สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 57 ประหลาด
รถซานตะนะ*สีขาวจอดข้างถนนอย่างกะทันหัน
คิ้วของเซอร์หม่าหรือหม่าโฮ่วเต๋อกระตุก เกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้าจึงหิวจนรู้สึกตระหนก
“หลินเฟิง! หลินเฟิง อยู่ไหม?” หม่าโฮ่วเต๋อแหวกฝูงชน เพียงรู้สึกว่ามีคนกำลังรีบเข้ามาหาเขาและเข้ามาอยู่ข้างๆ เขา หม่าโฮ่วเต๋อก็พูดโดยไม่หันมองว่า “ไป ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนี้ไป แล้วก็…”
เซอร์หม่าผู้มีประสบการณ์มาหลายสิบปีร่ายกระบวนการที่ต้องทำออกมาเป็นชุดๆ
เพิ่งจะพูดเสร็จ หม่าโฮ่วเต๋อก็พบว่าคนที่อยู่ข้างกายนั้นไม่ใช่หลินเฟิง…แต่ถึงจะไม่ใช่หลินเฟิง เซอร์หม่าก็ไม่ได้รู้สึกกระดากใจ “ยังนิ่งอยู่ทำไม ไปทำงานสิ?”
ตำรวจผู้นี้ชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “เซอร์หม่า พวกผมทำเรื่องที่คุณพูดหมดแล้วครับ!”
“ทำหมดแล้ว?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก
อีกฝ่ายพยักหน้าจากนั้นก็พูดว่า “เมื่อกี้มีตำรวจหญิงคนหนึ่งมา เธอได้พูดเรื่องที่คุณพูดหมดแล้ว พวกเราเลยทำไปหมดแล้วครับ”
“ตำรวจหญิง?” เซอร์หม่าอ้าปาก “ตำรวจหญิงที่ไหน…เอาเถอะ แล้วเธอพูดอะไรอีกบ้าง?”
“ไม่มีอะไรแล้วครับ ก็เหมือนกับที่คุณพูดเมื่อกี้”
หม่าโฮ่วเต๋อถามว่า “แค่พวกนี้? แล้วไม่ได้พูดห้ามไม่ให้นักข่าวปะปนเข้ามางั้นเหรอ? โดยเฉพาะนักข่าวหญิง!!!”
“เรื่องนี้ไม่มีนะครับ” อีกฝ่ายส่ายหน้า “แต่เมื่อเซอร์หม่าสั่งมาแล้ว ผมก็จะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ!”
หม่าโฮ่วเต๋อโบกมือ “รีบไปๆ!”
ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น…เป็นใครในแผนกมาก่อนเขากันแน่? แต่ตำรวจหญิงในแผนกก็นับได้เพียงสองนิ้วเท่านั้นนิ?
เซอร์หม่าส่ายหน้า ไปดูที่เกิดเหตุก่อนค่อยว่ากันเถอะ
เขาผ่านแนวป้องกันมาถึงที่เกิดเหตุ…แต่ก่อนที่จะไปถึงเขาก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ดังเข้ามา
หม่าโฮ่วเต๋อเบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นนอน มึนงงไปชั่วขณะ…อะไรกัน!
หม่าโฮ่วเต๋อเรียกสติขึ้นมาในทันที เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและพูดว่า “คุณๆๆ คุณเข้ามาได้ยังไง??!!”
นี่คือรองบรรณาธิการเริ่นของพวกเรา
หลังจากได้ยินเสียงของเซอร์หม่าแล้ว เริ่นจื่อหลิงถึงได้วางกล้องที่ห้อยไว้บนตัว ปรับเลนส์พร้อมพูดโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “อ๋อ เหล่าหม่า นายมาแล้วเหรอ กินข้าวเช้าหรือยัง?”
“ยังไม่ได้กิน” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “เฮ้ย ไม่ใช่! ผมกำลังถามคุณนะ คุณปะปนเข้ามาได้ยังไง?”
“ฉันไม่ได้ปะปนเข้ามา”
เริ่นจื่อหลิงเคลื่อนไหวถ่ายรูปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วอีกหลายภาพ “ฉันเดินเข้ามาเลย…จริงสิ ฉันช่วยนายสั่งการไปแล้ว อีกอย่างฉันรู้ว่านายคงยังไม่กินข้าวเลยสั่งให้หลินเฟิงไปซื้อของกินแล้ว”
“มิน่าผมถึงไม่เห็นเจ้าเด็กนั่น ขอบคุณนะ”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ชั่วขณะนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไป “ไม่ใช่สิ! คุณสั่งได้ยังไง คุณไม่ใช่ตำรวจสักหน่อย…ผมเข้าใจแล้ว คุณมาทันหลินเฟิงแล้วเข้ามากับเขาใช่ไหม?”
“มองไม่ออกงั้นเหรอ?” ในที่สุดเริ่นจื่อหลิงก็หยุดมือ สบตากับเซอร์หม่า พยักหน้าพูดอย่างผ่อนคลายว่า “เหล่าหม่า นายดูฉลาดขึ้นนิ!”
“เป็นเพราะตกหลุมพลางคุณบ่อยๆ ไงล่ะ!”
หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ต้องมีอะไรที่ไม่ถูกต้องสักอย่าง!
จากนั้นเขาก็ตะเบ็งออกมาว่า “เริ่นจื่อหลิง!! คุณออกไปเดี๋ยวนี้นะ! อย่างน้อยก็ต้องห่างจากแนวป้องกันไปสิบเมตรเป็นอย่างต่ำ!!”
ความจริงแล้วหม่าโฮ่วเต๋อตะโกนออกไปพร้อมกับความคิดว่าต้องตายแน่ และก็เตรียมตัวรองรับความโกรธจากผู้หญิงคนนี้แล้ว…แต่สิ่งที่เซอร์หม่าประหลาดใจก็คือ ครั้งนี้เริ่นจื่อหลิงกลับพยักหน้าเหมือนแมวเชื่องๆ
“รู้แล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ไม่รบกวนนายแล้ว มีข่าวอะไรค่อยติดต่อกันนะ”
เมื่อเซอร์หม่ามองเห็นเริ่นจื่อหลิงออกจากที่เกิดเหตุไปโดยไม่หันหน้ากลับมามองอีก เขาถึงได้สติขึ้นมา “ให้ตายสิ นี่มัน…”
ไม่ถูกต้อง ตอนนี้เซอร์หม่าถึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้คงถ่ายรูปที่ควรถ่ายไว้หมดแล้ว ถึงอยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ออกไปเดินรอบๆ และสอบถามดีกว่า…
ตอนนี้หลินเฟิงถึงเดินเข้ามาจากแนวป้องกันและยังถือถุงเล็กๆ มาด้วย…เป็นเครื่องดื่มกับอาหาร
“เซอร์หม่า เซอร์หม่า?”
แต่หลินเฟิงพบว่าหม่าโฮ่วเต๋อดูแปลกๆ เขากำลังขมวดคิ้วไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“เซอร์หม่า คุณคิดอะไรออกแล้วใช่ไหม?” หลินเฟิงถามอย่างสนใจ “จริงสิ คุณเริ่นหายไปไหนแล้วล่ะ?”
“เอ่อ หลินเฟิง ฉันขอถามนายเรื่องหนึ่งสิ” ครั้งนี้หม่าโฮ่วเต๋อจ้องมองหลินเฟิงอย่างจริงจัง
“ว่ามาเลยครับ!”
หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยว่า “กว่าฉันจะได้ออกมาปรากฏตัวสักครั้ง ตอนแรกก็คิดจะทำงานให้ดีที่สุด แต่พวกนายกลับจัดการทั้งหมดแล้ว…งั้นฉันออกมาหรือไม่ออกมาจะมีประโยชน์อะไร?”
“มีสิครับ!” หลินเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณเป็นหัวหน้างานนะ!”
“แต่เริ่นจื่อหลิงแย่งงานฉันไปทำหมดแล้ว!” หม่าโฮ่วเต๋อโมโหจนชูนิ้วกลางและพูดอย่างมีน้ำโหว่า “ฉันยังทำอะไรได้อีก?!!”
“กินข้าวไงครับ!”
“…”
…
…
“เป็นยังไงบ้างครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อมองเหล่าฉินที่ไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานเช่นกันด้วยสีหน้าจริงจัง
ตามปกติแล้ว หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหล่าฉินจะไม่ออกมาง่ายๆ ตอนนี้ลูกน้องของเขาเยอะมาก
แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่พบซากศพไร้หัวธรรมดา ร่างกายส่วนล่างยังถูกตัดออกเป็นสองส่วนอีกด้วย
มีเพียงสถานการณ์ร้ายแรงเป็นพิเศษเท่านั้นเหล่าฉินถึงจะออกมาเอง
ที่เกิดเหตุฆาตกรรม
“อืม…พูดยากแฮะ”
“พูดยาก?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก น้อยมากที่เขาจะได้ยินคำพูดไม่แน่ใจออกจากปากของเหล่าฉิน…และก็หมายถึงยากมาก
“ดูจากระดับความแข็งของศพแล้ว ตอนนี้คาดคะเนได้เพียงว่าผู้ตายตายเมื่อเวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีสองของวันนี้”
เหล่าฉินมองดูเพื่อนร่วมงานกำลังจัดเก็บซากศพ “แต่ไม่พบอาวุธสังหารในที่เกิดเหตุ อีกอย่างนอกจากร่องรอยบาดแผลใหญ่สองรอยที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บรุนแรงถึงแก่ชีวิตแล้ว บนร่างกายยังมีบาดแผลแปลกประหลาดเล็กน้อยจำนวนมากอยู่อีก…บาดแผลพวกนี้คล้ายถูกอะไรขบกัด แต่ที่แปลกประหลาดก็คือทุกๆ รอยกัดนั้นมีรอยฟันไม่เหมือนกัน”
“เป็นพวกหนูหรือเปล่า?”
“มีร่องรอยคล้ายหนู แต่มีอยู่มากที่ยังไม่ชัดเจน”
เหล่าฉินขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แต่บาดแผลที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตนั้นก็ยังเป็นบาดแผลใหญ่สองรอยนั้น อันหนึ่งคือตำแหน่งคอที่ขาด อีกตำแหน่งคือรอยตรงเอวของผู้ตาย ผมตรวจสอบบาดแผลทั้งสองเบื้องต้นแล้ว รอยตัดที่คอไม่เท่ากันเหมือนโดนของจำพวกเลื่อยกัดลงมา ส่วนบาดแผลส่วนเอวนั้นดูเรียบร้อยและเชื่อมต่อกัน เหมือนกับถูกของที่คมมากๆ ตัดขาดอย่างรวดเร็ว”
เหล่าฉินส่ายหน้า “ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้ว่าเป็นการตัดหัวก่อนแล้วตัดเอวหรือตัดเอวก่อนค่อยตัดหัว…ยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก แต่ไม่ว่าแบบไหนก็มองเห็นสิ่งเดียวกันได้”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า ท่าทีดูเคร่งขรึม “ไม่ว่าฆาตกรและเหยื่อมีความเกลียดชังต่อกันหรือไม่…แต่ฆาตกรคนนี้ลงมือโหดเ**้ยมเกินไป บางทีอาจจะมีปัญหาทางจิต”
ตอนนี้เอง
“หัวหน้า เซอร์หม่า พวกคุณมานี่หน่อยครับ!”
เหล่าฉินกับหม่าโฮ่วเต๋อรีบไปตามเสียง เห็นนักนิติเวชคนหนึ่งนั่งยองๆ บนพื้น “หัวหน้ากอง พวกเราพบร่องรอยบางอย่างครับ”
เหล่าฉินย่อลงไปและขมวดคิ้ว
บนพื้นมีบางอย่างที่คล้ายกับเมือก อีกทั้งยังเริ่มแห้งจนบางส่วนกลายเป็นผงสีเทาไปแล้ว
เหล่าฉินใช้เครื่องขูดช้อนเมือกที่ยังไม่แห้งสนิทขึ้นมาดม จากนั้นเขาก็มองตามรอยเมือกเหล่านั้นไปจนพบว่ามันยาวออกไปถึงปากท่อระบายน้ำในตรอก
“ได้ดูท่อระบายน้ำด้านนั้นหรือยัง?” เหล่าฉินถาม
“ยังครับ”
“ไปดูสิ” เหล่าฉินเอ่ย “เก็บของเหลวพวกนี้กับผงที่แห้งแล้วกลับไปด้วย”
“ครับ!”
จากนั้นเหล่าเฉินถึงได้ลุกขึ้นมา หันขวับมองไปยังหม่าโฮ่วเต๋อ ขมวดคิ้วและพูดว่า “คุณว่างมากงั้นเหรอ? มายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม?”
เซอร์หม่า…หม่าโฮ่วเต๋อมองรอบด้าน
ว่าง…ก็มันว่างจริงๆ นิ!!!! งานของฉันถูกพวกนายทำจนหมดแล้ว?!
…
…
ทุกวัน วันละสามครั้งและก็ตรงเวลาทุกครั้ง อีกทั้งทุกๆ ครั้งยังนำความเจ็บปวดมาให้เซียงหลิ่วได้เกือบจะถึงขีดสุดเสมอ
สิ่งนี้ทำให้เซียงหลิ่วคิดไปถึงเมื่อสิบปีก่อนที่เขาตกอยู่ในมือของสมาคม และถูกหั่นไปมาเพื่อทำการทดลอง
เขาเกลียดประสบการณ์ในครั้งนั้น แต่ที่น่าดูแคลนก็คือต้องขอบคุณประสบการณ์ในครั้งนั้นที่ทำให้เขาทนกับความเจ็บปวดทุกวันวันละสามครั้งได้
เดิมทีการเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นนี้จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอมาก…แต่เพราะอยู่ในเส้นสายจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดของเขาจึงหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ร่างกายอันสมบูรณ์พร้อมเข้ารับความเจ็บปวดจากคำสาปครั้งต่อไป
ไม่รู้ว่าผ่านวันเวลามาด้วยอารมณ์แบบไหน
ทันใดนั้นเซียงหลิ่วก็เงยหน้าขึ้น
เพราะเวลาที่คำสาปออกฤทธิ์ในครั้งนี้สั้นกว่าครั้งก่อนๆ มาก แต่เขาก็ไม่คิดว่าเป็นเพราะพลังของคำสาปอ่อนแอลง
สาเหตุก็คือ…ที่มาของคำสาป ซูจื่อจวินกลับมาอีกครั้ง
ผนึกเส้นสายวิญญาณแห่งนี้เป็นส่วนของเธอ เธอจึงเข้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ
ซูจื่อจวินเข้ามาถึงสถานที่ที่เซียงหลิ่วถูกกักขังเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยิ้มเยาะมองเขา “เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติของหลายวันมานี้”
“ขอบคุณรางวัลจากองค์หญิง”
เซียงหลิวหัวเราะเบาๆ “แต่เกรงว่าจะทำให้องค์หญิงผิดหวังเสียแล้ว เพราะเซียงหลิ่วยังทนได้…ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ก่อนมังกรทะยานฟ้าครั้งหน้า”
ซูจื่อจวินหรี่ตาลง
ที่เธอมองนั้นไม่ใช่เซียงหลิ่วแต่เป็นโซ่บนตัวเซียงหลิ่วเหล่านั้น ของที่เหมือนจะแตกหักได้เพียงสัมผัสเหล่านี้กลับขวางเธอไม่ให้ฆ่าเซียงหลิ่วได้
ซูจื่อจวินมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่คิดจะแตะต้องโซ่เหล่านี้อีก…อย่างน้อยก็ก่อนที่จะอับจนหนทาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เพิ่มระดับความรุนแรงอีกหน่อยแล้วกัน”
ครั้งนี้ซูจื่อจวินกัดนิ้วของตนเอง หยดเลือดสีดำถูกบีบออกมากลางอากาศและยิงไปยังหน้าผากของเซียงหลิ่ว
หยดเลือดสีดำเจาะเข้าไปในกะโหลกของเซียงหลิ่ว
เมื่อเห็นสีหน้าของเซียงหลิ่วเปลี่ยนไป ซูจื่อจวินถึงได้ยิ้มเขินอายเหมือนสาวข้างบ้าน หมุนตัวจนกระโปรงบานพริ้วและจากไป
แต่ก่อนที่จะจากไป ซูจื่อจวินยังหันกลับมายิ้มและเอ่ยว่า “สิบเท่านะ~”
อ้ากกก!
เพียงพริบตาเดียว ความเจ็บปวดก็เหมือนจะเกินกว่าที่เซียงหลิ่วรับไหวก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าวิญญาณกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
…
“ไปไหนมา?”
ซูจื่อจวินเพิ่งกลับมาถึงโรงพยาบาลสัตว์ก็พบกับหลงซีรั่วที่วิ่งออกมาสูบบุหรี่ ทั้งสองคนเบิกตากว้างจ้องกันอยู่นาน
ซูจื่อจวินเอ่ยว่า “เจ้ามีขี้ตา!”
หลงซีรั่วก็เหมือนพูดขึ้นพร้อมกันว่า “เจ้ามีขี้ตา!”
ชิ!
สองปีศาจที่มีสถานะยิ่งใหญ่แห่งโลกปีศาจในปัจจุบันต่างพากันสบถ และหันหลังกลับไปใช้แขนเสื้อเช็ดดวงตาของตนเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นถึงได้หันกลับมา
และก็เหมือนหันกลับมาพร้อมกัน อีกทั้งยังพูดขึ้นพร้อมกันอีกว่า “เจ้าตาฝาดแล้ว!”
บรรยากาศอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งแผ่กระจายขึ้นมาระหว่างทั้งสองคน
ตามปกติในเวลาเช่นนี้มักจะมีเสียงสดใสแทรกระหว่างพวกเธอทั้งสอง และขวางไม่ให้ทั้งสองปะทะกันต่อ
แต่ตอนนี้กลับไม่มี
ซูจื่อจวินสบถขึ้นในทันใด “ข้าจะจากไปสักระยะ เจ้าจับตาดูเจ้าเด็กนั่นให้ดี หากข้ากลับมาพบว่าเจ้าเลี้ยงไม่ดีหรือเลี้ยงไม่อ้วน ระวังข้าจะทำลายโรงพยาบาลของเจ้า!”
หลงซีรั่วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าให้ความสำคัญขนาดนี้ ทำไมไม่ดูแลเองเลยล่ะ โยนมาให้ข้ารับผิดชอบทำไม?”
“ก็เจ้าเป็นคนเก็บกลับมาไม่ใช่หรือ?”
“ปีปีหนึ่งข้ามักจะเก็บเด็กเร่ร่อนกลับมาเสมอ ถ้าหากข้าต้องดูแลทั้งหมด ที่นี่คงกลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กไปแล้ว?”
“เช่นนั้นเจ้าก็ให้เด็กนั่นเกิดเองดับเองเถอะ” ซูจื่อจวินสบถ
แต่หลงซีรั่วกลับถอนหายใจ “กว่าจะได้กลับมา ทำไมยังต้องไปอีก? เป็นเพราะบาดแผลหายดีแล้วงั้นหรือ?”
“อีกอย่างหนึ่ง” ซูจื่อจวินพูดขึ้นทันที “มีบางเรื่องที่ข้าไม่ชอบถ่วงเวลาออกไปนานนัก มีบัญชีเก่าบางอย่างที่ข้าควรไปจัดการเสียที อีกอย่าง…”
ซูจื่อจวินชะงักมองไปรอบด้านและสบถว่า “ช่วงนี้ที่นี่มีกลิ่นของลิงเหม็นตัวนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อึดอัด!”
“ระวังตัวหน่อยนะ”
“ไม่ตายหรอก”
…
…
“ฮา…ฮาชิ้ว~!!”
ภายในเอลิเซียมบาร์ เสี่ยวเซิ่งเกอกำลังถือไมโครโฟนยืนอยู่บนฟลอร์เต้นรำ “ฮา! ข้าเมาคนเดียว มอบให้พวกเจ้า!”
เจ้าของเอลิเซียมบาร์โยนไมโครโฟนในมือออกไป จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาใช้สองขาเกี่ยวบนแท่งอะไรสักอย่างสีดำๆ
เสียดสีๆ…
เสี่ยวเซิ่งเกอกำลังเต้นรูดเสาเท่านั้น
เสียดสีๆ
*รถฟ็อลคส์วาเกิน รุ่นหนึ่งที่ผลิตให้กับประเทศจีน