สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 68 ไก่ทอดคนใหม่ที่ได้รับคำชม
หลี่จื่อเฟิงผ่านประสบการณ์เหมือนกันกับในคืนนั้นแรกที่เขาพบเจอเฉิงอี้หรานอีกครั้ง
นี่คือรายการโทรทัศน์ออกอากาศสด เป็นรายการหนึ่งที่มีการจัดผู้ชมจำนวนมากมาเข้าร่วม…แต่ตอนนี้ผู้ชมทั้งรายการกลับกำลังร้องตะโกนว่า ‘Again’
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้หมายถึงชื่อเพลงที่เฉิงอี้หรานร้อง แต่มีความหมายตามคำของมัน
Again อีกครั้ง…ทุกคนกำลังเรียกร้องให้คนใหม่ที่ขึ้นเวทีเป็นครั้งแรกคนนี้แสดงอีกครั้ง ยังไม่ต้องลงเวที
พฤติกรรมวุ่นวายกลับเกิดขึ้นในรายการสดเช่นนี้…บรรดาผู้กำกับรายการต่างก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร
ส่วนผู้กำกับที่โด่งดังมากับรายการนี้กลับกำลังนั่งนิ่งเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
หลี่จื่อเฟิงเข้าใจอารมณ์ของผู้กำกับคนนี้ดี เพราะเขาเป็นคนที่ได้ยินเฉิงอี้หรานเล่นสดมากกว่าใคร…เขายอมรับว่าการแสดงของผู้ชายคนนี้สยบเขาได้แล้ว
และก็เป็นเพราะตัวเขาเองยังสยบได้ ดังนั้นเขาถึงเชื่อว่าต่อไปผู้ชายคนนี้จะโด่งดังมาก…คุ้มค่าให้เขาทุ่มเทใช้วิธีการต่างๆ เพื่อมัดเฉิงอี้หรานไว้กับตัวเอง
“ไม่ต้องลงเวที! เฉิงอี้หราน! เฉิงอี้หราน! เฉิงอี้หราน!”
แต่หลังเฉิงอี้หรานร้องเพลงจบก็โค้งคำนับต่ำให้คนดู จากนั้นก็เดินลงมาข้างเวทีเข้าไปตรงหน้าหลี่จื่อเฟิง
“สวรรค์! นายเกือบทำให้ฉันตกใจตายแล้ว!” หลี่จื่อเฟิงถอนหายใจ “เห็นนายเดินออกมาคนเดียวและยังเปลี่ยนเพลงอีก ฉันตกใจจริงๆ…คิดไม่ถึงว่านายจะยอดเยี่ยมแบบนี้! สมบูรณ์แบบ! แต่ครั้งหน้า ช่วยบอกฉันก่อนได้ไหม? ฉันตกใจง่ายน่ะ…”
หลี่จื่อเฟิงข่มแรงกระตุ้นของตัวเองไม่อยู่ จับเฉิงอี้หรานไว้และเอ่ยว่า “นายรู้หรือเปล่า! สัญชาตญาณบอกฉันว่าควรพานายกลับไปห้องพักผ่อนเพื่อรอผลการตัดสิน…แต่ก็มีเสียงหนึ่งคอยบอกฉันว่าให้ถีบนายขึ้นเวทีและร้องต่อไป!”
“ไปเถอะ” เฉิงอี้หรานพยักหน้า แบกกีตาร์ขึ้นหลังและออกไปทางประตูหนีไฟด้านข้าง
แต่อารมณ์ของผู้ชมปั่นปวนขึ้นเล็กน้อยเพราะการจากไปของเฉิงอี้หราน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ขาดสติจนเกินไปนัก
แต่ตอนนี้ความคาดหวังของพวกเขาต่อนักร้องคนถัดไปที่กำลังจะขึ้นเวทีนั้น ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปถึงจุดต่ำสุดตั้งแต่เมื่อไหร่…หรืออาจจะพูดได้ว่า แทบไม่มีความคาดหวังเหลืออยู่เลย?
…
หงก้วนถอนหายใจเบาๆ
เขามองเห็นฉากอันมหัศจรรย์นี้ด้วยตาของเขาเอง อีกทั้งได้ยินผู้คนที่นั่งอยู่รอบตัวเขาล้วนแต่กำลังพูดถึงเรื่องของเฉิงอี้หราน
หงก้วนรู้สึกว่าเรื่องชักจะแปลก
เมื่อเสียงกีตาร์บนเวทีดังขึ้น ความทรงจำของเขาก็คล้ายกับประตูเขื่อนที่ถูกเปิดและสายน้ำแห่งความทรงจำก็พุ่งเข้ามาในความคิดของเขาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนได้นำเขากลับไปยังช่วงเวลาเมื่อหลายปีก่อน
วันที่สิบเอ็ดเดือนเจ็ดไหลวนไปมาอยู่ในหัวของเขาไม่หยุด
แต่เขายังสามารถฟังอย่างตั้งใจได้ ไม่เหมือนกับผู้ชมในสตูดิโอที่เหมือนกับดำดิ่งลงไปในนั้น
“อี้หรานร้องดีขึ้นมากเลย…”
หงก้วนคิดไปถึงการแสดงของเฉิงอี้หรานเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “อีกอย่าง ทักษะกีตาร์ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม!”
หงก้วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่ได้เป็นเหมือนกับผู้ชมคนอื่นๆ ซึ่งยังอาลัยอาวรณ์กับเฉิงอี้หรานที่ลงเวทีไปแล้ว เขาลุกจากที่นั่งของตัวเอง…ไม่มีใครสังเกตเห็นการจากไปของเขา เพราะผู้ชมต่างก็พุ่งความสนใจไปยังเฉิงอี้หราน
หงก้วนออกจากสถานีโทรทัศน์โดยไม่หยุดชะงัก การแสดงถัดไปอาจจะยอดเยี่ยมแต่หัวใจของเขากลับไม่ได้อยู่ที่นี่
เขาอยากกลับไปโรงพยาบาลเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาของตัวเองเร็วๆ มากกว่า
เขายังคงปฏิบัติตามข้อตกลงที่เขาเซ็นชื่อลงไป…แต่ทันใดนั้นหงก้วนก็รู้สึกว่า บางทีบัตรใบนี้ถูกส่งมาถึงมือของเขา คงเพราะเฉิงอี้หรานอยากบอกบางอย่างกับเขาก็เป็นไปได้
บอกว่าตัวเขาไม่เคยลืมคำสัญญาครั้งก่อน แต่นายเองที่ละทิ้งมัน ในตอนนี้เวทีแยกพวกเรา…และจะยิ่งแยกพวกเราไกลกันเรื่อยๆ
“เสี่ยวเมิ่ง อี้หรานทำเพื่อเธอได้แล้ว”
หงก้วนหันกลับไปมองสถานีโทรทัศน์แวบหนึ่ง จากนั้นก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “Again…เธอก็ฟังอยู่บนนั้นใช่ไหม?”
ทันใดนั้นเขาก็ไม่ได้โกรธแค้นที่เฉิงอี้หรานให้หลี่จื่อเฟิงมาเจรจากับตัวเองแล้ว
ตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เพราะ…ไม่ใช่เธอไปจากพวกเรา ส่วนสุดท้ายแม้แต่ฉันก็จากเธอไป มีเพียงแค่อี้หรานคนเดียวที่ยังอยู่…”
หงก้วนถอนหายใจ เก็บอารมณ์สับสนวุ่นวาย แล้วหารถจักรยานไฟฟ้าที่ตัวเองจอดเอาไว้ข้างถนน ก่อนมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล
เขารู้สึกขอบคุณโชคชะตาอย่างจริงใจที่ทำให้เฉิงอี้หรานได้ขึ้นเวทีและร้องเพลงนั้น
…
นี่คือจะไปแล้วเหรอ?
หากไม่มีเจ้าของสมาคมผู้ยิ่งใหญ่กับคุณหนูสาวใช้ ไท่อินจื่อคิดว่าตัวเองคงต้องถลึงตาอย่างโมโหอยู่แน่นอน
พูดตามเหตุผล…นายท่านชอบวิญญาณคุณภาพสูง ไท่อินจื่อจึงครุ่นคิดและศึกษาเส้นทางนี้
สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่กลับถูกหลี่จื่อเฟิงแทรกกลางจนทั้งสองแทบจะกลายเป็นศัตรูกัน ทำให้วิญญาณของเฉิงอี้หรานไม่สมบูรณ์แบบ
ไท่อินจื่อคาดหวังให้หงก้วนกับเฉิงอี้หรานพบเจอกันจริงๆ จากนั้นไก่ทอดคนใหม่*ของสมาคมคนนี้ก็จะลงมือ พลิกทุกอย่าง ทำลายแผนการร้ายของหลี่จื่อเฟิง ทำให้ทั้งสองคนกลับมาคืนดีกัน!
แน่นอน เขาไม่รู้ว่านายท่านของเขาจะมาด้วยตัวเอง…นักพรตเฒ่าจึงได้แต่นั่งอยู่กับเจ้าของสมาคม แล้วปล่อยให้แผนการที่วางเอาไว้หลุดลอยไป
“ไท่อินจื่อ ส่งของได้ดีนี่”
เจ้าของสมาคมที่ยืนอยู่นอกสถานีโทรทัศน์พูดประโยคนี้ออกมาเบาๆ
ไท่อินจื่อที่กำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา สั่นสะท้านขึ้นมาตามสัญชาตญาณ พูดอย่างหวาดกลัวว่า “นายท่าน! ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยโง่เอง…นายท่าน เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันบอกว่าถึงนายชอบจัดการหยาบไปหน่อย…” ลั่วชิวยิ้มและตบบ่าของไท่อินจื่อ “แต่การส่งของในครั้งนี้ทำได้ดีจริงๆ”
“แต่…แต่หงก้วน เขา…”
ไท่อินจื่อชะงัก คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรดี…เจ้าของสมาคมพูดแบบนี้เป็นการชื่นชมเขาหรือยังมีความหมายอื่นอีก
นายท่าน…ทำไมข้าน้อยถึงงงงวยเมื่อท่านพูดเช่นนี้?
ภูตดำไก่ทอดคนใหม่ของสมาคมผู้นี้ยินยอมถูกคุณหนูสาวใช้แขวนมากกว่า เพราะรู้สึกว่าเมื่อแบบนั้นแล้วเขาจะสบายใจยิ่งกว่านี้
“พวกเราไปกันเถอะ” ลั่วชิวไม่มองดูไท่อินจื่ออีก เขามองโยวเย่และพูดเบาๆ ว่า “หลังได้รับอิทธิพลจากเฉิงอี้หราน นักดนตรีคนต่อๆ ไปคงแสดงได้ไม่ค่อยดีแล้ว และคงไม่มีอะไรน่าดูอีก”
“นายท่าน อยากให้เตรียมอาหารมื้อดึกไหมคะ?”
“ไม่ต้องหรอก” ลั่วชิวส่ายหน้า ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “รถประจำทางสายนี้ใช้ได้ทีเดียว นั่งอ้อมไปดูทางเขตเมืองเก่าได้ เธอนั่งไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ฉันอยากดูบรรยากาศตอนกลางคืน”
“รับทราบค่ะ”
สรุปว่า…เขาทำถูกต้องแล้วใช่ไหม? หรือว่าทำผิด?
ไท่อินจื่อมองผู้ยิ่งใหญ่สองคนเดินจากไปท่ามกลางความวุ่นวายในสายลม…ข้าถูกชมงั้นหรือ
ไท่อินจื่อสีหน้ามึนงง
“ข้าไม่ใช่ปลาเค็มแล้ว?”
…
…
หลังจากนั้นอารมณ์ของผู้คนก็สงบลงมา
พิธีกรยังคงเป็นมืออาชีพ ถึงการระงับความรู้สึกตัวเองจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังควบคุมให้สงบและเดินไปบนเวทีดำเนินรายการนี้ต่อไปได้
รายการเพิ่งเริ่มต้นขึ้นและผ่านเพลงแรกไปเพลงเดียวเท่านั้น ถัดไปยังมีนักร้องรุ่นเก๋าที่ยังไม่ได้ขึ้นเวทีอีกมากมาย
แต่กลับมีคนสามารถใช้เพลงสร้างความหวั่นไหวให้ผู้คนได้ถึงระดับนี้…พิธีกรก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
อนาคตของคนคนนี้คาดคะเนไม่ได้เลย!
นักดนตรีคนต่อไปขึ้นเวที…พร้อมกับความกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่ใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาระหว่างทางจากห้องพักผ่อนมาถึงเวที อย่างไรก็ตามเมื่อนักร้องคนที่สองขึ้นมาบนเวที เขาก็ร้องผิดตั้งแต่คีย์แรกแล้ว…
…
“รู้สึกยังไงบ้าง?”
บนที่นั่งชม จงลั่วเฉินเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะเขาสังเกตเห็นว่าจางชิ่งหรุ่ยกลับมาเป็นปกติแล้ว
คุณหนูจางมองด้านล่างเวที นักดนตรีคนต่อไปขึ้นเวทีแล้ว เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เฉิงอี้หรานคนนี้ ในเพลงของเขา…เหมือนมีจิตวิญญาณ เหลือเชื่อจริงๆ”
จงลั่วเฉินหรี่ตาลงในทันใด “ไม่ผิด เหลือเชื่อจริงๆ…คนคนนี้ควรค่าให้บริษัททุ่มเทอย่างเต็มที่”
จางชิ่งหรุ่ยพยักหน้า “เรื่องนี้ให้เฉิงอวิ๋นจัดการให้ดีแล้วกัน ในอนาคตเฉิงอี้หรานอาจจะเป็นดาวเด่นของบริษัทเฟยอวิ๋นได้”
“คุณชายรอง คุณหนูจาง ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ทั้งสองท่านโปรดวางใจได้เลยครับ!” เฉิงอวิ๋นตบอกรับรอง
จงลั่วเฉินมองจางชิ่งหรุ่ยและพูดขึ้นในทันใดว่า “หลังจากได้ฟังเฉิงอี้หรานแล้ว คุณยังมีอารมณ์ดูนักดนตรีคนอื่นอีกเหรอ?”
จางชิ่งหรุ่ยชะงัก ขมวดคิ้วขึ้น
จงลั่วเฉินพูดว่า “ผมเห็นคุณดูใส่ใจด้านล่างมาก”
จางชิ่งหรุ่ยพูดขึ้นว่า “ฉันแค่ดูปฏิกิริยาของผู้ชม…พวกความแตกต่างก่อนหลังน่ะค่ะ เป็นการพิสูจน์ว่าเฉิงอี้หรานเป็นตัวเลือกดีที่สุดของบริษัทหรือเปล่า ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ที่พูดก็ถูกครับ” จงลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
จางชิ่งหรุ่ยเลิกมองหาเงาร่างนั้นด้านล่างที่อาจจะไม่ได้ปรากฏตัวเลย เธอคงตาพร่ามัวไปเอง
เธอยืนขึ้นมาและพูดว่า “ฉันไปก่อนนะคะ”
จงลั่วเฉินโบกมือและเอ่ยว่า “เฉิงอวิ๋น ไปส่งคุณหนูจางเถอะ อีกอย่าง ช่วยทักทายคุณผู้หญิงจางให้ฉันด้วย”
จางชิ่งหรุ่ยมองจงลั่วเฉินแวบหนึ่ง
เธอยังคงมองไม่เห็นกระดูกของผู้ชายคนนี้
…
…
ถึงแม้จะดึกกว่าปกติ แต่ลั่วชิวก็ยังมองเห็นเริ่นจื่อหลิงเปิดประตูเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางเหมือนสุนัขพ่ายแพ้ หลังจากสะบัดรองเท้าออกไปแล้ว ก็คลานขึ้นมาบนโซฟา
“กินอะไรมาหรือยังครับ?”
เริ่นจื่อหลิงตอบอย่างหมดแรงว่า “ตอนกลับมาแวะกินข้างทางกับหลีจื่อแล้ว”
“ดื่มน้ำสักหน่อยสิครับ”
ลั่วชิวรินน้ำอุ่นมาให้หนึ่งแก้ว
เริ่นจื่อหลิงลุกขึ้นมารับแก้ว ทันใดนั้นเธอก็ตบๆ บนโซฟาด้านข้าง บอกให้เจ้าของสมาคมลั่วมานั่ง
หลังจากลั่วชิวนั่งลงแล้ว เธอก็ถลึงตากว้างจ้องมองลั่วชิวและถามขึ้นกะทันหันว่า “ทำไมถึงลาออก?”
*ไก่ทอดคนใหม่ในที่นี่หมายถึงตัวไท่อินจื่อ