บริษัทของเราสนใจคุณมาก หากสะดวกขอให้โทรกลับด้วย]
“บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด?” เฉิงอี้หรานชะงัก…เขาไม่คุ้นกับชื่อบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดนี้เลย
แต่เขาก็ไม่เคยสัมผัสกับบริษัทแนวนี้มาก่อนและอดแปลกใจไม่ได้จึงรีบโทรไป
“สวัสดีครับ คุณคือ?”
“ผมชื่อเฉิงอี้หราน” เฉิงอี้หรานสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้เสียงของตนเองดูเข้มขึ้น “ผมมองเห็นข้อความของคุณ…คุณรู้จักเบอร์ของผมได้ยังไงครับ?”
“อ้อ! คุณเฉิงอี้หราน ในที่สุดคุณก็ติดต่อมา” คนในโทรศัพท์พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “คุณเฉิง ผมรอโทรศัพท์จากคุณมาทั้งวัน เบอร์ของคุณนั้นผมได้มาจากคนในไนต์คลับ ใช่แล้ว ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ผมชื่อว่าหลี่จื่อเฟิง!”
“เอ่อ…คุณหลี่ สวัสดีครับ” เฉิงอี้หรานพูด “พวกคุณหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“อย่างนี้ครับ ไม่รู้ว่าคุณเฉิงสนใจที่จะเข้าวงการบันเทิงไหม?” หลี่จื่อเฟิงหัวเราะและพูดว่า “บริษัทของพวกเรากำลังเตรียมโปรเจ็กต์เพื่อดึงดูดผู้มีศักยภาพใหม่ๆ”
“บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด…ดูเหมือนผมจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน” เฉิงอี้หรานเอ่ย
หลี่จื่อเฟิงพูดว่า “แน่นอนครับ เพราะบริษัทเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ คุณเฉิงไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องปกติ แต่บริษัทของพวกเราก่อนหน้านี้ คุณจะต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน…บริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด คุณเฉิงเคยได้ยินไหม?”
“บริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด?” เฉิงอี้หรานชะงัก พูดอย่างตกตะลึงว่า “คงไม่ใช่ว่าเป็นบริษัทที่เคยมีนักร้องดัง…บริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัดของถูจยาหยา บริษัทนั้นนะหรือ?”
“ใช่แล้ว” หลี่จื่อเฟิงพูด “ก่อนหน้านี้บริษัทของเราตกต่ำลงไปเพราะเรื่องบางเรื่อง…แต่คุณเฉิงวางใจได้ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เบื้องหลังของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ มีทุนจำนวนมหาศาลจนคุณคาดคิดไม่ถึงคอยสนับสนุน ผมไม่กล้าพูดถึงอำนาจที่บริษัทมีในโลก แต่หากมองในประเทศแล้วก็ถือว่าอยู่ชั้นหนึ่ง! นี่เป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่ง ผมคิดว่าคุณเฉิงคงจะไม่ละทิ้งไป ใช่ไหมครับ?”
เฟยอวิ๋น…เอนเทอร์เทนเมนต์
หัวใจของเฉิงอี้หรานเต้นแรงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แต่เขายังทำให้ตนเองสงบลงมาได้ ทว่าฝ่ามือของเขากลับมีเหงื่อชื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ผมคิดว่า พวกเราน่าจะพบกันสักหน่อย” สุดท้ายเฉิงอี้หรานก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดออกมา
โชคหมุนมาแล้ว
…
…
สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดดูเหมือนเป็นอมตะ
ตรงหน้าของซูจื่อจวิน ม้วนหนังแกะโบราณม้วนหนึ่งกำลังคลี่ออกมา เธอต้องวางมือของตนเองไว้ด้านบนถึงจะทำให้สัญญาการซื้อขายกับสมาคมสัมฤทธิ์ผล
สายตาของเธอดีกว่าปีศาจธรรมดามาก…แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังมองไม่ชัดว่าม้วนหนังแกะโผล่ออกมาได้อย่างไร
ที่นี่มีพลังบางอย่างไหลผ่านจิตใต้สำนึกของเธออยู่ตลอดเวลา ทั้งยังแยกความรู้สึกของเธอกับโลกภายนอกออก
ผ่านการสังเกตจากม้วนหนังแกะ ซูจื่อจวินได้ข้อสรุปที่น่าตกใจว่า: ร้านเล็กๆ แห่งนี้มีระบบเป็นของตนเอง…เหมือนจะเป็นอิสระจากโลกนี้โดยสมบูรณ์
แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความสัมพันธ์ที่ยากจะสัมผัสได้นับไม่ถ้วนกับโลก
“คุณลูกค้า หลังจากประทับนิ้วแล้ว สัญญาก็จะเสร็จสมบูรณ์” ลั่วชิวมองซูจื่อจวินอย่างสงบและพูดออกมา
หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว ซูจื่อจวินก็พยักหน้า ค่อยๆ เลื่อนนิ้วเข้าไปใกล้ม้วนหนังแกะแผ่นนั้น…เมื่อค่อยๆ เข้าไปใกล้เธอถึงรู้สึกว่ามีพลังผูกมัดกำลังก่อตัวขึ้นข้างกายเธอ
ไม่เพียงแต่ตัวเธอเท่านั้น…พลังนี้ยังผูกมัดไปถึงความคิดและวิญญาณของเธอ
รวมไปถึงของบางอย่างที่อยู่ลึกลงไปในวิญญาณของเธอ
ในขณะที่นิ้วกำลังจะสัมผัสกับหนังแกะนั้น ซูจื่อจวินก็เงยหน้าขึ้นมองลั่วชิวที่อยู่ตรงหน้าและถามอย่างฉับพลันว่า “พวกนาย…เป็นตัวอะไรกันแน่”
เหมือนลั่วชิวจะครุ่นคิดถึงปัญหานี้
“ผมก็…กำลังหาคำตอบ”
ในที่สุดซูจื่อจวินก็วางมือลงบนม้วนหนังแกะ…เธอไม่รู้สึกว่ามีอะไรสูญเสีย เพียงแต่รู้สึกว่าในส่วนลึกของร่างกายตนเองมีตราประทับอะไรบางอย่าง
ถูกประทับตราไว้
…
“เท่านี้เหรอ?”
หลังจากนั้นไม่นาน ซูจื่อจวินก็ขมวดคิ้ว เธอมองสองมือของตนเองโดยไม่รู้สึกตัว หรี่ตามองลั่วชิว “ทำไมอาการบาดเจ็บของฉันยังอยู่?”
“คุณหนูจื่อจวิน อาการบาดเจ็บบนตัวคุณหนักมาก” ลั่วชิวพูดอย่างเรียบเฉย “ถึงคุณจะเอาวิญญาณทั้งหมดในสุสานที่คุณพูดถึงรวมเข้ามาก็ทำให้คุณหายจากอาการบาดเจ็บขึ้นในทันทีไม่ได้”
ซูจื่อจวินหรี่ตาลง พูดอย่างเย็นชาว่า “หมายถึงว่า นายกำลังหลอกฉัน…ใช่ไหม?”
“ไม่ครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าพูดว่า “เพียงแต่ฟื้นฟูช้าหน่อยก็เท่านั้น”
พูดแล้วลั่วชิวก็หยิบแก้วทรงสูงจากบาร์ของสมาคมมาวางไว้ด้านหน้าของซูจื่อจวินและส่วนล่างของแก้วก็มีของเหลวแปลกประหลาดบางอย่างโผล่ออกมา
สีแดงเข้ม…แต่ด้านในกลับมีจุดสีทองอยู่มากมาย…เหมือนกับเม็ดทราย
ของเหลวสีแดงเข้มผสมกับทรายสีทองเริ่มโผล่ออกมาจากก้นแก้ว จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนมีปริมาณเป็นหนึ่งส่วนสี่ของแก้วถึงได้หยุดลง
จมูกของซูจื่อจวินขยับ พูดอย่างแปลกใจว่า “นี่คือ…เลือด?”
แต่เธอกลับไม่ได้กลิ่นคาวของเลือดเลย เพียงแต่รูปลักษณ์ของมันบอกกับเธอว่านี่คือเลือด อีกทั้งยังเป็นเลือดที่ทำให้เธอข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ไม่ได้
“ใช่แล้วครับ” ลั่วชิวยิ้ม ผลักแก้วไปหาซูจื่อจวิน “ดื่มมันซะสิครับ แล้วอาการบาดเจ็บของคุณหนูจื่อจวินจะหายดีสมบูรณ์ภายในสองวัน…ทั้งอาการบาดเจ็บภายในและภายนอก”
ซูจื่อจวินไม่ได้ขยับในทันที เพียงแต่ถามเสียงเข้มว่า “นี่เป็นเลือดของใคร?”
ลั่วชิวพูดเบาๆ ว่า “Cain (คาอิน)”
*คาอิน คือบุตรคนแรกของอาดัมและอีฟ