สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 53 ผู้หญิงเคี้ยวหมากฝรั่ง
ที่จริงแล้วช่วงชีวิตส่วนมากจะไม่ค่อยมีคลื่นลมในชีวิตสักเท่าไร หรืออาจจะพูดได้ว่า ชีวิตของพวกเราจะเกิดคลื่นขึ้นในบางช่วงเวลาของชีวิตอันราบเรียบ หลังจากมันสงบลงแล้วก็จะทำให้คนคิดว่าแท้จริงแล้วชีวิตของคนเราไม่ได้สงบเหมือนน้ำตายจริงๆ
เพราะผ่านคลื่นมาดังนั้นในยามที่สงบถึงจะมองเห็นความงามสดใสดุจกระจกของแม่น้ำ และก็คือความใส่ใจในชีวิตอันแสนสงบมากขึ้น?
หงก้วนไม่เคยรอลูกคลอดออกมาได้อย่างใจเย็นเลยแม้แต่ครู่เดียว เขารู้สึกว่าเวลาชีวิตของเขานั้นเต็มเปี่ยม
เขายังคงทำงานในโรงซ่อมรถ แต่ก็มักจะหาเวลาว่างในช่วงกลางวันยืมรถจักรยานไฟฟ้าขี่มาโรงพยาบาลอยู่เสมอ
เขาจะใช้แอลกอฮอล์ล้างน้ำมันออกจากมือให้สะอาดก่อนเลิกงานเสมอ ไม่ใช่เพราะกลัวถูกหัวเราะเยาะเมื่อปรากฏตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยชั้นสูงในโรงพยาบาลด้วยท่าทางที่ดูสกปรก แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ภรรยารู้ว่าตนเองเหนื่อยแค่ไหน
เขาไม่ได้เจอหลี่จื่อเฟิงอีกและก็ไม่ได้ไปหาเขา เขารู้เพียงว่าโรงพยาบาลไม่เคยถามเขาเรื่องค่าใช้จ่าย
จินจื่อเหยาบอกว่าต้องขอบคุณเพื่อนที่ดีคนนั้นของเขาให้มากๆ
แต่หงก้วนบอกว่าตอนนี้เขายุ่งมากไม่มีเวลา ต่อไปหากมีโอกาสค่อยว่ากัน
ถึงอย่างไรเขาก็เซ็นสัญญาฉบับนั้นไปแล้ว และตัดสินใจจะรักษามัน ดังนั้นโอกาสต่อไปคงต้องรอไปอีกนาน
ภรรยาก็ตอบแค่ว่า ‘ได้’ แต่หากลูกคลอดออกมาแล้วต้องให้พ่อบุญธรรมได้เห็นหน่อย เพราะเรื่องพ่อบุญธรรมนี้เป็นเรื่องที่คุยกันเอาไว้นานแล้ว
หงก้วนทำได้เพียงยิ้มเท่านั้น เพราะเขากลัวว่าจินจื่อเหยาจะกระทบกระเทือนครรภ์
“เดินอยู่ท่ามกลางสายลมเย็นยามค่ำคืนฤดูหนาวด้วยความฝันที่ล่องลอยและแตกกระจาย…”
ตอนเย็นภายในลานอันคึกคัก หงก้วนยังคงเปิดแผงเล็กๆ ของเขา ซึ่งรายได้ในแต่ละวันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าได้มาบ้าง
แต่เขาไม่ได้พบเจอคนหนุ่มที่เคยมาประจำคนนั้นอีกแล้ว…นับตั้งแต่ครั้งที่คนหนุ่มคนนั้นไม่ได้ให้รางวัลเขา
มีบางครั้งที่หงก้วนอดคิดไม่ได้ ว่าบางทีคนหนุ่มที่นิ่งฟังเพลงเขาจนจบคนนั้นอาจจะเข้าใจสิ่งที่เขาร้องจริงๆ
‘เป็นเพราะผิดหวังถึงไม่มาอีกอย่างนั้นเหรอ?’
หงก้วนรู้สึกว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ถึงแม้เขาจะไม่มาอีก แต่ชีวิตของตนเองก็ยังต้องเดินไปข้างหน้า
บนหน้าจอโฆษณาขนาดใหญ่ในลานกว้างกำลังเล่นโฆษณาในโทรทัศน์ …บนนั้นฉายตัวอย่างของรายการหนึ่ง
หงก้วนไม่ได้มองดู แต่เขาก็รู้ว่าเป็นตัวอย่างของเขาคนนั้น
เป็นภาพของคนหน้าใหม่ในวงการ
‘อาจจะกำลังบันทึกวิดีโออยู่?’
…
“อะไรทำให้คุณเริ่มเล่นดนตรีครับ”
บนหน้าจอสีเขียวหน้าห้องสตูดิโอ พิธีกรกำลังสัมภาษณ์เฉิงอี้หราน บางช่วงของการสัมภาษณ์จะถูกตัดเอาไปวางหน้ารายการที่จะออนแอร์คืนแรก
“ผมชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กครับ”
นี่เป็นบทพูดที่หลี่จื่อเฟิงให้คนเขียนเอาไว้
เพราะได้พูดคุยกันก่อนแล้ว เฉิงอี้หรานจึงไม่ตื่นกล้องในครั้งแรก
บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ทุ่มเงินมาเยอะ ดังนั้นพิธีกรจึงสัมภาษณ์เฉิงอี้หรานอย่างดี…ในสังคมที่เงินเป็นใหญ่แบบนี้ บรรดาคนที่ปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอก็ยิ่งรู้จักจังหวะในการพูดดีกว่าใคร
สิ่งนี้เป็นเหมือนศิลปะการพูด
“กดดันไหมครับ? ในรายการครั้งนี้มีคุณเป็นหน้าใหม่เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ สำหรับคุณแล้วเป็นรุ่นพี่ทั้งนั้น”
“ก็กดดันอยู่บ้างครับ แต่ตื่นเต้นมากกว่า”
เฉิงอี้หรานตอบคำถามอย่างรื่นไหล “โดยเฉพาะรุ่นพี่ที่มาในครั้งนี้มีแต่เป็นคนที่ผมชื่นชม มีโอกาสได้ขึ้นเวทีเดียวกันกับนักดนตรีที่ชื่นชอบมากมายขนาดนี้ สำหรับผมแล้วเป็นโอกาสหาได้ยากจริงๆ”
…
“คุณเฉิง ได้ยินมาว่าก่อนที่บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ไปเจอตัวคุณ คุณร้องเพลงอยู่ในไนต์คลับตลอดเลยใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ”
เฉิงอี้หรานพยักหน้า นี่ก็เป็นคำถามที่เตรียมเอาไว้แล้ว “ผมรู้สึกขอบคุณบริษัทมาก ถ้าบริษัทไม่พบตัวผม เกรงว่าตอนนี้ผมคงเป็นแค่เด็กน้อยที่ได้แต่ฝันกลางวันอยู่”
“เป็นทองก็ต้องเปล่งประกายอยู่วันยังค่ำ”
พิธีกรหัวเราะและพูดต่อว่า “ขอแค่ไม่ละทิ้งความฝันด้านดนตรี ผมเชื่อว่าไม่เพียงแต่คุณเฉิงเท่านั้น ยังมีพวกคุณอีกมากมายเช่นกันที่จะหาเส้นทางของตัวเองพบ…คุณเฉิง ขอบคุณที่มาในวันนี้นะครับ!”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ”
“เอาล่ะครับ ‘ท้าทายหน้าใหม่’ ในครั้งนี้ก็จบลงแล้ว สัปดาห์ถัดไป พวกเราจะสัมภาษณ์…”
พิธีกรทำสัญลักษณ์ ‘โอเค’ แล้วรายการถึงได้จบลง ภายในสตูดิโอ หลี่จื่อเฟิงมาถึงข้างกายของเฉิงอี้หรานด้วยความพอใจ แล้วเริ่มพูดคุยอย่างสุภาพกับพิธีกร
จากนั้นหลี่จื่อเฟิงก็เอ่ยว่า “ไปเถอะ ผมช่วยคุณนัดบรรณาธิการหลักสาขาบันเทิงของ ‘วันจันทร์ใหม่’ วันนี้คุณยังต้องสัมภาษณ์เพื่อเขียนข่าวบันเทิงอีก”
เฉิงอี้หรานไม่ได้กินข้าวเลย หากพูดจริงๆ แล้ว วันนี้เขาได้กินเฉพาะข้าวเช้า ถึงระหว่างทางจะได้กินพวกขนมปังบ้าง แต่ก็ไม่ได้หยุดพักผ่อนเลยจริงๆ
ชีวิตของคนที่กำลังจะเป็นหน้าใหม่ ยุ่งวุ่นวายกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากนัก
เฉิงอี้หรานพบว่าเป็นเวลาสองวันแล้วที่เขาไม่ได้ดีดกีตาร์
ส่วนพรุ่งนี้เขายังต้องเข้าร่วมกิจกรรมอุ่นเครื่องอีก รอจนถึงวันถัดไปที่จะบันทึกซิงเกิ้ลแรกของเขา เขาถึงจะมีโอกาสได้สัมผัสกับเครื่องดนตรีอีกครั้ง
…
…
ฟู่!
หมากฝรั่งสีชมพูถูกเป่าออกมา หลังจากหมากฝรั่งถูกเคี้ยวจนหมดรสความหวานแล้ว ก็ถูกเป่าออกมาจนมีขนาดใหญ่เท่าใบหน้า
และก็ทำซ้ำอีกครั้ง ส่วนคนเป่าหมากฝรั่งก็กำลังมองหน้าจอขนาดใหญ่ในลานกว้าง
คนที่เป่าหมากฝรั่งเข้าใจภาษาจีนไม่น้อย นอกจากฟังเข้าใจแล้วยังพูดได้ดีอีกด้วย “ที่แท้ที่นี่ก็มีรายการด้วย ดูเหมือนจะชื่อรายการ ‘นักร้อง’ ใช่ไหม? ได้ยินมาว่าประเทศนี้ชอบ ‘แนะนำ’…ดูแล้วคงจะจริง…
…นี่เป็นรายการดนตรีชั้นหนึ่งที่โด่งดังมากในประเทศนี้…‘กาลครั้งหนึ่งในแผ่นดินเกิด’? หลังจากเสร็จภารกิจแล้วจะไปดูดีไหมนะ?”
เธอพูดกับตัวเองโดยไม่สนใจสายตาจากคนรอบข้างที่จ้องมองมา…เพราะเธอดูแปลกมาก
ผมสั้นสีขาว สวมเสื้อคลุมหนังสีดำแขนเสื้อถึงข้อมือ…แต่ไม่ใช่เสื้อคลุมหนังแบบธรรมดา และยังสวมกางเกงขายาวและรองเท้าที่ไม่ค่อยพบเห็นได้โดยทั่วไปอีก ทุกอย่างของเธอดูแปลกตาไปหมด…เหมือนกำลังแต่งตัวแบบ ‘คอสเพลย์’
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปีแต่งตัวคอสเพลย์…ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ? หากไม่ใช่การแต่งตัวแบบคอสเพลย์แล้วก็คงผิดปกติเกินไป
หญิงสาวแบกกระบอกยาวอันหนึ่ง ดูคล้ายกับกระบอกที่พวกนักเรียนศิลปะใช้ใส่อุปกรณ์วาดภาพ
บางทีอาจจะมีกล้องซ่อนอยู่แถวนี้ กำลังถ่ายวิดีโออยู่งั้นเหรอ?
“ไม่มีจุดบอด ถ่ายไปก็เป็นวอลเปเปอร์…” แสงแฟลชสว่างขึ้นในพริบตา เสียงที่ดังขึ้นก็ไม่ได้มาจากช่างภาพซึ่งอาจจะซ่อนตัวอยู่ตรงไหนสักแห่ง แต่กลับมาจากคนเดินผ่านไปผ่านมาที่อดใจถ่ายรูปไม่ไหว
เพียงแต่เมื่อคนเดินผ่านเปิดอัลบั้มรูปในโทรศัพท์มือถือของเขาอย่างมีความสุข และตั้งใจจะชื่นชมรูปถ่ายเมื่อกี้ เขาก็พบว่าตัวเองถ่ายได้เพียงเงาคลุมเครือภาพหนึ่งเท่านั้น
“แปลกจริง ฉันถ่ายภาพนางแบบเมื่อกี้ชัดๆ…”
แต่หญิงสาวผมขาวสวมชุดคอสเพลย์คนนั้นได้หายตัวไปแล้ว
…
ช่วงเย็น คุณหนูสาวใช้กำลังจัดเก็บทำความสะอาดนอกสมาคม นี่น่าจะเป็นงานสุดท้ายที่เธอทำทุกวัน
แต่หลังจากเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง โยวเย่ก็หยุดมือและหันหน้าไป
เธอเห็นเพียงหญิงสาวผมขาวสวมชุดประหลาดคนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากมุมอับ
สองมือของหญิงสาวคนนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อหนัง ส่วนปากก็เป่าหมากฝรั่ง “ที่นี่ปิดหรือยัง?”
โยวเย่ยิ้มและตอบว่า “ที่นี่พร้อมเปิดสำหรับลูกค้าที่ต้องการเสมอ”
หญิงสาวที่เป่าหมากฝรั่งเอ่ยว่า “งั้นฉันขอเข้าไปดูหน่อยสิ”