สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 27 หอกมาร
เหลือเพียงสองทางเลือกสุดท้าย ซึ่งต้องเลือกเพียงหนึ่งทาง…ทั้งยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการกำหนดโชคชะตาอีกด้วย
ครั้งนี้ ครั้งนี้ต้องผ่านให้ได้!
เซอร์หม่าจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ!
ช่วงนี้เซอร์หม่าที่เพิ่งลาพักร้อนกับภรรยามาไม่มีเรื่องอะไรต้องทำและว่างมาก หวังเย่ว์ชวนก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรจึงไม่เห็นหัวทั้งวัน…ดังนั้นจึงเล่นเกมไมน์สวีปเปอร์ได้อย่างไม่มีปัญหา!
ปัง!
ทันใดนั้นเสียงผลักประตูชนกำแพงก็ดังขึ้น มือของเซอร์หม่าสั่นขึ้นชั่วขณะและ BOOM(บูม)! ระเบิด!
“เริ่นจื่อหลิง! ผมกับคุณ…หลินเฟิง? ที่แท้ก็เป็นนายนี่เอง?” เซอร์หม่ากระแอมออกมา จัดเนคไทบนคอเสื้อแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แค่กๆ นาย หาฉันมีเรื่องอะไร?”
เซอร์หลินเหลือบดูท่าทางของหม่าโฮ่วเต๋อแวบหนึ่ง…หรือเซอร์หม่าจะไม่รู้ว่าคนทั้งแผนกรู้หมดแล้วว่าเขาไม่มีดวงในการผ่านด่านงั้นหรือ?
“เอ่อ! เซอร์หม่า ท่านอธิบดีหลิวให้พวกเราทั้งหมดออกไปจับหนู” หลินเฟิงพยักหน้าแล้วพูดออกมา
“จับหนู?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก หลังจากได้สติแล้วก็ตบโต๊ะยืนขึ้นมา “เหล่าหลิวถูกลาเตะหัวมาหรือไง? ให้พวกเราตำรวจไปจับ…จับหนู! นี่เป็นเรื่องของกรมอนามัยไม่ใช่หรือไง?”
“ผมก็ถามแบบนี้แหละ” หลินเฟิงพูดอย่างหมดทางเลือก “แต่ปัญหาก็คือ หนูและแมลงสาบด้านนอกเยอะเกินไป คนไม่พอ หน่วยของพวกเราแล้วก็หน่วยดับเพลิง ตำรวจจราจรก็ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนไหวแล้ว! ฟังจากความหมายของท่านอธิบดีหลิว หากคนยังไม่พออาจจะขอกำลังจากทหารมาด้วย”
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว ถอยหลังไปกดเปิดม่านหน้าต่างดูด้านนอกแวบหนึ่ง แต่กลับเห็นว่าท้องฟ้ามืดมิด มีกาฝูงใหญ่บินผ่านไป
ลานจอดรถด้านล่างสถานีมีฝูงหนูวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
“บ้าจริง นี่คือ…โรคห่างั้นหรือ?” เซอร์หม่าขมวดคิ้วขึ้นมาชั่วขณะ
…
“ด้านหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น…รถชนหรือว่าซ่อมถนน?”
เริ่นจื่อหลิงกดแตรบนพวงมาลัยของมินิคลับแมนสีแดง รถของเธอติดอยู่บนถนนมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไปไม่ถึงไฟแดงสักที
“ไม่รู้เหมือนกัน ข่าวจราจรก็ไม่ได้บอกอะไร” หลีจื่อกดปุ่มวิทยุ ส่ายหน้าและพูดว่า “อาจจะเป็นเหตุการณ์กะทันหัน”
“ดูท่าแล้วคงไปไม่ทัน” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้า มองดูเวลา อีกไม่นานงานเปิดตัวก็จะเริ่มแล้ว “ไม่รู้ว่าต้องติดไปอีกนานแค่ไหน…หลีจื่อ เมื่อกี้มีอะไรบินผ่านหรือเปล่า?”
“มีด้วยเหรอคะ” หลีจื่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกหน้ารถ “ฝนจะตกหรือเปล่า? ฟ้ามืดลงหมดแล้ว”
“มี ฉันมองเห็น…” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วพูดว่า “เป็นอีกา ที่บินผ่านนั้นเป็นอีกา!”
“อีกา?” หลีจื่อชะงักและขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เหมือนกำลังคิดบางอย่าง
เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้า เปิดประตูรถลงไปสูบบุหรี่ เธอนั่งพิงประตูรถ คนขับรถจำนวนไม่น้อยก็เป็นแบบเดียวกัน
เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าและเห็นเจ้าของสุนัขที่กำลังเดินอยู่ข้างถนนกำลังออกแรงดึงเชือก…ไม่รู้ว่าสุนัขของเขาเป็นอะไรไป มันเอาแต่เห่าอย่างบ้าคลั่ง
ดูเหมือน…จะได้ยินเสียงร้องของสัตว์เลี้ยงดังไปทั่ว
“พี่เริ่น! พี่เริ่น!” ทันใดนั้นหลีจื่อก็ตะโกนขึ้นมา
เริ่นจื่อหลิงยื่นหัวเข้าไปในรถถามอย่างตกใจว่า “เป็นอะไร?”
เห็นเพียงหลีจื่อชี้ไปที่หน้ากระจกรถ เริ่นจื่อหลิงมองตามไปแล้วก็ค่อยๆ อ้าปากเหวอ บุหรี่ตกลงไป “บ้าไปแล้ว…”
บนถนนด้านหน้า มีฝูงหนูวิ่งเข้ามาระหว่างช่องรถอย่างบ้าคลั่ง และก็มีบางตัวเริ่มวิ่งขึ้นไปบนรถแล้ว
เริ่นจื่อหลิงหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างเหม่อลอย
“พี่เริ่น พี่จะโทรเรียกใคร?” หลีจื่อถามอย่างสนใจ
เริ่นจื่อหลิงพูดโดยไม่เงยหน้าว่า “ไม่ใช่ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ วันนี้ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นลั่วชิว ตามปกติแล้วเขาไม่ได้ออกจากบ้านไปเช้าขนาดนั้น…ตอนนี้ดูวุ่นวาย ฉันเป็นห่วงเขาเลยจะโทรไปถาม”
ชั่วขณะนั้นหลีจื่อก็หัวเราะขึ้นมา พูดว่า “พี่เริ่น ลูกชายของพี่โตแล้วนะ อีกอย่างเขาก็เป็นผู้ชาย ดูแลตัวเองได้อยู่แล้วค่ะ…พี่ควรหันมาดูแลตัวเองก่อนนะคะ ไหล่ของพี่…”
“ไหล่ของฉันเป็นอะไร?” เริ่นจื่อหลิงหันไปดู
หนูตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังยืนสองขาและงอขาหน้าอยู่บนไหล่ของเธอ กะพริบดวงตาอย่างน่าเอ็นดูเหมือนกำลังพูดว่า ‘HELLO (สวัสดี)’
“บ้าเอ๊ย…” เริ่นจื่อหลิงเหวี่ยงแขนสลัดหนูออก แล้วหมุนขาเตะหนูออกไปไกล
“หลีจื่อ! เอาไม้เบสบอลของฉันออกมา! หึ…กล้ามายั่วโมโหฉันงั้นหรือ!”
หลีจื่อพลิกตัวยื่นมือไปยังเบาะหลังทันที
เธออดหัวเราะไม่ได้ ผู้หญิงที่ไม่กลัวหนูนั้นเธอเคยเห็นมาไม่น้อย แต่ผู้หญิงที่ใช้ไม้เบสบอลตีหนูนี้เธอเพิ่งเคยเห็นเพียงคนเดียว
นี่เป็นไม้เบสบอลที่รองบรรณาธิการเริ่นเก็บไว้ในรถเป็นเวลานานเพื่อป้องกันเรื่องฉุกเฉิน
…
…
นักตกปลาที่เดิมทีกำลังตกปลาอยู่ข้างแม่น้ำพากันรวมตัวกันจ้องมองภาพบนผิวน้ำ
เพราะพวกเขามาตกปลาเล่นอยู่ที่นี่ได้หลายเดือนแล้ว และก็มีบางคนที่อยู่ที่นี่มาหลายปี…แต่ก็ไม่เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์เช่นวันนี้มาก่อน
ปลาแม่น้ำจำนวนมากโผล่ออกมาจากแม่น้ำและรวมกลุ่มกันว่ายน้ำอย่างบ้าคลั่ง
คนรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดูสิ่งผิดปกติบนผิวน้ำ…จึงไม่มีใครสังเกตเห็นผู้ชายแปลกประหลาดสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นบริเวณหนึ่งของริมฝั่ง
เซียงหลิ่วที่มีหัวล้านคิ้วสีม่วงและคุกที่มีสีหน้าอมทุกข์
เซียงหลิ่วหรี่ตาดูเมืองที่อยู่บนฝั่ง ยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “ข้าได้กลิ่นเลือดบนตัวของซูจื่อจวินที่นี่ นางมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
“ไปเถอะ รีบจัดการให้เสร็จ”
คุกพูดว่า “ผนึกอันแรกคลายออกแล้ว สัตว์ต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงรับรู้ถึงความไม่สงบ ต้องฉวยโอกาสตอนที่เมืองนี้ยังไม่วุ่นวายถึงขีดสุดรีบเก็บเส้นสายพลังวิญญาณเส้นนี้…ตอนนี้สมาคมไม่ต้องการให้คนธรรมดาสัมผัสกับเรื่องเหนือธรรมชาติ หากมีอะไรที่ผิดปกติและอาจจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของสมาคมจะต้องป้องกันเอาไว้”
“น่ารำคาญจริงๆ!” เซียงหลิ่วพูดอย่างดูแคลน “นี่จะแตกต่างอะไรกับหลงซีรั่ว? นางก็ไม่สนับสนุนให้เข้าไปยุ่งกับชีวิตของมนุษย์ เป็นถึงปีศาจพลังมหาศาลกลับต้องคอยแอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในโลกมนุษย์”
“นายดูแคลนมนุษย์งั้นเหรอ” คุกพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่ยุคกลางหรืออาณาจักรศักดินาโบราณของพวกนายนะ…เทคโนโลยีที่มนุษย์บนโลกนี้ครอบครองเพียงพอที่จะระเบิดนายกลายเป็นฝุ่นได้ จะเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็หยุดระเบิดไฮโดรเจนไม่ได้”
“ชิ!”
เซียงหลิ่วสบถอย่างเย็นชาแล้วเข้าไปในน้ำ
พื้นน้ำที่ขุ่นดำไม่อาจหยุดฝีเท้าของเซียงหลิ่วได้เลย…เพียงแค่เขาปล่อยไอปีศาจออกไปเล็กน้อยก็ให้กลุ่มปลารอบกายหนีกระเจิงไปได้แล้ว
เพราะได้เซียงหลิ่วนำทาง พวกเขาจึงไปถึงหน้าก้อนหินขนาดใหญ่ใต้ส่วนที่แม่น้ำไหลผ่านได้อย่างง่ายดาย…เพียงหมัดเดียวก็ทำลายหินก่อนนั้นได้ เผยให้เห็นทางเส้นหนึ่ง ฉับพลันน้ำในแม่น้ำก็ไหลถาโถมเข้าไปในทางเส้นนั้นอย่างบ้าคลั่ง!
เซียงหลิ่วกับคุกอาศัยแรงส่งจากน้ำเข้าไปในส่วนลึกของเส้นทางนั้นได้อย่างง่ายดาย…ในที่สุดก็มาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเดินออกมาก็เข้ามาถึงถ้ำที่เต็มไปด้วยแสงสีทองเปล่งประกาย
เซียงหลิ่วและคุกมองไปรอบถ้ำอย่างระมัดระวัง รูปแบบของถ้ำนี้ดูไม่ซับซ้อน
แสงสีทองจากอักษรเวทมนตร์ส่องให้ดวงตามองเห็นได้อย่างชัดเจน
เซียงหลิ่วหรี่ตาลง เดินไปข้างหน้าสองก้าว ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมาและเอ่ยว่า “องค์หญิง ข้าได้กลิ่นเลือดจากตัวของท่านแล้ว ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ออกมารื้อฟื้นความหลังเสียหน่อยเล่า?”
ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงของเซียงหลิ่วที่สะท้อนอยู่ที่นี่
เซียงหลิ่วหัวเราะเบาๆ “องค์หญิง ข้าเคยพูดแล้วว่า…ขอเพียงท่านไม่ขวางข้า ข้าก็จะไม่สร้างปัญหาให้ท่าน หากท่านออกจากที่นี่ไปในตอนนี้ พวกเราก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกันและกันอีก เป็นอย่างไร? องค์หญิง หากไม่ตอบคำ เซียงหลิ่วก็จะถือว่าท่านตกลงแล้วนะ”
เซียงหลิ่วเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว…แต่ก็ต้องหยุดลงกะทันหัน
มีแสงสีแดงยิงออกมาตกลงตรงหน้าเท้าของเซียงหลิ่วอย่างฉับพลัน เกิดเป็นหลุมขนาดเล็กหลุมหนึ่งที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน
“องค์หญิง หมายความว่าอย่างไร” เซียงหลิ่วถาม
ได้ยินเพียงเสียงของซูจื่อจวินสะท้อนอยู่รอบด้าน “เซียงหลิ่ว ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของข้า เจ้ากล้ามารบกวนอย่างนั้นหรือ รีบมาคุกเข่าต่อหน้าข้า…แล้วคลานออกไป!”
‘คลานออกไป ไปปป!’
เสียงของซูจื่อจวินสะท้อนในถ้ำอย่างต่อเนื่องและดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเสียงฟ้าร้อง
“อยู่ตรงนั้น!”
ตอนนี้คุกเพ่งมองไป ใช้กระบองยาวในมือเขี่ยเศษหินบนพื้นให้ลอยขึ้นมา…เศษหินพุ่งไปด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง ในที่สุดก็ชนเข้ากับหินงอกขนาดใหญ่ที่อยู่อีกข้าง
หินงอกอันนั้นแตกกระจายออก เงาร่างหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา…เดินเท้าเปล่าบนพื้น สวมชุดกระโปรงสีแดงดำ นี่เป็นร่างของซูจื่อจวิน
“องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
เซียงหลิ่วหรี่ตาลง แต่ที่จริงแล้วกลับกำลังพิจารณาดูซูจื่อจวิน
ดูเหมือนเธอ…จะไม่ได้ดูทุลักทุเลอย่างที่คิดเอาไว้
แต่แสงสีทองของคุกโจมตีโดนเธอชัดๆ…ดังนั้น ไม่รู้ว่าเธอกำลังฝืนหรือว่าหายดีแล้วจริงๆ
“เซียงหลิ่ว”
ซูจื่อจวินยิ้มหวาน ร้องเรียกเบาๆ “เห็นข้าแล้วยังไม่คุกเข่าทำความเคารพอีกหรือ?”
เซียงหลิ่วชะงัก สติเชื่องช้าขึ้นมา ขาค่อยๆ งอลงไป ขณะที่ดูเหมือนจะคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้ว คุกกลับกระแทกกระบองยาวในมือลงพื้นอย่างรุนแรง
เสียงที่สอดเข้ามาช่วยให้เซียงหลิ่วได้สติ
เขามองซูจื่อจวิน นัยน์ตาฉายแววโมโห แต่ก็ระงับไว้ได้ ยิ้มและพูดว่า “รอเซียงหลิ่วจัดการเรื่องในวันนี้เสร็จแล้วค่อยทำความเคารพองค์หญิงทีหลังก็ยังไม่สาย”
“มนุษย์ชอบจุ้นจ้าน!” ซูจื่อจวินสบถอย่างเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อ!
เงาสีแดงพุ่งมาตรงหน้าของคุกในพริบตาดุจดั่งลมพายุ
ปฏิกิริยาของคุกนั้นรวดเร็วมาก เอากระบองยาวในมือมาบังไว้ด้านหน้า แต่อิทธิพลของพลังโจมตีอันรุนแรงก็ยังส่งผลให้ร่างกายของเขาถอยหลังไปอย่างบ้าคลั่ง…จนท้ายที่สุดร่างกายของคุกก็ชนเข้ากับผนังหินถึงสามารถหยุดลงได้
ปากของคุกมีเลือดซึมออกมา ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
ตอนนี้เซียงหลิ่วกลับพูดอย่างประหลาดใจว่า “องค์หญิง…ดูเหมือนพลังปีศาจของท่านจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น!”
“เพิ่มอีกขั้นหนึ่งงั้นหรือ?” ซูจื่อจวินยิ้มเยาะ “เจ้าโง่…”
ผมของซูจื่อจวินสยายออก บนร่างกายเหมือนมีไอปีศาจสีแดงกำลังระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ไอปีศาจที่ระเบิดออกมาเหล่านี้ก็ให้ร่างกายของเซียงหลิ่วเริ่มสั่นขึ้นมาได้แล้ว
ร่างกายของเธอลอยขึ้น ไอปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวกลายเป็นดอกบัวสีเลือดขนาดใหญ่บานอยู่ใต้เท้าของเธอ
“นี่ถึงเป็นข้าคนเดิม!”
…
ขณะเดียวกันพลังปีศาจอันน่าหวาดกลัวของซูจื่อจวินก็ให้เซียงหลิ่วและคุกตกตะลึง พากันหน้าถอดสีขึ้นมา
นัยน์ตาของเซียงหลิ่วเริ่มกลอกไปมา เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร ตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงของคุกพูดว่า “เซียงหลิ่ว นายไปกัดกร่อนผนึก…ปีศาจตนนี้ขอผมจัดการเอง!”
“ได้” เซียงหลิ่วพยักหน้า ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
“ฝันไปเถอะ!” ซูจื่อจวินตะคอกและยื่นมือออกไปในทันที พลังปีศาจสีแดงรอบกายกลายเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่อันหนึ่งคว้าไปหาเซียงหลิ่ว!
ในตอนนี้เอง คุกตะคอกออกมาคำหนึ่ง กระบองในมือส่งแสงสีทองออกมาลอยพุ่งเข้าไปปะทะกับกรงเล็บสีเลือดขนาดใหญ่อันนั้น!
เหมือนกับการตัด…พริบตาเดียว กรงเล็บพลังปีศาจก็แยกออกเป็นสอง!
ส่วนคุกก็ฉวยโอกาสไปบังอยู่ด้านหน้าเซียงหลิ่ว
ซูจื่อจวินยิ้มเยาะ “ดูท่าแล้วคนที่ลอบโจมตีข้าในวันนั้นคงเป็นเจ้าสินะ…ดีเลย วันนี้ข้าจะชำระบัญชีความแค้นให้เสร็จพร้อมกันเลยทีเดียว!”
“ฉันก็อยากจะขอคำชี้แนะสักหน่อย” คุกเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก แทงกระบองยาวลงไปในดิน ยืนตัวตรงเหมือนหอคอยเหล็กที่ไม่มีวันล้ม
“อาศัยแค่เจ้าที่ได้แต่ลอบโจมตีคนเดียวงั้นหรือ?” ซูจื่อจวินสะบัดแขนเสื้อและก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ไม่ใช่!” คุกสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงเข้มว่า “เป็นฉัน กับคู่หูของฉัน!”
คุกพลิกมือ ของคล้ายกระบองที่เขาถืออยู่ในมือปรากฏแสงสีทองอันแข็งแกร่งออกมา…ผ้าที่พันเอาไว้รอบตัวมันสลายหายไปในพริบตา!
นั่นเป็นหอกยาวสีแดงสดเล่มหนึ่ง!
“ฆ่าศัตรูร่วมกับฉันอีกครั้งเถอะ…” คุกตะโกนเสียงดังออกมา “Gáe-Bolg! (เก โบล์ก คมหอกแห่งความตาย)”