สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 48 ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและเปราะบางที่สุด
“กินช้าๆ หน่อย เดี๋ยวติดคอหรอก”
บนเตียงหนึ่งในห้องผู้ป่วยรวม จินจื่อเหยาพูดเตือนหงก้วนขึ้นมาอย่างอ่อนโยน…ด้วยหงก้วนกินเร็วเกินไปจนเหมือนกลืน
“ไม่เป็นไร! ผมต้องรีบกิน เดี๋ยวจะไปทำงานแล้ว!” หงก้วนดื่มน้ำ ยิ้มและพูดออกมา
จินจื่อเหยาพูดอย่างปวดใจว่า “คุณนิ ตอนกลางวันไม่ต้องมาก็ได้ ดูสิคุณต้องเหนื่อยเลย”
หงก้วนพูดอย่างมีความสุขว่า “ที่ทำงานมีแต่พวกคุณลุง จะน่าดูกว่าเธอได้ไง?”
“คนบ้า!” จินจื่อเหยากลอกตาขาว แต่ก็ปิดความดีใจไม่อยู่ “ฉันปลอกองุ่นให้คุณ เอาไว้กินระหว่างทางแล้วกันนะคะ”
เวลานี้เองหงก้วนก็มีโทรศัพท์เข้ามา เขากลัวรบกวนคนด้านข้างจึงเดินออกมาจากห้องคนป่วย ผ่านไปไม่นาน หงก้วนก็กลับมาข้างกายจินจื่อเหยา ท่าทางบนใบหน้าดูแปลกประหลาด
“มีอะไรเหรอ?” จินจื่อเหยาถามอย่างสงสัย
หงก้วนชะงักจากนั้นก็ตบหน้าตนเอง ก่อนมองหน้าภรรยาแล้วพูดว่า “เมื่อกี้มีคนโทรหาผม ถามผมว่าอยากไปทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไหม ถ้าตอนบ่ายมีเวลาให้ไปพบที่สถานีโทรทัศน์…”
“เอ๋?” จินจื่อเหยาก็รู้สึกแปลกใจกับข่าวนี้เช่นกัน
…
ในแต่ละช่วงเวลาของการไล่ตามหาความสำเร็จสามารถพบเจอโอกาสมากมาย ในบางสถานที่อย่างสถานีโทรทัศน์นั้นมีเกณฑ์การเข้าค่อนข้างสูง
อย่างน้อยหงก้วนก็ไม่เคยเข้ามาในสถานีโทรทัศน์ของเมืองนี้มาก่อน นี่เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นหงก้วนจึงรู้ว่าสถานีโทรทัศน์อยู่ที่ไหน
สิ่งที่ทำให้หงก้วนแปลกใจก็คือดูเหมือนจะมีเขาเพียงคนเดียวที่มาสัมภาษณ์ที่นี่ และเหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“คุณหงก้วนใช่ไหมครับ?”
ภายในห้องสำนักงานซึ่งไม่ถือว่าใหญ่มากห้องหนึ่ง หงก้วนพบคนที่โทรศัพท์หาตนเอง นั่นก็คือคุณอี้
นอกจากคุณอี้แล้ว หงก้วนยังพบหลี่จื่อเฟิงที่เคยพบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง…ในชั่วขณะนั้นดูเหมือนเขาจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมตนเองถึงได้รับโทรศัพท์จากสถานีโทรทัศน์
เรื่องต่อมานั้นง่ายดายมาก คุณอี้ถามว่าเขายินดีจะเข้ามาทำงานที่สถานีโทรทัศน์หรือไม่ หากยินดีก็จะเซ็นสัญญาภายนอก ซึ่งจะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างสัญญาแบบเป็นทางการ…แต่ก็ดีกว่างานในโรงซ่อมรถอันนั้นของเขามาก
“คุณหง คุณดูสัญญาชั่วคราวฉบับนี้แล้วมีปัญหาอะไรไหม?”
หงก้วนรู้ว่านี่เป็นโอกาสดีอันหนึ่ง
มีคนจำนวนไม่น้อยอยากเข้ามาที่นี่แม้จะได้เงินเดือนน้อยกว่านี้ก็ตาม เพราะการอยู่ที่นี่เป็นการเปิดประตูเพื่ออนาคตของตัวเอง…นับเป็นโอกาสอันดี
“เรื่องนั้น…ผมคิดดูก่อนได้ไหมครับ?” หลังจากหงก้วนลังเลไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดคำพูดที่ชวนให้หลี่จื่อเฟิงและคุณอี้แปลกใจ
คุณอี้มองหลี่จื่อเฟิง…เหมือนอยากรู้ว่าเขาต้องพูดอย่างไร
ก่อนหน้านี้เขาทำเพื่อสร้างไมตรีกับหลี่จื่อเฟิงเท่านั้น ส่วนเรื่องที่หงก้วนจะรับหรือไม่รับนั้นไม่ใช่เรื่องของเขา เพราะตอนนี้เขาได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้ว จะรับหรือไม่รับเป็นเรื่องของคนอื่น
“เอาอย่างนี้ไหม? พวกคุณคุยกันไปก่อน” คุณอี้หัวเราะและพูดว่า “ผมจะไปเข้าห้องน้ำ”
คุณอี้เดินออกจากห้องอย่างสงบ เหลือหลี่จื่อเฟิงและหงก้วนสองคนในห้อง
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น หลี่จื่อเฟิงก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “คุณหง เป็นเพราะกะทันหันเกินไปหรือเปล่าถึงยังปรับตัวไม่ทัน?”
“ไม่…ไม่ใช่ ความจริงแล้วก็ใช่ครับ” หงก้วนเอ่ย “ปรับตัวไม่ทันจริงๆ…คุณหลี่ ทำไมคุณถึงต้องช่วยผมครับ?”
“พูดตามจริง ผมทำเรื่องนี้ให้อี้หราน” หลี่จื่อเฟิงหัวเราะและเอ่ยว่า “คุณก็รู้ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับอี้หรานมาก คำขอเล็กๆ น้อยๆ ของเขา พวกเราก็ต้องพยายามทำให้”
“อี้หราน…” หงก้วนชะงัก “คุณจะพูดว่า…นี่เป็นความคิดของเขางั้นเหรอ?”
หลี่จื่อเฟิงพูดขึ้นในทันใดว่า “คุณถือว่าเป็นคำแนะนำของผมก็แล้วกัน เอาเถอะ คุณหง ผมได้ยินอี้หรานพูดว่าคุณลำบากเรื่องเงิน ผมคิดว่างานนี้อาจจะช่วยคุณได้บ้าง”
หงก้วนขมวดคิ้ว “ทำไมเขาถึงไม่มาพูดกับผมเอง?”
“คุณหง คุณก็รู้ว่าตอนนี้อี้หรานยุ่งมาก”
หลี่จื่อเฟิงยิ้มและเอ่ยว่า “อีกอย่าง หากทำได้ละก็ ผมหวังว่าต่อไปคุณจะมาหาเขาน้อยลง…เพราะตอนนี้ผมไม่อยากให้เขาเสียสมาธิ คุณก็รู้ใช่ไหมว่าการเริ่มต้นของเด็กใหม่นั้นสำคัญมาก พวกปาปารัสซี่ชอบขุดคุ้ยเรื่องของเด็กใหม่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องด้านลบซึ่งเป็นเรื่องเน้นของพวกปาปารัสซี่ ผมไม่อยากให้อี้หรานต้องถูกคุกคามตั้งแต่เริ่มต้น อยากให้เขามีสภาพแวดล้อมที่สงบ”
“คุณ…หมายความว่ายังไงครับ?” สีหน้าของหงก้วนเคร่งขรึมขึ้น “ด้านลบอะไร?”
“คุณหงอย่าเข้าใจผิด”
หลี่จื่อเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่เป็นแผนการของบริษัท…พวกเราวางแผนจะสร้างภาพลักษณ์ให้อี้หรานเป็นคนพยายามอย่างหนักเพื่อความฝันและไม่เคยยอมแพ้ สร้างภาพลักษณ์การพัฒนาตัวเองของเขา…ดังนั้นมีบางเรื่องที่ไม่สมควรให้คนรู้”
“ผมไม่เข้าใจว่าพวกคุณพูดถึงเรื่องอะไร” หงก้วนขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นหลี่จื่อเฟิงก็ขยับเก้าอี้เผชิญหน้ากับหงก้วนและกระซิบว่า “คุณหง ผมรู้ว่าก่อนหน้านี้พวกคุณอยู่วงเดียวกัน และล่าตามฝันด้วยกันช่วงหนึ่ง”
หยุดไปครู่หนึ่งหลี่จื่อเฟิงก็ถูๆ มือและพูดว่า “คนหนุ่มยังไม่เติบโต ทำเรื่องหุนหันพลันแล่นไปบ้างก็ไม่เป็นไร คุณว่าจริงไหม? ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“คุณอย่างอ้อมค้อมเลย พูดตรงๆ เถอะครับ!” หงก้วนพูดเสียงเข้ม
หลี่จื่อเฟิงถอนหายใจ “เอาเถอะ งั้นผมจะพูดตรงๆ คุณหง ผมสืบประวัติของพวกคุณแล้ว ในเมื่อได้สืบก็เลยรู้เรื่องบางเรื่อง…คุณแล้วก็อี้หราน และยังมีสมาชิกในวงของพวกคุณอีกคนเคยมีประวัติอาชญากรรม อีกทั้ง…ยังเคยถูกขังอีกด้วย ใช่ไหม?” ชั่วขณะนั้นสีหน้าของหงก้วนก็เคร่งขรึมขึ้นมา
นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่ชอบพูดถึง แต่ก็ไม่สามารถลืมมันไปได้
หงก้วนไม่พูดอะไรอยู่เป็นนาน ส่วนคุณอี้ก็คงไม่ได้เข้าห้องน้ำนานขนาดนี้…เขาเพียงแค่ยืนรอผลลัพธ์อยู่ด้านนอกเท่านั้นใช่ไหม?
…
แต่หากมองกลับกัน เหมือนเป็นการพิสูจน์ว่าหลี่จื่อเฟิงมีความอดทนมากแค่ไหน?
“คุณหลี่…” ทันใดนั้นหงก้วนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “คุณบอกผมมาตามตรงเถอะ นี่เป็นความคิดของคุณหรือว่าเป็นความคิดของอี้หราน?”
แต่หลี่จื่อเฟิงกลับพูดว่า “นี่มันไม่สำคัญ คุณหง ที่สำคัญก็คือพวกเราจะไม่ปฏิบัติกับคุณไม่ดีแน่ งานนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ต่อไปคุณยังมีโอกาสเข้าสู่วงการอย่างเป็นทางการได้ ใช่แล้ว…”
หลี่จื่อเฟิงล้วงเช็คออกมาจากเสื้อสูทแล้ววางลงบนโต๊ะ พูดขึ้นว่า “นี่เป็นสิ่งที่อี้หรานให้ผมมอบให้คุณ บอกว่าภรรยาของคุณใกล้คลอดแล้วจำเป็นต้องใช้เงิน”
เช็คหนึ่งแสนหยวน
“ทำไมเขาไม่มาให้ผมเอง?” หงก้วนไม่ขยับ เขาจ้องมองหลี่จื่อเฟิง ท่าทางดูน่ากลัว
“ผมพูดแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้อี้หรานกำลังยุ่ง ตารางของเขาแน่นตลอดทั้งวัน เวลาพักผ่อนก็แทบไม่มี”
หงก้วนกัดฟัน “โอเค ผมรู้แล้วครับ!”
…
…
“หนึ่งแสนเชียวนะ? นายไม่เอาจริงๆ เหรอ? นายโง่หรือเปล่า? และยังมีงานที่สถานีโทรทัศน์อีก? ทำไมนายไม่ตกลงไป?” ด้านข้างหงก้วนในโรงซ่อมรถมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง…หากพูดจริงๆ แล้วคนคนนี้เป็นเถ้าแก่โรงซ่อมรถ ชื่อหงจงซุ่น
ที่จริงแล้วก็เป็นคนบ้านเดียวกันกับหงก้วน
ในตอนที่หงก้วนยังไม่ไล่หาตามหาฝันนั้นก็ติดตามหงจงซุ่นผู้นี้ทำงานซ่อมรถ สามารถพูดได้ว่าเถ้าแก่คนนี้คือหนึ่งในเพื่อนจำนวนน้อยคนของเขา ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทยิ่งกว่าญาติเสียอีก
“คุณลุง ในตอนที่ผมลำบากมากที่สุดคุณเป็นคนช่วยผม” หงก้วนส่ายหน้าและเอ่ยว่า “อีกอย่างก็ใกล้สิ้นปีแล้ว ที่นี่ขาดแคลนคนงาน ถ้าผมไปในเวลาแบบนี้แล้วจะไม่รู้สึกผิดงั้นเหรอครับ”
หงจงซุ่นส่ายหน้า ถอนหายใจและพูดว่า “ฉันถึงได้พูดว่านายโง่ยังไงล่ะ! ฉันรู้แล้วว่าทำไมเพื่อนคนนั้นของนายถึงเข้าไปในวงการได้ แต่นายกลับยังอยู่ที่นี่! เพราะว่านายทำอะไรไม่เด็ดขาด!”
“คุณลุง!” หงก้วนขมวดคิ้ว
หงจงซุ่นกลับตบไหล่ของหงก้วนและพูดว่า “แต่ก็ยังดีที่นายไม่เป็นอย่างเพื่อนคนนั้นของนาย ที่โด่งดังแล้วลืมเพื่อน! เฮ้อ คนอะไรกัน คิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างหรือไง?”
“คุณลุง ไม่ต้องพูดแล้ว” หงก้วนส่ายหน้า “อย่าพูดเลย ผมอยากอยู่เงียบๆ”
หงจงซุ่นไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ตบไหล่ของหงก้วนและพูดว่า “วันนี้เลิกงานเร็วหน่อยแล้วกัน ไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยานายที่โรงพยาบาล”
…
…
“…ยังจะคิดอะไรอีก? สักวันเราก็ต้องแยกจากกัน ความสัมพันธ์ที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือการดึงรั้งต่างหาก…”
สายตาของหงก้วนไร้จุดหมาย เพียงแต่เพราะมีประสบการณ์มาหลายปีทำให้เขาสามารถดีดกีตาร์และร้องเพลงให้จบในขณะที่ใจลอยได้ แต่เพราะเป็นแบบนี้ทำให้เขาไม่ได้สังเกตเห็นคนที่มาหยุดยืนอยู่หน้าแผงของตนเองเลย
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังมองเห็นคนคุ้นตาคนหนึ่ง
ช่วงนี้หงก้วนพบว่าทุกครั้งที่เขามาร้องเพลงอยู่ที่นี่ก็จะมีคนหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น แรกเริ่มนั้นมีเขามาเพียงคนเดียว ส่วนวันต่อมาคนหนุ่มคนนั้นก็พาสาวสวยคนหนึ่งมาด้วย
คนหนุ่มคนนั้นกับสาวสวยเหมาะสมกันมาก…นี่เป็นความรู้สึกของหงก้วน
ทั้งสองคนมักจะปรากฏตัวขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ และพวกเขาจะมายืนนิ่งเพื่อฟังเขาร้องเพลง หงก้วนรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเพราะการมาถึงของคนหนุ่มและหญิงสาวสองคนนี้
ไม่ใช่เวลาของเขาที่หยุดลง แต่เป็นเวลาของสองคนนั้น
ถึงจะรู้สึกแปลกใจแต่หงก้วนกลับดีใจที่คนหนุ่มคนนี้มา เพราะทุกวันเขาจะได้รับเงินรางวัลจากคนหนุ่มคนนี้
หลายครั้งแล้วที่หงก้วนอยากขอบคุณอีกฝ่ายดีๆ สักครั้ง แต่ชายหนุ่มกับหญิงสาวก็มักหายไปตอนที่เขาไม่รู้สึกตัวเสมอ
ส่วนวันนี้หงก้วนพบว่าเขาไม่ได้รับรางวัล…เพราะไม่รู้ว่าคนหนุ่มคนนี้ได้พาสาวใช้ของเขาหายไปจากลานกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่
ดูคล้ายกับว่าวันนี้ทั้งสองคนไม่ได้มาหยุดอยู่ที่นี่เลย…เหมือนกับเป็นคนเดินผ่านไปมาทั่วไป
หงก้วนเก็บแผงเล็กๆ ของตัวเองด้วยอารมณ์ซับซ้อน
วันนี้ไม่ได้อะไรเลย